มุมปากโลก กับอีกล้านหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่า ความปรารถนาทางเพศ : บทวิจารณ์โดย ศกุนิชญ์ สิงห์คลี

มุมปากโลก กับอีกล้านหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่า ความปรารถนาทางเพศ


       ในยุคสมัยที่สังคมไทยยังไม่เปิดรับเรื่องทางเพศเท่าปัจจุบัน การเขียนเรื่องราวที่มีประเด็นอ่อนไหวพร้อมทั้งท้าทายบรรทัดฐานของสังคมนั้นต้องใช้ความกล้าอย่างมาก และอัญชลี วิวัธนชัย หรือ "อัญชัน" ก็ได้พิสูจน์ให้ผู้อ่านเห็นถึงความกล้าหาญนั้นผ่านผลงานนวนิยายขนาดสั้นเรื่อง มุมปากโลก เนื้อหาของนวนิยายนั้นเป็นเรื่องทางเพศอันแสนโลดโผนของหญิงสาวที่ชื่อว่า "เอิง" เธอเป็นผู้หญิงที่มีรูปโฉมสะสวยซ้ำยังมีเสน่ห์ทางเพศเหลือร้าย ทำให้มีผู้ชายมากหน้าหลายตาเข้ามาแวะเวียนและมีความสัมพันธ์กับเธอ แต่แทนที่ "เอิง" จะได้เป็นผู้บอกเล่าเรื่องนี้ให้ผู้อ่านรับทราบด้วยตนเอง เรื่องราวนี้กลับถูกบอกเล่าผ่านตัวละครเอกอย่าง "จ้อน" ผู้มีสถานะเป็นเพื่อนสนิทที่พ่วงตำแหน่งคู่นอนของเอิงแทน
      การเปิดเรื่องของ มุมปากโลก เริ่มด้วยการบรรยายรายละเอียดความเป็นเอิงที่ไม่ว่าจะทั้งด้านความงามหรือความคิดของเธอนั้นช่างแตกต่างจากคนอื่น พร้อมทั้งบอกให้ผู้อ่านทราบว่าเรื่องราวที่อ่านต่อจากนี้จะถูกเล่าผ่านมุมมองของจ้อน ดังข้อความว่า

       ผมไม่แน่ใจว่า ถ้าคุณอ่านเรื่องนี้จบแล้ว คุณจะมีความรู้สึกอย่างไรให้กับผู้หญิงผู้ชื่อ 'เอิง' คุณอาจจะเกลียด กลัว ประหลาดใจ หรืออาจจะอัศจรรย์ใจ หรือว่าคุณอาจจะมีแต่ความเข้าใจให้กับเพื่อนมนุษย์ผู้นี้ของคุณ แต่ผมเชื่อว่ามีอีกหลายคนอย่างแน่นอน เมื่ออ่านเรื่องของ         เอิงจบแล้วอาจจะพบกับความรู้สึกซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผมเพิ่งกล่าวมาข้างต้นทั้งหมด คุณอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นอะไร เพราะบางทีความรู้สึกดังกล่าวนี้ อาจจะยังไม่มีแม้แต่ชื่อของมันเอง ผมขอเปิดเรื่องของเอิงขึ้นมาว่า.....(น.7)

การที่ผู้เขียนเลือกเปิดเรื่องด้วยการบรรยายเช่นนี้แทนการพาผู้อ่านเข้าสู่เรื่องราวเลย อาจตีความได้ว่าคือการเตือนให้ผู้อ่านระวัง เพราะเมื่อผู้เล่าไม่ใช่ "เอิง" ที่เป็นเจ้าของเรื่องแต่เป็น "จ้อน" เรื่องราวที่รับรู้ก็อาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด ตัวละคร "จ้อน" อาจมีการตัดทอนหรือเสริมแต่งขณะที่เล่าได้ และในระหว่างที่เรื่องดำเนินไปผู้เขียนก็ได้เผยปมปัญหาแรกออกมา เนื่องจากเอิงมีความสัมพันธ์กับผู้ชาขมากมายเลยเป็นเหตุให้เธอต้องเผชิญความขัดแย้งกับสภาพแวดล้อมที่เรียนอยู่ เพื่อน ๆ ในคณะของเอิง โดยเฉพาะเพื่อนผู้หญิงนั้นจะไม่ค่อยอยากคบค้าสมาคมกับเธอเพราะกลัวว่าภาพลักษณ์การเป็นผู้หญิงที่ดีตามมาตรฐานสังคมของคนจะเสื่อมเสีย

