เสือดำ : เสือดำปะทะกองปราบ (ตอนที่ 2) : เสือดำ ขุนโจรลูกผู้ชายแห่งเมืองสุพรรณ

เสือดำ : เสือดำปะทะกองปราบ (ตอนที่ 2)

ผลงานโดย ป. อินทรปาลิต

สำนักพิมพ์ : ผดุงศึกษา 

ภาพ : อาภรณ์ อินทรปาลิต

เสือดำปะทะกองปราบ

 

๑๖.๐๐ น. เศษ

ขุนโจรได้รับรายงานจากหน่วยลาดตระเวนของเขาแจ้งให้ทราบว่าตำรวจกองปราบพิเศษในบังคับบัญชาของ พ.ต.ท.ประชา ได้เคลื่อนพลเข้ามาเกือบจะถึงค่ายแล้ว

          เสือดำสั่งให้หน่วยลาดตระเวนเข้าประจำปืน แล้วร้องตะโกนบอกสมุนของเขา

          “ตำรวจใกล้เข้ามาแล้ว เตรียมยิง!”

          ปืนทุกกระบอกอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมที่จะปล่อยกระสุนของมันออกจากลำกล้องทันที

          เวลาแห่งความคับขันพ้นไปอย่างล่าช้า ทุกคนมีกิริยากระสับกระส่าย แต่ก็สงบเงียบไม่ส่งเสียงพูดคุยกันเลย

          กองปราบพิเศษปรากฏตัวขึ้นแล้ว พวกตำรวจกระจายแถวเข้ามาเป็นหน้ากระดาน ทุกคนถืออาวุธปืนยิงเร็วแบบทันสมัย และอาศัยกิ่งไม้ใบไม้เป็นที่กำบังตน ขุนโจรไม่รอช้า สั่งระดมยิงฝ่ายเจ้าหน้าที่ทันที

          เสียงปืนยิงเร็วดังกึกก้องป่า ตำรวจหมอราบลงกับพื้นและยิงโต้ตอบด้วยท็อมสัน, คาไบน์ และสะเต็น การต่อสู้ได้เปิดฉากขึ้นอย่างดุเดือด พ.ต.ท.ประชาต้องทำงานอย่างหนักในการนำตำรวจเข้าทลายรังขุนโจร และเมื่อเข้ามาในระยะใกล้ชิด ตำรวจก็โจมตีด้วยลูกระเบิดมือ

          เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว แต่ที่มั่นของเสือดำอาศัยก้อนหินของภูเขาซึ่งเกิดจากธรรมชาติ ลูกระเบิดมือของตำรวจจงไม่เกิดผลอะไร นอกจากจะทำให้ก้อนหินหักพังไปบ้าง พวกโจรยิงโต้ตอบไม่ลดละ แต่กองปราบพิเศษก็พยายามรุกคืบหน้าเข้ามาทุกนาฑี

          เสือดำอยู่ในรังปืนกลทางด้านเหนือ เมื่อตำรวจกองปราบรุกล้ำเข้ามาอย่างรวดเร็ว ขุนโจรก็เหนี่ยวไกปล่อยกระสุนปืนกลอากาศออกไปจากลำกล้อง อำนาจของปืนกระบอกนี้ทำให้ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์หลายนายล้มกลิ้ง หน่วยกองปราบพิเศษต้องหยุดยั้งการเคลื่อนที่ทันที ต่างหมอบราบกับพื้นดินเพราะถูกเสือดำยิงตรึงไว้จนกระทั่งไม่อาจจะเงยศีร์ษะขึ้น

          พ.ต.ท.ประชาร้องตะโกนเรียกนายสิบร่างใหญ่คนหนึ่งซึ่งมีเครื่องพ่นไฟสะพายอยู่ข้างหลัง

          “สำเริงมานี่เร็ว!”

