ถ้อยคำที่บรรจงรอย สู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ จากธารน้ำค้างบนดอกบัวขาว : บทวิจารณ์โดย ภาณุวัฒน์ ศิริยามัน โครงการ อ่าน เขียน เรียนรู้ สู่ งานวิจารณ์ ปีที่ 11

ถ้อยคำที่บรรจงรอย สู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ จากธารน้ำค้างบนดอกบัวขาว

ถ้อยคำที่บรรจงรอย สู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
จากธารน้ำค้างบนดอกบัวขาว

ตอน 'ธารน้ำค้าง' โดยชมัยภร แสงกระจ่าง

 

     ธารน้ำค้างบนดอกบัวขาวเป็นหนังสือกวีนิพนธ์ที่สะท้อนมุมมอง และบริบททางสังคม ผ่านการจรดปลาย ปากกาลงบนแผ่นกระดาษ เรียงร้อยตัวอักษร จนเกิดเป็นถ้อยคำซึ่งกลั่นออกมาเป็นบทกลอนที่ราบเรียบแต่ทรงพลังและลุ่มลึก แฝงข้อคิดไว้ในตัวบท พร้อมฝากสารบางอย่างถึงผู้อ่านให้ได้พิเคราะห์และทำความเข้าใจ หนังสือเล่มนี้เกิดจากการคัดสรรบทกวีที่ชมัยภร แสงกระจ่าง ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ได้ประพันธ์ไว้แล้ว รวม ๕๐ ชิ้น มีการจำแนกตัวบทประพันธ์ทั้งหลายออกเป็น ๔ หมวดหมู่ด้วยกัน ได้แก่ ๑). ธารคำ ธารภาษา ๒). ธารน้ำตา ธารอารมณ์ ๓). ธารสังคม ธารชีวิต ๔). ธารจิต ธารธรรม นำมาตีพิมพ์และรวมเป็นเล่มในที่สุด

     ในครั้งนี้ข้าพเจ้าจะวิจารณ์เฉพาะ หมวดหมู่ที่ ๔ เฉพาะตอน “ธารน้ำค้าง” ซึ่งธารน้ำค้างกล่าวถึงความเศร้าหมองบางอย่างภายในความทรงจำของตัวละครสมมติ ผ่านการบรรยายเป็นบทร้อยกรองที่แยบคาย และในท้ายที่สุดก็ฝากสารบางอย่างเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง ในขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้ผู้อ่านเกิดการพิจารณา และวิเคราะหืสิ่งที่ตัวบทได้มอบไว้

 

การสร้างภาพพจน์ที่วิจิตรบรรจง และวรรณศิลป์ที่ลุ่มลึก

    หากพูดถึงความมรงจำที่มัวหมองแล้ว เราคงนึกถึงความทรงจำที่ทุกข์ระทมจากเหตุการณ์บางอย่าง แต่ชมัยภร แสงกระจ่าง มิได่บรรยายถึงความมัวหมองเหล่านั้นเลย หากแต่นักเขียนได้มีการบรรยายถึงบรรยากาศรอบข้างที่ความทรงจำมัวหมองนั้นคงอยู่ การสร้างบริบทโดยอาศัยการใช้วรรณศิลป์อย่างวิจิตร ช่วยสร้างความลุ่มลึกให้กับตัวบทร้อยกรอง ทั้งยังส่งผลให้ผู้อ่านเกิดจินตภาพ และสามารถเข้าไปสู่สถานการณ์นั้นได้อย่างละเมียดละไม ดังนี้

    “ฉันไม่เคยลืมมันวันเก่าเก่า
    วันที่แสงกับเงาทำหน้าที่
    ฉันอยู่ในหมอกม่านมานานปี
    ก่อนแย้มหน้าหาปฐพีมีแสงริน”
    ...
     “จำได้ว่าบางวันนั้นแสนมืด
     ฟ้าสีชืดใจเฉาแทบด่าวดิ้น”
    (ชมัยภร แสงกระจ่าง, ๒๕๖๘ : ๑๑๖)