     ขณะที่เอิงมีแต่เพื่อนผู้ชายมะรุมมะตุ้ม ผมแทบไม่เคยเห็นเอิงเดินอยู่ในกลุ่มเพื่อนผู้หญิงด้วยกัน ข้อนี้เดาได้ไม่ยาก บุคลิกก๋ากั่น ชื่อเสียงในเรื่องความประพฤติพรรค์นั้นของเอิงกระจายออกไปพอ ๆ กับไฟที่ถูกลมกระพือ คงไม่มีสาว ๆ คนไหนในคณะที่ผมเรียนต้องการมาสนิทสนมให้พลอยถูกมองไปในทางเสื่อมเสีย(น.23-24)

 

ด้วยพฤติกรรมนี้ของเอิงนอกจากจะทำให้ตัวเธอประสบปัญหาแล้ว ยังทำให้จ้อนประสบปัญหาไปด้วยด้วยเพราะแฟนสาวของจ้อนไม่พอใจที่จ้อนและเอิงเป็นเพื่อนกัน เธอพยายามบอกให้จ้อนเลิกคบกับเอิงแต่ก็ไม่เป็นผลทั้งคู่ทะเลาะกันอยู่เรื่อยจนสุดท้ายได้เลิกรากันไป

     การเลิกกันครั้งนี้ทำให้จ้อนเสียใจหนักจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เป็นเหตุให้เอิงต้องมาช่วยดูแลคอยป้อนข้าวป้อนน้ำและเช็ดตัวให้ แต่หญิงชายใกล้กันก็เหมือนน้ำตาลใกล้มด วันนั้นจ้อนกับเอิงจึงได้มีสัมพันธ์ที่เกินเลยกว่าที่เพื่อนควรจะเป็น ช่วงแรกทุกอย่างช่างสวยงามและหอมหวานสำหรับจ้อน แต่เอิงก็คือเอิง เธอไม่มีวันผูกติดอยู่กับใครถาวร เธอแวะเวียนไปมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่นเรื่อย ๆ ทำให้เกิดความขัดแย้งและทะเลาะกับจ้อนอยู่บ่อยครั้ง ในบางครั้งก็รุนแรงจนเกือบตัดขาดกันแต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ยังกลับมามีอะไรกันเหมือนเดิม

      ก่อนที่จะพาผู้อ่านไปถึงบทสรุปของความสัมพันธ์นี้ ผู้เขียนได้ทำการหน่วงเรื่องไว้โดยการพาผู้อ่านไปรู้จัก "เอิง" ในด้านอื่น ๆ ก่อนซึ่งก็คือความฝัน ความคิด และพื้นหลังชีวิตของเธอ เอิงมักจะเล่าเรื่องเหล่านี้ให้จ้อนฟังเวลาที่ทั้งคู่นั่งในร้านกาแฟ ร้านไวน์ หรือแม้กระทั่งยามค่ำคืน โดยเรื่องเล่าจะมีตั้งแต่ความฝันของเธอเหตุผลที่พ่อแม่เธอแยกทางกัน ชีวิตตอนอยู่กับคุณยายเรื่องราวที่เจอตอนไปพักกับครอบครัวใหม่ของแม่ช่วงซัมเมอร์ที่บอสตัน แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเอิงจะค่อย ๆ เผยให้เห็นถึงเหตุผลที่ทำให้เอิง "เป็นเอิง"
อย่างที่เรานั้นรู้จัก แต่ในขณะที่ผู้อ่านคิดว่าเหตุผลแค่นี้เพียงพอแล้วผู้เขียนก็ได้กระชากผู้อ่านขึ้นไปจุดสูงสุดเพื่อให้ได้รับรู้พื้นหลังของเอิงมากยิ่งขึ้น

     ผู้อ่านอาจไม่มีวันได้รู้เรื่องราวเหล่านี้เลย หากจ้อนไม่ตัดสินใจบอกรักเอิงหลังจากที่รู้ว่าเอิงท้อง คำบอกรักของจ้อนคือจุดพลิกผันที่ทำให้เอิงเลือกจะเล่าเหตุการณ์ที่เธอถูกทารุณกรรมทางเพศจากพ่อเลี้ยงของเธอ จากคนขับรถ และจากครูแม่บ้านให้จ้อนฟัง เธอเล่าว่าแต่ละครั้งนั้นไม่ได้เกิดจากการบังคับขู่เข็ญของคนพวกนี้อย่างเดียวแต่เป็นตัวเธอเองด้วยที่เลือกเปิดทางให้พวกมัน และเธอก็มองว่าเป็นความโชคดีที่พ่อเลี้ยงกระทำกับเธอแบบนั้นเพราะมันทำให้เธอเปลี่ยนความรู้สึกกลัวมาเป็นของเล่นสุดพิเศษ และเธอก็ใช้มันเป็นตัวเร้าชีวิตมาตลอดหลังจากนั้น เมื่อฟังเรื่องเล่านี้จบจ้อนก็ตัดสินใจหายไปจากชีวิตของเอิง