          ส.ต.ท.สำเริงรีบลุกขึ้นวิ่งก้มตัวฝ่าแนวกระสุนปืนอันหนาแน่นเข้าหมอบเคียงข้างผู้บังคับกองของเขา

          “ใช้เครื่องพ่นไฟได้สำเริง ที่หมายรังปืนกลกระบอกนั้น”

          ไม่ถึง ๑ นาฑี เครื่องพ่นไฟอันเป็นเครื่องมือที่ใหม่ที่สุดในราชการตำรวจก็พ่นไฟออกจากท่อของมัน เสือดำตกใจรีบหลบเข้ากำบังซอกหิน แม้กระนั้นเขาก็รู้สึกร้อนผ่าวจนแทบทนไม่ได้

          ขณะที่เครื่องพ่นไฟกำลังเผาก้อนหินใหญ่น้อยอันเป็นที่มั่นและที่กำบังตัวเขา

          เพราะเครื่องพ่นไฟนี้เอง ทำให้บรรดาสมุนโจรแตกตื่นเสียขวัญ ทุกคนเพิ่งแลเห็นเครื่องประหารชนิดนี้ เสือดำตะโกนสั่งให้บริวารของเขาล่าถอยทันที เพราะรู้ว่ายุทธวิธีของตนเป็นรองตำรวจแล้ว

          กองโจรของเสือดำล่าถอยอย่างมีระเบียบเรียบร้อย ปืนกลเบาถอนตัวจากการรบไปก่อน และตั้งยิงในดงทึบ ยิงเป็นฉากตรึงกองปราบพิเศษไว้เพื่อปิดโอกาสให้พวกตนถอยลงมา เสือดำต้องทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยที่สุด แต่จิตต์ใจของเขายังเข้มแข็งอยู่เสมอ

          กองปราบพิเศษพยายามจะเข้าตีโอบปีก แต่เสือดำรู้เชิงเสียก่อนก็สั่งให้บริวารของเขาขยายแนวต้านทานให้กว้างออกไป เสียงปืนที่ทั้งสองฝ่ายยิงโต้ตอบกันนั้นดังกึกก้องอยู่ตลอดเวลา สัตว์ป่าทั้งหลายแตกตื่นวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปทั่ว

          เพราะกำลังพล กำลังอาวุธ และยุทธวิธีของตำรวจเหนือกว่า กองโจรของเสือดำจึงต้องถอยเปลี่ยนที่มั่นแทบทุก ๕ นาฑี ถ้ำต่างๆ อันเป็นค่ายของเสือดำถูกกองปราบพิเศษยึดไว้ได้แล้ว แต่บรรดาเข้าของอันมีค่าและอาวุธปืน กระสุน ดินดำ เสือดำได้สั่งให้บริวารของเขานำติดตัวมาด้วย การยึดค่ายคงจะได้แต่เสื้อผ้าเข้าของเครื่องใช้เท่านั้น

          เสือดำสั่งรวมกำลังต่อสู้ตำรวจเป็นครั้งสุดท้าย ปืนยิงเร็วทุกกระบอกส่งกระสุนไปทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ราวกับห่าฝน และหลังจากนั้นไม่เกิน ๑๐ นาฑี เสือดำก็สั่งล่าถอย

          “อ้ายเสือถอย”

 

เสือดำปะทะกองปราบ

 

          กองปราบพิเศษรุกไล่ทันที แต่เสือดำกับบริวารชำนาญในภูมิประเทศดีกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ เสือดำจึงสามารถพาบริวารของเขาหลบไปได้ ทิ้งศพสมุนโจรไว้ ๕ ศพ กับผู้ที่ถูกกระสุนปืนของตำรวจบาดเจ็บสาหัสอีก ๒ คน

          ข่าวสำคัญการปะทะระหว่างกองปราบพิเศษกับเสือดำได้กระจายไปทั่วสุพรรณบุรีในคืนวันนั้น ผลของการรบปรากฏว่าเสือดำพาบริวารอพยพหนีไปได้ ซึ่งกองปราบพิเศษกำลังจะติดตามอยู่เพื่อจะทำลายบ้างเสือดำกับบริวารให้สิ้นไป