    จากตัวบทข้างต้นมิได้เล่าว่าเหตุการณ์ในวันวานคือสิ่งใด แต่เป็นการพรรณนาถึงตัวละครว่า “ฉันอยู่ในหมอกม่านมานานปี” สามารถชักจูงผู้อ่านให่จินตนาการถึงความเป็นไปของบริบทว่า ตัวละครกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เพราะม่านหมอกแสดงถึงความมัวหมองในชีวิต เสเนทางที่ถูกบดบังทัศนวิสัยจนไม่สามารถหาทางออกได้ จึงทำให้ตัวฉันติดอยู่ ณ ที่แห่งนี้เป็นแรมปี

    สิ่งนี้สามารถอนุมานได้ว่าตัวละครคงติดอยู่กับความทรงจำของอดีตที่ไม่น่าอภิรมย์ และลืมลงได้ยากอีกทั้ง “จำได้ว่าบางวันนั้นแสนมืด” ยังตอกย้ำว่า ความทรงจำที่ยังคงอยู่นี้มิเพียงเป็นม่านหมอกบาง ๆ แต่บางครั้งยังสามารถกลายมาเป็นหมอกหนาที่บดบังเส้นทางชีวิตในแต่ละวันได้อีกด้วย

     นอกจากนี้ยังมีการใช้โวหารที่ช่วยให้ผู้อ่านสามารถเข้าถึงความจริงบางอย่างในชีวิต ช่วยให้ผู้อ่านสามารถจินตนาการตามตัวอักษร และเข้าใจอย่างถ่องแท้ได้ในที่สุด ดังนี้

     “เราเป็นเพียงหยดหนึ่งของน้ำค้าง
     หยาดลงอย่างอ่างว้างกลางเวหน
    เราเป็นเพียงหนึ่งนิดน้อยของรอยคน
     จะร่วงหล่นระเหยหายในพริบตา”
    (ชมัยภร แสงกระจ่าง, ๒๕๖๘ : ๑๑๗)

 

    การเปรียบมนุษย์เราเป็นดั่งน้ำค้างหยดเล็ก ๆ สื่อความหมายว่า ตัวเรานั้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับธรรมชาติที่รายล้อมเราอยู่ หากพูดถึงอุปสรรคก็จะยิ่งเล็กลงไปอีก ดังนั้นไม่ว่าความยากลำบากที่เราแบกเหล่านั้นจะยากเพียงใด แต่ท้ายที่สุดมันก็จะจบสิ้นไป เฉกเช่นน้ำค้างที่ระเหยไปในยามรุ่งสาง

 

การเปลี่ยนผ่านของฉากหลังสู่การเข้าถึงสัจธรรม

    หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ทำการพิเคราะห์ “ธารน้ำค้าง” แล้วถ้อยคำที่ถูกออกแบบและร้อยเรียงเหล่านั้นกระซิบกระซาบหัวใจของข้าพเจ้าถึงสัจธรรมบางสิ่ง การส่งต่อฉากของตัวละคร การตั้งคำถามเพื่อเป็นการเปลี่ยนผ่านจากบางสิ่งไปสู่บางสิ่งที่รอการเปลี่ยนแปลง นำไปสู่สัจธรรมที่เที่ยงแท้ของชีวิต การเปลี่ยนผ่านเหล่านี้มอบมุมมองทางความคิดที่แข็งแกร่ง ดังนี้

“ฉันจำได้ทุกหยาดหยดรสความทุกข์
ฉันปลอบปลุกด้วยความเศร้าทุกเช้าค่ำ
ฉันจำได้ทุกรูปหมองของทรงจำ
ฉันตอกย้ำด้วยน้ำตาทุกคราไป”
(ชมัยภร แสงกระจ่าง, ๒๕๖๘ : ๑๑๖)