     ความสัมพันธ์ของเอิงกับจ้อนจบลงที่ตรงนั้น และจ้อนก็ได้เริ่มต้นความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนใหม่ที่ชื่อว่า"นิจ" เธอทำงานที่ธนาคารซึ่งอยู่ตรงข้ามกับที่ทำงานของจ้อน ทั้งคู่ค่อย ๆ ทำความรู้จักกันโดยจ้อนเป็นฝ่ายเข้าหาก่อน และแม้จ้อนจะคบหากับนิจแล้วแต่ในความคิดและความฝันของจ้อนก็ยังมีเอิงเข้ามาวนเวียนอยู่เสมอ ครั้งหนึ่งเขาต้องเชิญความขัดแย้งกับตัวเองเพราะในใจเขานั้นอยากจะไปพบเอิงอีกสักครั้ง อยากเห็นกับตาสักหนว่าเอิงนั้นสบายดี จ้อนพาตัวเองไปอยู่หน้าคอนโดของเอิงแล้วแต่สุดท้ายก็ไม่สามารถตามใจตนเองและขึ้นไปพบเธอได้ เพราะหากได้เห็นหน้าเอิงเขาจะต้องทำผิดต่อนิจแน่ หลังจากนั้นจ้อนจึงเลือกเก็บเอิงเอาไว้แค่ในความฝันและใช้ชีวิตต่อไป

      ชีวิตจ้อนเหมือนจะดำเนินไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งจ้อนได้รับข่าวจากเพื่อนคนหนึ่งว่าเองเสียชีวิตแล้ว โดยตำรวจลงความเห็นว่าเป็นการฆาตกรรมหลังข่มขืน แต่เมื่อจ้อนได้เห็นใบหน้าที่มีรอยบิ้ดเบี้ยวตรงมุมปากของเอิงในหนังสือพิมพ์ เขาก็คิดว่าจุดจบที่เอิงประสบไม่ได้ทำให้เธอเจ็บปวดแต่ทำให้เธอได้ซาบสมกับอารมณ์นั้นต่างหาก การจากไปของ "เอิง" ทำให้จ้อนตั้งมั่นในใจว่าเขาจะเลี้ยงดูลูกสาวของเขาที่มีชื่อว่าเอิง เช่นกันให้เติบโตขึ้นอย่างปลอดภัยและไม่มีจุดจบดังเช่นเอิงอีกคน

      ถึงแม้ว่าผมปกป้องเอิงอีกคนหนึ่งไว้ไม่ได้ แต่ผมมีเวลาทั้งชีวิตที่จะปกป้องเอิงในอ้อมแขนของผมคนนี้เอาไว้ให้ได้จากธรรมชาติลึกลับ ทว่าดำดิบน่าเกลียดน่าชังนักแล้วภายในตัว ที่เราต่างมีมันเป็นเจ้าของ ผมจะเอาความรัก ความเมตตาการุญ และความอบอุ่นทั้งหมดช่วยปกป้องเอิงให้ปลอดภัยจากมันให้ได้
    ...เอิง ขอสัญญานะเอิงนะ(น.198)


     ผู้เขียนจบเรื่อง มุมปากโลก ด้วยโศกนาฎกรรมเพราะความตายของเอิงทำให้จ้อนหวาดกลัวธรรมชาติลึกลับที่มีอีกชื่อว่า ความปรารถนาทางเพศ อย่างมาก เขาคิดว่าสิ่งนี้เป็นตัวการที่พรากเอิงไปจากเขา เขาจึงเลือกจะมอบสิ่งที่เขาคิดว่ามันทคแทน "ธรรมชาติลึกลับ" นี้ได้ให้ลูกสาวของเขาแทน สุดท้ายบทเรืยนจากชีวิตของเอิงก็ไม่ได้ทำให้จ้อนเข้าใจและเห็นประโยชน์ของความปรารถนาทางเพศมากขึ้นเลย