          แต่เสือดำขุนโจรผู้เฉลียวฉลาดได้หลบหนีเจ้าหน้าที่ไปโดยสวัสดิภาพ กองโจรของเขามุ่งเข้าป่าทึบ ยากแก่การจับกุม เพราะภูมิประเทศปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยและเถาวัลย์หนาแน่น

          “พวกเราทั้งหมดนี้ได้ยอมตายแล้ว” เสือดำพูดกับบริวารของเขา “แต่ว่าเราต้องเสียเพื่อนร่วมชีวิตไป ๗ คน จากการประจัญบานกับตำรวจในวันนี้ เพื่อนเราทั้งเจ็ดคนต้องตายเพราะเสือมเหศวรบอกตำแหน่งที่อยู่ของเราให้แก่เจ้าหน้าที่ทราบ ข้าขอถามหน่อยเถอะวะว่าข้าควรจะจัดการกับเสือมเหศวรอย่างไรดี?”

          สมุนโจรคนหนึ่งพูดขึ้นโดยเร็ว

          “ฆ่ามันสิครับพี่ดำ มันเป็นนายโจรที่ไม่มีศีลมีสัตย์ อ้ายมเหศวรไม่ควรมีชีวิตอยู่ต่อไป พี่ดำควรจะต้องฆ่ามันเสีย!”

          ขุนโจรพะยักหน้าเห็นพ้อมด้วย

          “ถ้าเช่นนั้นข้าเห็นพ้องด้วย ถูกละ เสือมเหศวรต้องตายด้วยน้ำมือของข้า เพราะเขาคิดร้ายต่อข้าก่อน ถ้าหากว่าเสือมเหศวรมีน้ำใจสมกับที่เป็นนายโจร ก็ควรจะนำพวกของเขาเข้าบุกเรา การกระทำอย่างนี้ข้าเชื่อว่านายโจรทั้งหลายที่เคยเคารพนับถือเขา จะต้องพากันดูหมิ่นเกลียดชังเขาทันที และคงจะมีนายโจรไม่น้อยที่เห็นใจสงสารข้า” หยุดนิ่งสักครู่ เขาก็กล่าวต่อไป “ข้าอยากจะพาพวกเราเข้าทลายรังเสือมเหศวรในคืนวันนี้ ก็เห็นว่าพวกเรายังอิดโรยอยู่เพราะต้องทำการรบและบุกป่าฝ่าดงมาตั้งหลายชั่วโมง”

          สมุนโจรอีกคนหนึ่งพูดขึ้นว่า

          “พวกเรายังแข็งแกร่งอยู่เสมอพี่ดำ เราทุกคนต้องการตอบแทนการกระทำอันชั่วช้าของเสือมเหศวร พาพวกเราไปรังมันในคืนวันนี้เถอะครับ บุกมันให้แหลก จะได้รู้ดีรู้ชั่วกันเสียทีว่าเสือดำกับเสือมเหศวรนั้นใครจะใหญ่ยิ่งกว่ากัน เราทุกคนหวังจะให้พี่ดำเป็นนายโจรที่มีอำนาจเหนือนายโจรคนอื่นๆ ไปเถอะครับ พาพวกเราไปในคืนนี้แหละ”

          ขุนโจรมองดูบริวารของเขาอย่างชื่นชม นิ่งอึ้งไปสักครู่ เขาก็พูดด้วยเสียหนักแน่นเด็ดขาด

          “ตกลง เมื่อพวกเรายังแข็งแรงพอที่จะเดินทางไปปะทะกับเสือมเหศวรได้ในคืนวันนี้ ก็เตรียมตัวเดินทางเดี๋ยวนี้ เราคงจะไปถึงค่ายของมันราวสี่ทุ่มเป็นอย่างช้า อาหารเย็นวันนี้เราทุกคนไม่มีใครได้กิน ไปกินกันที่ค่ายของมเหศวรเถอะวะ อ้ายน้องชาย”

