เมื่อคำว่า “รัก” มาช้าไปหนึ่งจังหวะ
เตี่ยของเมฆ โดย จิตประภัสสร
“อั๊วรักลื้อนะอาเมฆ…” ประโยคสั้น ๆ ที่อาตงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย แต่กลับดังอยู่ในใจเมฆไปตลอดชีวิต ทั้งที่เขารู้มาตลอดว่าเตี่ยรักเขามาก แต่การได้ยินด้วยหูตัวเอง มันมีความหมายต่างออกไป เหมือนเป็นคำที่รอคอยตั้งแต่ยังเด็ก ในที่สุดก็ได้ยินสักที
นี่แหละคือหัวใจนิยายเรื่อง เตี่ยของเมฆ ที่เขียนโดย จิตประภัสสร นิยายที่เล่าเรื่องความรักในครอบครัวแบบธรรมดา แต่ทัชใจคนอ่านเป็นอย่างมาก เพราะเป็นความรักระหว่างคนสองรุ่นที่ไม่ได้เกี่ยวกันทางสายเลือด แต่ผูกพันกันแน่นกว่าครอบครัวบางครอบครัวที่เกิดจากสายเลือดจริง ๆ เสียอีก เราจะได้เห็นภาพชีวิตของ “อาตง” ชายไทยเชื้อสายจีนวัยหกสิบกว่าปี ที่ขายเต้าหู้น้ำตาลทรายแดงอยู่ในตลาดเล็ก ๆ และต้องตื่นเช้าทุกวัน ทำงานเงียบ ๆ พูดไม่ค่อยเก่ง แต่แสดงความรักผ่านการลงมือทำมากกว่าพูด ส่วน “เมฆ” เด็กหนุ่มหัวเกรียน หน้าตาดี นิสัยเรียบร้อย เป็นเหมือนความหวังและความภูมิใจของผู้ชายคนนี้มาตั้งแต่เล็ก
เรื่องนี้จะพาเราไปเห็นชีวิตประจำวันของทั้งคู่แบบเรียบง่าย บรรยายการขายน้ำเต้าหู้ตอนเช้า รูปเก่า ๆ ในลิ้นชัก รวมถึงการทำงานหนัก และความคาดหวังที่อาตงมีต่อเมฆ ส่วนเมฆเองก็เป็นเด็กที่พยายามทำตัวให้เตี่ยภูมิใจ พยายามเป็น “ลูกที่ดี” แม้จะไม่ได้เป็นลูกแท้ ๆ แต่ทั้งคู่กลับดูเหมือนพ่อกับลูกที่มีกันแค่สองคนบนโลกใบนี้
ความเงียบเป็นอีกอย่างที่ทำให้เรื่องนี้กินใจ ทั้งอาตงและเมฆต่างรักกันมาก แต่พูดออกมาไม่ค่อยเป็น ต้องใช้การกระทำแทน บางครั้งก็อบอุ่น บางครั้งก็ทำให้รู้สึกอึดอัด เพราะต่างฝ่ายต่างไม่กล้าพูดในสิ่งที่อยู่ในใจ ยิ่งตอนที่มีเรื่องไม่เข้าใจกัน ความเงียบยิ่งทำให้ความห่างของทั้งคู่ชัดขึ้นกว่าเดิม
และเรื่องนี้ก็ทำให้เราเห็นว่า บางทีผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ไม่รักเรา เพียงแค่ “ไม่รู้จะพูดยังไง” เท่านั้นเอง มีหลายฉากที่เห็นชัดว่าความรักของอาตงเต็มล้นอยู่ข้างใน ไม่ว่าจะเป็นการเก็บของของเมฆไว้ทุกอย่าง หรือการรอเมฆกลับบ้านทุกวัน ถึงจะไม่พูดหวาน ไม่กอด ไม่บอกรัก แต่ทุกอย่างที่เขาทำคือการบอกรักแบบของเขา ส่วนเมฆเองก็เก็บคำว่า “รัก” ไว้เงียบ ๆ เช่นกัน เพราะเติบโตมากับสภาพบ้านที่ไม่ค่อยพูดความรู้สึก การได้ยินคำนี้จากปากเตี่ยในวันที่พูดออกมาจริง ๆ เลยยิ่งหนักแน่นจนจุกอก
เรื่องนี้ยังแตะประเด็นความเข้าใจผิดที่เกิดจากความต่างของวัยด้วย ตัวละครอย่าง “ขนมตาล” พูดขึ้นมาว่า หลายครอบครัวทะเลาะกันเพราะพ่อคิดเองบ้าง หรือลูกคิดเองบ้าง ไม่มีใครอธิบาย ไม่มีใครถาม ทำให้ปัญหายิ่งหนักขึ้นเรื่อย ๆ คำพูดธรรมดาแบบนี้นี่แหละ จะกลายเป็นจุดที่ทำให้ทั้งอาตงและเมฆเริ่มเข้าใจกันมากกว่าเดิม อีกฉากที่สะเทือนใจคือช่วงแถลงข่าว ที่อาตงยอมพูดต่อหน้าสื่อว่า ที่เมฆไม่ได้เรียนต่อไม่ใช่เพราะลูกไม่ดี แต่เพราะเขาเป็นคนห้ามเอง เพื่อให้เมฆช่วยงานร้านและกลัวลูกลำบาก การยอมรับแบบนี้จากผู้ใหญ่คนหนึ่งไม่ง่ายเลย แต่มันทำให้อ่านแล้วรู้สึกถึงความพยายามของอาตงที่อยากเป็นพ่อที่ดีกว่าเดิม แม้จะช้าไปบ้าง แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงใจ
พอได้อ่านไปจนจบ เรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงใครบางคนในชีวิตที่อาจไม่เคยบอกรักเรา แต่ดูแลเรามาตลอด คนที่ตื่นเช้ากว่าเรา คนที่ทำงานหนัก คนที่เป็นเงาอยู่ข้างหลังเราเสมอ แม้จะไม่พูดอะไรสักคำ เหมือนประโยคที่ว่า “ทุกวัฒนธรรมมีคำที่ไม่ค่อยพูดออกมา” ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เห็นชัดมาก
เตี่ยของเมฆ เป็นนิยายธรรมดาที่กินใจแบบไม่ต้องพยายาม มันเล่าเรียบ ๆ แตะหัวใจเบา ๆ จนเราเผลอคิดถึงคนที่บ้านขึ้นมาแบบไม่ทันตั้งตัว เป็นเรื่องที่อ่านแล้วรู้สึกทั้งอุ่น ทั้งเศร้า ทั้งคิดถึง และสุดท้ายก็อยากกลับไปบอกใครสักคนว่า “เรารักเขามากนะ”
ถ้าใครกำลังมองหาเรื่องที่อ่านแล้วสัมผัสถึงความรักแบบไม่ต้องพูดเยอะ ขอชวนให้ลองอ่านเล่มนี้ มันอาจทำให้คุณได้เข้าใจครอบครัวของตัวเองเพิ่มขึ้น และอยากเดินไปกอดใครบางคนโดยไม่ต้องมีเหตุผลเลย