     จากตอนต้นไปจนจบของเรื่อง มุมปากโลก เป็นการเล่าเรื่องแบบย้อนอดีตเพราะเรื่องราวของเอิงนั้นได้เกิดขึ้นพร้อมกับจบลงไปนานแล้ว และ "จ้อน" ได้หยิบยกมันขึ้นมาเล่าอีกครั้ง ในเรื่องเล่านั้นผู้เขียนไม่ได้บรรยายเนื้อหาอย่างเดียวแต่มีการสอดแทรกบทสนทนาระหว่างจ้อนและเอิงไว้ด้วย ทำให้เวลาที่ผู้อ่านสามารถรับรู้ความคิด ความรู้สึกของเอิงที่แสดงออกมา ณ ขณะนั้นได้ ในส่วนของมุมมองการเล่าเรื่องนั้นผู้เขียนได้ใช้มุมมองผู้เล่าบุคคลที่หนึ่ง โดยเล่าผ่านตัวละคร "จ้อน" และมีการใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่งอย่าง 'ผม"บรรยายร่วมตลอดทั้งเรื่อง
     แม้นิยายเรื่องนี้จะมีขนาดสั้นแต่ผู้เขียนก็สามารถสร้างตัวละครออกมาได้มีมิติและใกล้เคียงกับผู้คนในชีวิตจริงมาก โดยเฉพาะตัวละครเอกอย่าง "จ้อน" หรือ "เอก" เขาเป็นผู้ชายที่หน้าตาและฐานะทางการเงินไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลย แต่ตัวเขาค่อนข้างเรียนเก่งจึงทำให้เอิงเข้ามาสนิทสนมด้วย แรกเริ่มผู้อ่านจะรู้สึกว่า จ้อนเป็นผู้ชายที่ดีเพราะเขาปฏิบัติกับเอิงอย่างเพื่อนคนหนึ่ง ไม่ล่วงเกินเอิงทั้งยังคอยปกป้องเอิงเวลาที่มีคนมาว่าเธอในทางที่ไม่ดี แต่เมื่ออ่านไปสักพักผู้อ่านจะรับรู้ได้ว่าจ้อนเป็นผู้เล่าเรื่องที่ไม่จริงใจสักนิด ตอนแรกเขาบอกว่าตนเองไม่ได้คิดอะไรกับเอิงในเชิงชู้สาวและเขาไม่ได้หลงในเสน่ห์ทางเพศของเธอ แต่ยามค่ำคืนเขากลับจินตนาการว่าได้สัมผัสหน้าอกของเอิงทั้งที่ตอนนั้นเขาและเอิงยังชั้นแค่เพื่อนกัน นอกจากนี้เขายังลอบมองหน้าอกของเธอเวลาที่อยู่ด้วยกัน ดังข้อความว่า


     ...แต่ในภาคความเป็นจริงของทุก ๆ วันนั้น อย่างมากที่สุด ผมทำได้แค่ลอบมองดู ส่วนนั้น ชั่วแวบหรือสองแวบ ขณะที่มันยุบยวบขึ้นลงอยู่ข้างในเสื้อ เมื่อเอิงถอนลมหายใจถี่ ๆ ออกมาเท่าแล้วก็ต้องรีบถอนสายตาจากมันจนแทบหายใจหายคอไม่ทันอีกนั่นละ ก่อนคนซึ่งผมกลัวที่สุดคือเอิงจะหันมาจับผมได้คาหนังคาเขา(น.45)


และเวลาที่เอิงไปมีสัมพันธ์กับชายอื่น จ้อนจะด่าทอเธอทั้งต่อหน้าและในใจด้วยถ้อยคำที่รุนแรงกว่าตอนคนอื่น ๆ มาด่าว่าเอิงให้จ้อนฟังอีก

       "เอิง ถ้าจะทำตัวเป็นส้วม ก็น่าจะรู้นี่ว่าขึ้นชื่อว่าส้วม ถึงจะติดป้ายบอกคนผ่านไปผ่านมาว่าเป็นส้วมสาธารณะก็เถอะ ยังต่อแถวผลัดกันเข้าไปใช้แค่ทีละคนไม่ใช่มีกี่คน ๆ ก็กระโจนพรวดเข้าไปใช้พร้อมกันรวดเดียวที่พูดนี่พอจะซึมชาบเข้าไปในวิจารณญาณของแกบ้างไหม ฮึ....เอิง"(น.63)


      หลังจากจ้อนรู้ว่าเอิงจัดเซ็กซ์คลับด้วยความโมโหเขาเลยด่าทอเอิงว่าเธอเป็นส้วม และเมื่อวางสายจากเอิงยังด่าเธอในใจต่อว่า "..เกิดมาไม่เคยเห็นผู้หญิงที่ดูมีสกุลรุนชาติ คนไหนไร้สมบัติผู้ดี หน้าด้าน และร่านกามอย่างร้ายกาจเท่ากับเอิง นึกไม่ออกว่าถ้าเอิงอยู่ในฐานะคู่รัก หรือเมีขของผมจริง ๆ ผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน..."(น.63-64)

      นอกจากคำพูดและความคิดที่มักจะดูถูกเอิงเวลาทั้งคู่มีเรื่องหมางใจกันแล้ว จ้อนยังทำการขืนใจเอิงหลังจากบอกรักเธอด้วย

             "เป็นของฉันคนเดียวเถอะนะเอิง เป็นของฉันเถอะ.."
             ผมพึมพำ ค่อยๆ  กดเอิงทอดไปกับที่นอน เอิงขัดขืนผมไปสะอื้นฮัก ๆ ไป ระหว่างที่ผมพยายามจะฝังตัวเองเข้าไปในตัวเอิง ปากผมพร่ำพรอดประโยคนี้ไปด้วยซ้ำ ๆ จาก ๆ ผมพูดจนกระทั่งเอิงเปิดรับผมโดยดี