 

    การตระหนักรู้ถึงสิ่งที่ตัวละครกำลังประสบพบเจออยู่นั้น เป็นการเริ่มต้นของตัวบทที่งดงาม การนั่งพิจารณาสภาพความเป็นไปของตนเอง คือหนทางที่แจ่มแจ้งเพื่อให้สามารถเข้าถึงตัวตนที่ชัดเจน

“วันความทุกข์ทำอย่างไรจะให้ผ่าน
วันความทุกข์ทรมานสักปานไหน
วันความทุกข์ดำดิ่งยิ่งกว่าใคร
จะก้าวอย่างไรในตัวตน”
(ชมัยภร แสงกระจ่าง, ๒๕๖๘ : ๑๑๖)

 

     การตระหนักรู้ในบทก่อนหน้า นำไปสู่การตั้งคำถามต่อสิ่งที่ได้ค้นพบ ซึ่งในบทนี้เป็นจุดเชื่อมที่วิจิตรงดงามในการส่งต่อความฉงน สู่ทางออกที่แจ่มชัด และเป็นสัจธรรมที่ชีวิตกำลังตามหา

“จึงในหนึ่งวาระกาลอันแสนสั้น
เราต้องยืนยันต้องฟันฝ่า
ต้องชูใจขึ้นครองเหนือท้องนภา
เป็นน้ำค้างหยาดจากฟ้าสู่ธานินทร์”
(ชมัยภร แสงกระจ์าง, ๒๕๖๘ : ๑๑๗)

 

     การตอบคำถามที่ตัวละครได้ตั้งไว้ เป็นการปิดจบเรื่องราวได้อย่างงดงาม จากความหม่นหมองดั่งม่านหมอกในชีวิต สู่การตั้งคำถามถึงบางสิ่งที่กำลังดำเนินไปในชีวิต และปิดจบด้วยคำตอบที่เป็นสัจธรรม ซึ่งทั้งสามส่วนนี้ต่างเป็นตัวบทที่แข็งแกร่ง

หัวใจแห่ง “ธารน้ำค้าง”

    กวีนิพนธ์เรื่องธารน้ำค้างบนดอกบัวขาว บทที่ ๔ ตอน ธารน้ำค้างนี้ ไม่เพียงผสมผสานวรรณศิลป์ที่แข็งแกร่ง แต่ทางด้านถ้อยคำที่ร้อยเรียงออกมานั้นก็ไม่ซับซ้อน แต่ความไม่ซับซ้อนนี้เก็บซ่อนความลุ่มลึกทางจินตภาพไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง การสร้างภาพพจน์ ที่แข็งแรงจนสามารถชักชวนให้ผู้อ่านคิดตามได้อย่างละเมียดละไมเป็นความสมบูรณ์แบบในตัวบทกวี อีกทั้งการเปรียบเปรยที่เป็นเอกลักษณ์และสนับสนุนกับบริบทที่ต้องการจะสื่อความก็เสริมกันอย่างลงตัว และการเปลี่ยนฉาก จากจุดมืดมัว สู่จุดที่แสงสามารถสาดส่องมาถึง ก็เป็นการดำเนิน
เรื่องของบทกวีที่จับใจ และแยบคาย

   ชมัยภร แสงกระจ่าง แสดงถึงการตื่นรู้ในสัจธรรมของชีวิตที่ผ่านการตกตะกอนทางความคิด และกลั่นออกมาเป็นความสมบูรณ์แบบทางความคิดอย่างไร้ที่ติ ช่วยชี้ทางเดินให้กับบุคคลที่กำลังหลงทาง หากผู้ใดกำลังติดอยู่ในม่านหมอกมัวมืด หากได้เปิดตอนนี้อ่าน อาจกลายเป็นดั่งเปลวเทียนที่สามารถนำทางชีวิตที่มืดครึ้มอยู่ได้

Writer

The Reader by Praphansarn