          ไม่มีสมุนโจรคนใดคัดค้านเลย ทุกคนต่างยิ้มแย้มแจ่มใสและยินดีที่จะเข้าบุกรังเสือมเหศวรเพื่อล้างแค้นและชิงอำนาจแห่งความเป็นเจ้าเป็นใหญ่ในดินแดนสุพรรณบุรี หน่วยกองโจรของเสือดำได้พักผ่อนอยู่อีกสักครู่ก็ออกเดินทางบุกป่าบ่ายโฉมหน้ามุ่งตรงไปยังค่ายของเสือมเหศวรซึ่งไกลออกไปจากที่นี่ประมาณ ๑๐ กิโลเมตร

          การเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบาก บรราดาสมุนโจรต้องเก็บกิ่งไม้และใบไม้แห่งจุดเป็นคบเพลิงส่องนำทาง ลูกน้องของเสือดำคนหนึ่งมีความชำนิชำนาญในการเดินป่าเป็นอย่างดี เพราะเคยมีอดีตเป็นพรานป่ามาแล้ว เขานำเสือดำและบริวารลัดตัดทุ่งนาอันกว้างขวางซึ่งติดต่อกับชายป่า

          ลมตอนหัวค่ำพัดแรงจัด ช่วยให้เสือดำกับบริวารสดชื่นขึ้นไม่น้อย ท้องฟ้าประดับด้วยดวงดาวระยิบระยับ และแสงสะท้อนของพระจันทร์ปรากฏอยู่ที่ขอบฟ้าทางทิศตะวันออก

 

เสือดำปะทะกองปราบ

 

          คนนำทางชี้มือไปที่แสงไฟตะเกียงดวงหนึ่งซึ่งกะพริบๆ อยู่กลางท้องทุ่งเบื้องหน้าโน้น

          “นั่นแหละครับ รังของเสือมเหศวร”

          เสือดำยิ้มเล็กน้อย

          “เอ็งเก่งมากที่พาพวกเราออกมาจากป่าได้อย่างรวดเร็ว ข้าเองงงไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน เอ็งแน่ใจหรือว่านั่นคือหมู่บ้านสามเรือนของเสือมเหศวร”

          “แน่นอนครับพี่ดำ ภูมิประเทศแถบนี้ผมชำนาญนัก”

          ขุนโจรสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรง ล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบและแบ่งปันให้บริวารของเขา บรรดาบริวารของเสือดำต่างมีย่ามและสัมภาระติดตัวรุงรัง

          เสือดำได้กล่าวกับบริวารของเขา

          “พวกเจ้าทุกๆ คนจะต้องเสี่ยงภัยเสี่ยงชีวิตอีกสักครั้งหนึ่ง จงอย่าประมาทเป็นอันขาด มเหศวรเป็นจอมโจรที่มีฝีมือคนหนึ่ง มีไพร่พลพอๆ กับพวกเรา ส่วนอาวุธของเขาอาจจะมีดีกว่าพวกเราก็ได้ แต่ข้าเชื่อว่ากำลังใจของพวกเราย่อมเหนือกว่าพวกเสือมเหศวร ไปเถอะอ้ายน้องชาย เดินไปที่แสงตะเกียงดวงนั้น อีกราวชั่วโมงเศษข้าจะนำพวกเจ้าเข้าตะลุมบอนกับเสือมเหศวร ขอให้ทุกคนจงร่วมมือกับข้าทำลายรังเสือมเหศวรให้จงได้”

          ครั้นแล้วกองโจรของเสือดำประมาณ ๔๐ คนก็ออกเดินทางจากชายป่าเข้าสู่ท้องทุ่งนาอันเวิ้งว้าง ดวงจันทร์ค่อยๆ ปรากฏขึ้นสู่ท้องฟ้า เป็นคืนแรม ๔ ค่ำ แต่แสงจันทร์ยังสว่างนวล