             ผมลงมือทำกับเอิงด้วยความทะนุถนอม เพราะรู้แก่ใจว่าเอิงมีท้อง...(น.118)


      แม้จ้อนจะเล่าว่าเขาทำด้วยความทะนุถนอมแต่มันไม่ได้ลดทอนสิ่งที่เขากระทำกับเอิงเลย ตรงจุดนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าตัวละครจ้อนนั้นมีความเห็นแก่ตัว เขาบอกว่าเป็นห่วงเธอ รักเธอ แต่การกระทำต่าง ๆ ก็ไม่ต่างจากคนอื่น หากจ้อนห่วงเอิงจริงเขาควรจะสวมถุงยางตอนมีเพศสัมพันธ์กับเอิง และหากจ้อนรักเอิงจริงเขาไม่ควรฝืนใจเอิงทั้งที่ตอนนั้นเธอไม่ได้อยากทำ ผู้เขียนสร้างตัวละครจ้อนออกมาให้เป็นดั่งกระจกที่สะท้อนคนในสังคมที่เวลาเล่าเรื่องอะไรก็ตาม จะเล่าให้ตนเองดูดีไว้ก่อน และในบางครั้งก็เป็นคนพูดอย่าง ทำอย่าง แต่ละการกระทำช่างสวนทางกับคำพูด


      ในส่วนของตัวละคร "เอิง" หรือ "นางสาววิชชุลดา" สาวสวยเจ้าของเรื่องเล่านี้ แรกเริ่มเธอเป็นคนที่ความคิดค่อนข้างแปลก กล้าได้กล้าเสีย ไม่กลัวอะไรเลยและดูจะรักสนุกไปวัน ๆ แต่เมื่อเจาะเข้าไปดูเบื้องลึกเบื้องหลังของเธอแล้วจะพบว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน เพราะเมื่อครั้งที่เธอเป็นเด็ก หลังจากพ่อแม่เธอแยกทางกันเธอต้องอาศัยอยู่กับคุณยาย แม้ชีวิตจะสุขสบายเพราะคุณยายเธอร่ำรวย แต่ยายของเธอก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับเธอเท่าที่ควร มีเพียงยายปรางคนเก่าคนแก่ของคุณยายที่ดูแลเธอ ตอนเด็ก ๆ เอิงเป็นคนขี้กลัวมาก เธอกลัวความมืด กลัวเสียงฟ้าร้อง กลัวบันได กลัวเงา กลัวผี เธอกลัวแม้กระทั่งเสียงพัดลม ในตอนนั้นเธอมียายปรางคอยปลอบประโลมแต่เมื่อยายปรางสิ้นชีวิตไปตัวเธอก็เหมือนขาดที่พักพิง

 

      เมื่อถึงช่วงซัมเมอร์ที่เอิงต้องไปพักกับครอบครัวใหม่ของแม่ที่บอสตัน เธอก็ได้พบกับครอบครัวเพื่อนบ้านที่พึ่งย้ายเข้ามาใหม่ พวกเขาจัดงานเลี้ยงวันเกิดโดยตกแต่งงานด้วยสีเขียวทั้งหมด เอิงสงสัยจึงถามเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในงานและได้ความว่า เด็กที่เป็นเจ้าของงานวันเกิดนี้คือ แคธี่ เธอเสียชีวิตจากการถูกรถชนตอนแปดขวบ แต่ถ้าเธอยังมีชีวิตอยู่เธอจะอายุเท่ากับเอิง และความจริงคือแคธี่ชอบสีแดงแต่ที่ข้าวของทุกอย่าง รวมทั้งลูกโป่งที่พวกเขาปล่อยให้ลอยขึ้นฟ้าไปเป็นสีเขียวนั้น เพราะแม่ของแคธี่เชื่อว่าเมื่อมันลอยไปถึงโลกที่แครื่อยู่มันจะกลายเป็นสีแดง


     หลังจากนั้นเอิงก็ยึดติดกับลูกโป่งลูกนั้นมาก เธอเชื่อว่ามันจะพาเธอไปในสถานที่ที่ทุกสิ่งอย่างกลับตาลปัตรจากโลกแห่งความจริง และลูกโป่งนี้ก็โผล่มาหาเธออีกครั้งตอนที่เธอถูกพ่อเลี้ยงขืนใจ วินาทีที่ความกลัวและความเจ็บปวดถาโถม เอิงมองเห็นลูกโป่งสีเขียวพวงนั้น ก่อนที่เธอจะขาดอากาศหายใจจากการถูกพ่อเลี้ยงเอาหมอนกดหน้า เธอใช้แรงเฮือกสุดท้ายจับลูกโป่งนั้นไว้ในมือได้ มันค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงและมันก็ได้เปลี่ยนความรู้สึกกลัวที่เอิงมีในตอนนั้นเป็นความรู้สึกอื่นแทน มันคือความรู้สึกซาบซ่านที่ทำให้เธอเสพติดจนขาดไม่ได้อีกเลย

