นครที่สวยเกินจริง กับความเงียบที่ไม่ปกติ - อ่าน Romantica City นครลอยฟ้า
Romantica City นครลอยฟ้า
อิลาม มาซาลาน และ เคนชานา เขียน | อิฏฐพร ภู่เจริญ แปล
นครลอยฟ้า (Romantica City) ของ อิลาม มาซาลาน และ เคนชานา แปลโดย อิฏฐพร ภู่เจริญ เป็นนิยายที่เปิดตัวด้วยฉากของเมืองลอยฟ้าสวยสะดุดตา เมืองที่เต็มไปด้วยอาคารสีขาวสูงเสียดฟ้า รถบัสคาปิบาราลอยเหนืออากาศ และบรรยากาศที่ถูกออกแบบให้สว่างใสและชวนฝันราวกับคริสตัลที่ถูกเจียระไนอย่างประณีต แต่ความสวยงามที่เห็นตั้งแต่หน้าแรก กลับทำให้รู้สึกได้เลยว่ามัน “เนี๊ยบเกินไป” เหมือนโลกที่ถูกจัดวางให้มีแต่ความสุขเท่านั้น สิ่งที่ควรทำให้สบายใจ กลับแอบสร้างความอึดอัดแบบเบา ๆ เหมือนเสียงที่แตะไม่ถึงแต่ยังค้างอยู่ในอากาศ
เรื่องเล่าผ่านชีวิตของ “นูร์ บัลคิส” หญิงสาวที่เกิดและโตบนเมืองนี้มาตลอด นูร์เป็นคนแรกที่ทำให้ผู้อ่านเห็นว่าเมืองที่สมบูรณ์แบบเกินไป ไม่ได้สบายใจอย่างที่ใครคิด หมอกตอนเช้าที่อยู่นานถึงเกือบสิบโมง เสียงเมืองที่เบาจนเหมือนไม่ใช่เมือง ดอกไม้ที่ผลิบานจนกลบรอยจริงของผู้คน ทุกอย่างดูงดงามแต่เหมือนไปกดทับอะไรบางอย่างไว้ข้างใต้
ในฐานะผู้อ่าน นูร์เป็นตัวละครที่ทำให้รู้สึกผูกพันได้ง่าย เธอไม่ได้ต่อต้านเมืองอย่างเปิดเผย แต่การที่เธอเริ่มตั้งคำถามเล็ก ๆ ต่อชีวิตประจำวัน เช่น “ทำไมทุกอย่างต้องนิ่งขนาดนี้” หรือ “ความสุขที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลย มันยังเป็นความสุขอยู่ไหม” ทำให้คนอ่านรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังคิดตามเธอไปด้วย ความสับสนเงียบ ๆ ของนูร์ทำให้เมืองลอยฟ้าดูมีรอยร้าวมากขึ้นทีละนิด และมันเป็นความรู้สึกที่อ่านแล้วสะกิดใจได้มากจริง ๆ อีกตัวละครที่ทำให้เรื่องมีมิติคือ “คาซานดรา” หญิงสาวที่เหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของระบบเมืองอย่างสมบูรณ์ เธอเป็นคนที่ดูมั่นคง เชื่อมั่นในเมือง เชื่อว่าทุกอย่างที่ถูกจัดระเบียบไว้นั้น “ดีแล้ว” ทำให้ความนิ่งของคาซานดราตัดกับความลังเลของนูร์อย่างชัดเจน จนรู้สึกเหมือนทั้งคู่เป็นสองขั้วของเมือง หนึ่งคนที่คล้อยตามระบบอย่างไม่กังวล และอีกคนหนึ่งที่เริ่มเห็นว่าความสุขสำเร็จรูปนั้นอาจไม่ใช่คำตอบของชีวิต คาซานดราจึงไม่ได้เป็นเพียงตัวละครประกอบ แต่เป็นเหมือนกระจกอีกบานที่ทำให้นูร์ต้องเผชิญกับความคิดของตัวเองชัดขึ้น
แม้เรื่องจะไม่มีจุดพีคใหญ่โต แต่บรรยากาศที่เรียบง่าย มีเงียบประกอบ เหมือนมีลมหายใจที่ไม่เสถียรอยู่ใต้ผืนเมือง ทำให้ความตึงของเรื่องค่อย ๆ ไหลเข้ามาแบบช้า ๆ ระหว่างอ่านจะรู้สึกเพลินกับภาพเมืองที่เหมือนหลุดมาจากภาพวาด แต่ก็มีความอึดอัดบางอย่างติดอยู่ในอากาศ เหมือนกำลังเดินในเมืองที่ “ควร” จะมีแต่เสียงหัวเราะ แต่กลับรู้สึกได้ว่ามีความเงียบที่หนากว่าปกติปกคลุมอยู่
หลายฉากสะท้อนสภาพเมืองได้ดี เช่น ช่วงเช้าที่ยาวนานเกินเหตุ สวนดอกไม้ที่สวยจนเกือบไร้ความจริง หรือช่วงที่เมืองสว่างจนแทบมองไม่เห็นความรู้สึกอื่นนอกจาก “ความสุข” ที่ถูกกำหนดไว้ ทั้งหมดทำให้ผู้อ่านสัมผัสได้ว่าความสว่างที่มากเกินไป ก็ทำให้มองอะไรไม่ชัดเจนเหมือนกัน พออ่านจบจะรู้สึกเหมือนเพิ่งเดินออกจากเมืองสวยมาก ๆ เมืองหนึ่ง พอได้ระยะห่างค่อยเห็นว่าความสวยนั้นอาจซ่อนอะไรไว้มากกว่าที่คิด เรื่องไม่ได้ทิ้งความเศร้าให้หนัก แต่ทิ้งคำถามสำคัญไว้เงียบ ๆ ว่า “ถ้าเราถูกกำหนดให้ต้องมีแต่ความสุข เราจะยังรู้จักความสุขจริง ๆ ได้อยู่ไหม?”
สำหรับคนที่ชอบนิยายที่บรรยากาศเป็นหัวใจของเรื่อง ชอบงานที่ดูนุ่ม แต่ซ่อนความหน่วงไว้ลึก ๆ และทำให้คิดต่อหลังปิดเล่ม นครลอยฟ้า (Romantica City) เป็นเรื่องที่ตอบโจทย์มาก ภาษาที่ผู้แปลถ่ายทอดออกมาลื่น อ่านง่าย และยังคงความเบาบางแต่น่าเอะใจของโลกใบนี้ไว้ครบถ้วน ถ้ากำลังมองหานิยายดิสโทเปียโทนอ่อนที่ไม่โฉ่งฉ่าง แต่สั่นใจได้แบบเงียบ ๆ เมืองลอยฟ้าแห่งนี้น่าจะเป็นอีกเล่มที่ทำให้คุณย้อนกลับไปถามตัวเองว่า “ความสุขของเรามาจากไหนกันแน่