          ในที่สุดเสือดำก็เข้าเหยียบถิ่นเสือมเหศวร เสือดำต้องการเข้าจู่โจมโดยฉับพลันให้เสือมเหศวรรู้ตัว ซึ่งมุ่งหวังจะทำลายขวัญเสือมเหศวรกับพรรคพวก ดังนั้นเขาจึงสั่งให้บริวารทุกคนสงบปากเสียงและเดินผ่านทุ่งนาอย่างเงียบๆ

          บ้านสามเรือนเป็นหมู่เล็กๆ ตั้งอยู่กลางท้องทุ่ง มีประมาณ ๒๐ หลังคาเรือน แวดล้อมด้วยต้นไม้ทำให้เกิดความร่วมเย็น ที่นี่เป็นที่ทราบกันทั่วไปในหมู่พวกโจรว่าบ้านสามเรือนคือค่ายของเสือมเหศวร เขากับบริวารมามั่วสุมกันอยู่ที่นี่ซึ่งเจ้าพนักงานก็ยังสืบทราบไม่ได้ บรรดาผู้ที่อยู่ในละแวกนี้ล้วนแต่เป็นพรรคพวกของเสือมเหศวรทั้งสิ้น

          เสือดำกับพลรบของเขาหยุดยืนอยู่ข้างกอไผ่กอหนึ่ง ห่างจากหมู่บ้านราว ๑๐๐ เมตร ขุนโจรจ้องมองไปยังเรือนหลังใหญ่ซึ่งเป็นที่อยู่ของเสือมเหศวรและมีแสงสว่าง ๒-๓ ดวง

          ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ เสือดำเปลี่ยนสายตามาที่บริวารของเขาพลางปลดสะเต็นออกมาจากบ่า

          “เตรียมตัวพวกเรา ข้าจะพาพวกเจ้าเข้าบุกเสือมเหศวรเดี๋ยวนี้”

          ทุกคนปลดปืนออกจากบ่า ใจเต้นระทึกไปตามกัน ๒ ขุนโจรผู้มีนามกระเดื่องกำลังจะปะทะกันเพื่อผลแตกหัก ณ บัดนี้แล้ว

          ขุนโจรกวาดสายตามองดูบริวารของเขาซึ่งอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมที่จะเปิดฉากโจมตี นิ่งเงียบไปสักครู่ เขาก็ชูมือขวาขึ้นพร้อมกับเปล่งเสียงตะโกนออกมาดังๆ มันเป็นคำสั่งโจมตีที่เสือดำได้ใช้ปฏิบัติมานานแล้ว

          “เสือดำบุก อ้าวเสือเอาวา!”

          เสียงไชโยโห่ร้องขึ้นทันที แล้วปืนยิงเร็วก็ดังรัวขึ้นเป็นการขู่ขวัญเสือมเหศวรกับพรรคพวก ประกายไฟจากปากกระบอกปืนวูบวาบมองแลเห็น บรรดาไพร่พลของเสือดำต่างวิ่งตรงไปยังเรือนพักของเสือมเหศวรเพื่อหวังจะบดขยี้เสือมเหศวรกับพรรคพวกให้แหลกลาญไป

          ตามเวลาที่กล่าวนี้ เสือมเหศวรกำลังประชุมบริวารของเขาซึ่งมีจำนวนไม่ต่ำกว่า ๒๐ คน อยู่บนนอกชานบ้านเพื่อชี้แจงซักซ้อมความเข้าใจกันก่อนที่จะทำการปล้นบ้านผู้มีอันจะกินคนหนึ่งแห่งตำบลทุ่งสาลีในตอนดึกคืนวันนี้ สมุนโจรนั่งล้อมวงห้อมล้อมมเหศวร ทุกคนมีอาวุธครบมือ

 

Writer

Ampaporn Borworn