     ส่วนเหตุผลที่ทำไมเอิงถึงเลือกเปิดทางให้พ่อเลี้ยง คนขับรถ และครูแม่บ้าน ล่วงเกินเธอนั้น อาจตีความได้ว่ามันคือกลไกการป้องกันตัวของเธอ เพราะรอบตัวเธอขณะที่เกิดเหตุนั้นไม่มีใครอยู่สักคน เธอไม่สามารถวิ่งไปหายายปรางเพื่อขอให้หล่อนช่วยได้อีกแล้ว เอิงจึงเลือกวิธีกระโจนเข้าไปเผชิญหน้ากับพวกใจทรามและความกลัวนั้นก่อนที่มันจะเข้ามาทำร้ายเธอก่อน

     ...พอฉันเริ่มจะเคลิ้ม ก็เริ่มได้ยินเสียงฝีเท้าตึก ๆ ของไอ้พ่อเลี้ยงก้าวขึ้นขั้นบันไดจากชั้นล่าง ฉันตกใจตัวสั่นดิก ๆ แทบไม่กล้ามองไปที่ประตูห้อง นึกย้อนไปถึงตอนฉันเป็นเด็ก ๆ ที่ต้องนอนคนเดียว แล้วชอบหวาดผวาไปด้วยว่ามีอสุรกายอะไรตัวหนึ่ง คอยมายืนจังก้าหน้าประตูห้อง เพื่อจะยื่นมือยาว ๆ ของมันมาหมุนบิดประตูเข้ามาบีบคอฉัน จำได้ไหมจ้อน ที่ฉันเคยเล่าว่าฉันต้องมาแอบนอนกะยายปรางทุกคืนเพราะกลัวผีตัวนี้จนจับใจ ตอนนั้นละ อยู่ดี ๆ ความรู้สึกแบบเด็ก ๆ พรรค์นี้ก็พุ่งพรวดขึ้นมาอีก จนฉันนอนแข็งทื่อไม่กล้ากระดุกกระดิก...(น.124-125)

     หลังจากเกิดเหตุการณ์เหล่านี้แม่และยายของเอิงก็ไม่ได้เอาผิดพวกที่กระทำเอิงสักคน สิ่งที่พวกเขาทำมีเพียงการพาเอิงไปรักษาบาคแผลจากการทารุณกรรมทางเพศและจัดการกับลูกในท้องของเอิงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงสามารถเข้าใจได้ว่าทำไมเอิงถึงเลือกจะเปลี่ยนความกลัวเป็นความปรารถนาทางเพศแทนเพราะหากไม่ทำเช่นนั้นเธอคงไม่สามารถใช้ชีวิตรอดมาได้นานขนาดนี้

      ...จ้อน...ถ้าฉันไม่ทำอะไรกับความรู้สึกร้ายกาจนี้มันเสียใหม่ ฉันคงมีชีวิตไม่ถึงวันนี้หรอก หัวใจฉันคงช็อกหยุดทำงานไปนานแล้ว เพราะความรู้สึกร้ายกาจอันนี้มันตามฉันไปทุกก้าว...โชคดีที่ไอ้พ่อเลี้ยงของฉันมันเป็นคนทำให้ฉันรู้จักเปลี่ยนความกลัวมาเป็นของเล่นพิเศษสุดของฉันแทนเพราะตั้งแต่วันนั้น วันที่มันทำกับฉัน...ฉันก็เริ่มมองความกลัวเปลี่ยนไปหน้ามือเป็นหลังมือ มันกลายเป็น ตัวเร้าชีวิตฉันให้ห่ามหิวแต่รสชาติแปลกประหลาดของมันจนไม่มีอะไรบรรยายได้ กว่าจะรู้ตัว ฉันก็หลงใหลมันงอมแงม บอกแกก็ได้ว่า ชีวิตฉันคงอยู่ไม่ได้ถ้าขาดมัน....(น.145-146)


    อีกหนึ่งตัวละครที่ขาดไปไม่ได้แม้จะเพิ่งเข้ามามีบทบาทในช่วงที่เรื่องราวใกล้จบคือ นิจพร หรือ นิจ ภรรยาของจ้อน รูปร่างภายนอกและลักษณะนิสัยของเธออาจกล่าวได้ว่าตรงข้ามกับเอิงทุกอย่างเป็นคลีโอพัตรา นิจคงเหมือนมาดามคูรี่ พวกเธอสามารถพลิกโลกของจ้อนได้เหมือนกัน เพียงแต่อยู่กันคนละค่ายเท่านั้น นิจคือตัวแทนของความเรียบง่ายและธรรมดา เธอไม่วิ่งไขว่คว้าหาความสุขหรือความรู้สึกแปลกประหลาดเหมือนเอิง เธอใช้ชีวิตด้วยความเข้าใจและมีเหตุผลเสมอ แม้จะว่าจ้อนไม่เคยลืมผู้หญิงที่ชื่อว่า เอิง เลย เธอก็ไม่ถือโทษโกรธจ้อนตรงส่วนนี้และปฏิบัติตนเป็นคู่ชีวิตที่ดีต่อไป แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็มีส่วนคล้ายเอิงเล็กน้อย "ความสุขหรือคะ...สำหรับนิจนะไม่รู้คนอื่นเขาคิดยังไง แต่นิจคิดว่า ความสุข...คงไม่ได้อยู่ที่เรากำลังประสบกับอะไรอยู่ แต่น่าจะอยู่ตรงที่เราจะทำอย่างไรให้ดีที่สุดเมื่อเจอสิ่งนั้นมากกว่า ไม่ว่าสิ่งนั้นที่เข้ามาจะถูกเรียกว่า ความสุขบ้าง หรือความทุกข์บ้างก็เถอะ"(น.163) จากข้อความนี้ทำให้เห็นว่าทั้งนิจและเอิงก็มีการจัดการกับสิ่งที่กำลังประสบอยู่เช่นกัน แม้เรื่องที่พบเจอและวิธีการอาจแตกต่างกันแต่ทั้งคู่ก็ทำได้ดีที่สุดแล้วในตอนนั้น


    ฉากที่ปรากฏในเรื่อง มุมปากโลก นอกจากจะมีมหาวิทยาลัยซึ่งตั้งอยู่ละแวกหน้าพระลานที่ทั้งจ้อนกับเอิงได้พบกันและเรียนอยู่แล้ว อีกสองสถานที่ที่ผู้เขียนบรรยายถึงบ่อยครั้งคือ ห้องพักของจ้อนและคอนโดของเอิง โดยคอนโดที่เอิงอาศัยอยู่นั้นค่อนช้างมีชื่อเรื่องค่าเช่าแพง เนื่องจากตั้งอยู่แถวย่านสาทรเหนือและหรูหราอย่างกับวิมานกลางกรุง ต่างกับห้องพักของจ้อนที่อยู่ในเรือนไม้กระดานเก่า ๆ ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาด้านฝั่งธนบุรี นอกจากผู้เขียนจะใช้สองสถานที่นี้ในการดำเนินเหตุการณ์ต่าง ๆ แล้วยังใช้มันเป็นเครื่องตอกย้ำถึงความต่างทางฐานะระหว่างเอิงกับจ้อนด้วย และเพราะเรื่องนี้ถูกเล่าผ่านมุมมองของจ้อน นอกจากบรรยากาศแห่งความสุขที่จ้อนบรรยายออกมาขณะร่วมรักกับเอิงแล้ว ที่คงเหลืออยู่ก็มีเพียงบรรยากาศแห่งความหวั่นใจและหวาดกลัว แม้จ้อนจะไม่กล่าวมันออกมาตรง ๆ แต่ทุกครั้งที่เอิงปฏิบัติตนต่างไปจากที่เขารู้จัก หรือเวลาที่เธอเล่าเรื่องความหลัง จ้อนจะรู้สึกสับสนและกลัวเธอ ยกตัวอย่างเช่น ตอนเอิงเล่าเรื่องที่ตนถูกทารุณกรรมทางเพศในวัยเด็ก จ้อนก็กลัวเธอมากจนไม่ไปพบเจอเอิงอีกเลย


      มุมปากโลก เป็นนวนิยายที่ทำให้ผู้เขียนได้แสดงฝีมือและศิลปะในการใช้ภาษาที่ตนมีค่อนข้างมากเนื่องจากเป็นเรื่องทางเพศ เพื่อไม่ให้เนื้อหามีความหยาบโลนเกินไป ผู้เขียนจึงมักจะใช้ภาพพจน์อุปลักษณ์ในการเปรียบเทียบอวัยวะ และการร่วมเพศเป็นสิ่งต่าง ๆ แทน

     ..ขณะที่กุหลาบขาวสะอาดดอกนั้นกลับบี้แบนอยู่ได้แผ่นหลังเปล่า ๆ ของเอิง ที่ถูกผมกดทับลงไปร้องเร่า ๆ อยู่กับพื้น จ้อนจ๋า จ้อนจำ จ้อนจ๋า แรงกระแทกระทั้นของผมที่ออกแรงกังกับเอิงครั้งแล้วก็ครั้งเล่า ทำให้กลืบบางนิ่มของมันถึงกับฉีกขาด และแหลกวิ่นเกือบไม่เหลือรูป(น.57)

 

     จากข้อความจะพบว่าผู้เขียนตั้งใจใช้ดอกกุหลาบที่อยู่ใต้แผ่นหลังเอิงเป็นตัวแทนของอวัยวะเพศเพื่อเปรียบเทียบให้ผู้อ่านเห็นว่าสภาพอวัยวะส่วนนั้นของเอิงขณะร่วมรักกับจ้อนมีลักษณะไม่ต่างจากดอกกุหลาบสีขาวดอกนี้ นอกจากนี้บางตอนผู้เขียนก็มีการเปรียบอวัยวะเพศของจ้อนกับเอิง และลักษณะการร่วมรักของทั้งคู่เป็นปี่และฉิ่งที่บรรเลงในโรงละครรำด้วย


      ...ผมกลับพบตัวเองกำลังเร่า ๆ ไปตามอารมณ์แสนดิบพรรค์นั้นของเอิง นัวเนีย ๆ ไปด้วยอาการสูสีไม่แพ้กัน ถ้านึกภาพไม่ออกก็ลองนึกภาพปี่และฉิ่งในโรงละครรำแก้บนที่เชิดเสียงรับส่งพร้อม ๆกันออกมาครึกโครมสุดกำลังก่อนที่จะหมดเสียงลงจนทั้งโรงมีแต่ความเงียบฉี่(น.69)


นอกจากผู้เขียนจะมีศิลปะในการใช้ภาษาที่ทำให้เนื้อเรื่องมีลูกเล่นมากขึ้นแล้ว ผู้เขียนยังรู้จักเลือกใช้ระดับภาษาที่เหมาะกับบริบท และตัวละครด้วย ในเรื่อง มุมปากโลก จ้อนคือผู้ทำหน้าที่เล่าเรื่อง ดังนั้นภาษาไม่ทางการ และเพื่อให้เรื่องเล่านั้นดูมีชีวิตและสมจริง ผู้เขียนจึงใช้คำแสดงคงอารมณ์จำพวกคำอุทานและคำสบถในส่วนของบทสนทนาอยู่บ่อยครั้งเพื่อให้ผู้อ่านได้รับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครในขณะนั้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น


     ส่วนการตั้งชื่อเรื่องว่า มุมปากโลก นั้นน่าจะมาจาก มุมปากทางเข้าของอีกโลกหนึ่ง มันเป็นสัมผัสก่อนทุก ๆ คน เป็นโลกที่ลูกโป่งเขียวพวงนั้นพาเอิงมาถึง โลกซึ่งทุกสิ่งอย่างช่างผิดแปลกและกลับตาลปัตรจากโลกความเป็นจริง โลกที่มีดวงอาทิตย์เป็นสีดำ เงาเป็นสีขาว และปราสาททรายถูกสร้างด้วยหิมะ เป็นโลกที่มีความปรารถนาทางเพศไม่ใช่ศัตรูตัวร้าย แต่เป็นเครื่องมือที่เอิงใช้เพื่อลบล้างความกลัว ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอว่า เซ็กซ์ หรือความปรารถนาทางเพศนั้นก็มีประโยชน์เช่นกัน แม้ในมุมมองของจ้อนหรือคนอื่น ๆ จะคิดว่ามันคือธรรมชาติอันลึกลับน่าเกลียดน่ากลัว และต้องปกป้องคนที่รักให้ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับมัน แต่ในทางกลับกันธรรมชาติอันลึกลับนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เอิงสามารถจากไปโดยไม่เจ็บปวดเช่นกัน

     มุมปากโลก เป็นนวนิยายที่ให้มากกว่าความสนุก และความชาบซ่าน เพราะอัญชันได้นําเสนอให้ผู้อ่านได้เห็นอีกด้านหนึ่งของความปรารถนาทางเพศ ซึ่งเป็นด้านที่ไม่ได้น่าหวาดกลัวอย่างที่สังคมบอกให้เราเชื่อแบบนั้น นอกจากนี้อัญชันชันยังเสียดสีบรรทัดฐานของสังคมที่ดีกรอบผู้หญิงเรื่อง การมีเพศสัมพันธ์เท่ากับเสียตัว อีกด้วย และถึงแม้งานเขียนนี้จะยังติดหล่มตรงที่เขียนจุดจบของผู้หญิงแบบ "เอิง ให้ลงเอยเช่นนั้น แต่ถ้าเทียบกับปีที่นวนิยายเรื่องนี้ตีพิมพ์สิ่งที่อัญชันได้เขียนลงไปก็ถือว่ากล้าหาญแล้ว เมื่อประกอบกับทัศนคติต่าง ๆ ที่ปรากฏในเรื่องซึ่งไม่ได้ลดทอนคุณค่าของผู้หญิงแม้มันจะเล่าจากมุมมองของตัวละครชายก็ตาม ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ผู้วิจารณ์จึงมองว่า มุมปากโลก เป็นหนังสือที่ดีและควรค่าที่ชีวิตนี้จะอ่านสักครั้ง

 

Writer

The Reader by Praphansarn