กระแสลมแห่งเดือนกุมภาพันธ์ที่พัดผ่านมาอาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนผ่านฤดูกาล เป็นกำลังที่เร่งรัดให้เมล็ดข้าวในท้องทุ่งให้รีบออกรวง กลิ่นซังข้าวและไอดินเจือจางอยู่ในสายลมนั้น เป็นกลิ่นแห่งการผลัดเปลี่ยนและการเริ่มต้น หากเราเป็นต้นข้าวในท้องนาที่ถูกกระแสลมนั้นพัดโหมแรงจนเกือบถอนรากถอนโคน เราจะใช้แรงทั้งหมด ยึดติดอยู่กับผืนดินแห่งเดิมหรือสลัดราก ปล่อยตัวเราไปตามกระแสลมให้พัดไปตกอีกฝั่งหนึ่ง
กนกพงศ์ สงสมพันธ์ จะชวนเราไปขบคิดกับประเด็นในเรื่องของ “สงครามความคิด” ระหว่างมนุษย์กับตนเอง และมนุษย์กับมนุษย์ ในเรื่อง “สะพานขาด” ซึ่งเป็นหนึ่งในหนังสือรวมเรื่องสั้น “สะพานขาด” เป็นเรื่องสั้นเพื่อชีวิต ตีพิมพ์ครั้งแรกใน พ.ศ. 2532 อันเป็นยุคของการสร้างสรรค์งานเขียนประเภท “วรรณกรรมกับความสำนึกเชิงสังคม” ที่สืบทอดลักษณะของวรรณกรรมแนวสัจนิยม และนำเสนอสังคมแบบ “คนกินคน”
สะพานขาด เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มคนหนึ่งที่เติบโตมาในชนบท สังคมที่เขาเติบโตมาเป็นสังคมการเกษตร ชีวิตเขาถูกปลูกฝังให้อยู่ในรูปในรอยของศาสนา ตอนเช้าไหว้พระและตอนเย็นทำวัตรเย็น เมื่อเขาตั้งคำถามหรือต่อต้านกับกิจกรรมดังกล่าว เขาก็จะถูกอำนาจของผู้เป็นบิดากดขี่อย่างทารุณด้วยฤทธิ์เดชของไม้เรียว พ่อ แม่และสังคมในชนบทนั้นเป็นผู้ประกอบสร้างตัวตนของเขา แต่ก็เป็นผู้ผลักไสเขาออกจากตัวตนนั้น ซึ่งเป็นความขัดแย้งภายในมนุษย์ที่สะท้อนให้เห็นได้ในความว่า
“แม่รู้ว่าเรามีชีวิตขึ้นมาจากดินโคลน เราสัมพันธ์และเป็นหนึ่งเดียวกับมัน แต่แม่ก็ชื่นชมที่เราอยากจะเป็นโน่นเป็นนี่ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับดินโคลนในท้องนานั่นเลย แม่ไล่ให้เราไปคลุกมัน ทำความรู้จักกับมัน แล้ววันหนึ่งเราก็ถูกผลักกระเด็นออกไป…” (น. 126)
ความขัดแย้งภายในมนุษย์นี้เป็นชนวนของระเบิดในสงครามความคิดระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ อาจกล่าวได้ว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้ต้องการจะสะท้อนปัญหาสังคมช่วงปี 2532 อันเกิดปัญหาของคนหลากหลายกลุ่มความคิดในยุคนั้นที่ต้องการจะห้ำหั่น เชือดเฉือน และเอาชนะกันอย่างสุดโต่ง
ฝั่งซ้ายของสะพาน
ฉากที่ผู้เขียนเล่านั้น เป็นฉากในชนบท ผู้คนดำรงชีวิตด้วยการเกษตรและยึดมั่นในพระพุทธศาสนา อาจวิเคราะห์ได้ว่าฉากที่ผู้เขียนนำเสนอนั้นเป็นสภาพสังคมไทย “แบบเก่า” เนื่องจากสังคมไทยแต่ก่อนเป็นสังคมเกษตรกรรม ผู้คนหวงแหนรักข้าวและผืนนาตนเองยิ่งชีพ ตัวละครที่เป็นตัวแทนของคนรุ่นเก่าคนหนึ่งคือ “ป้าเคล้า” ป้าเคล้าเป็นหญิงชราชาวชนบทที่รักผืนนายิ่งชีพ ป้าเคล้ามักจะทำนาช้ากว่าคนอื่นแต่ก็ทำนาได้สำเร็จด้วยเรี่ยวแรงของแกคนเดียว ถึงแม้จะเกิดเหตุการณ์ไฟลามทุ่งจนเผาต้นข้าวของแกเป็นตอตะโก กระนั้นแกก็ได้สู้อย่างสุดกำลังแม้จะปกป้องอะไรมิได้ ในฝั่งนี้ผู้วิจารณ์มองว่าป้าเคล้า พ่อ และแม่ของชายหนุ่มคนนี้ เป็นตัวแทนของฝั่ง “อนุรักษ์นิยม” ที่กำลังสู้อย่างสุดใจกับการเปลี่ยนแปลงหรือเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อพวกเขา
ฝั่งขวาของสะพาน
อีกฝั่งหนึ่งนั้นคือชายหนุ่ม ซึ่งมีความขัดแย้งภายในตัวตนเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มคนนี้เติบโตมาในครอบครัวที่บีบบังคับเขามาตั้งแต่เด็ก ๆ ดังเช่น การสวดมนต์ที่เขาถูกพ่อตีเพราะว่าสวดมนต์ผิด จากนั้นก็ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไป ในตอนที่ว่า
“หลังจากนั้นอีกหลายวันที่ผมเพียงมานั่งพับเพียบพนมมือเฉย ๆ ปิดปากเงียบสนิท แต่ในใจ ความคับแค้นพวยพุ่งดั่งไอน้ำเดือด” (น.124)
สิ่งนี้ทำให้เห็นการยอมจำนนต่ออำนาจของพ่อที่ใช้ความรุนแรง ซึ่งอาจตีความได้ว่าเป็น “อำนาจนิยม” ชายคนนี้พบเห็นความรุนแรงและการบีบบังคับมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ความขัดแย้งภายในของตัวมนุษย์เอง ก็ปูทางให้ชายหนุ่มคนนี้เลือกที่จะไปเป็น “ทหาร” ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้กอบกุมอำนาจนิยมในสังคม
ในตอนแรก ชายหนุ่มคนนี้มีความรู้สึกเหมือนจะต่อต้านอำนาจของการเป็นทหารดังที่เขาตั้งคำถามกับตนเองในใจว่า
“ขณะนั้นเองที่ผมฉุนกึกกลิ่นไหม้ของดินปืน กลิ่นนี้คือกลิ่นอะไร…หรือเป็นกลิ่นแห่งความสูญสลาย…สูญสลายของชีวิตหรือของอะไร?” (น. 127)
หากเสียงนกร้องคือคำสั่งของผู้บัญชาการ ในตอนท้ายของเรื่องอาจกล่าวได้ว่าชายหนุ่มผู้นั้นได้หันสู่อำนาจนิยมอย่างเต็มตัว ในอดีตเขาเคยยกย่องวีรกรรมของป้าเคล้าที่ใช้ตัวเปล่าป้องกันไฟที่ลุกลามทุ่งของแก แต่ในเวลานี้ “ไฟ” เปลี่ยนเป็นรถหุ้มเกราะที่เผชิญหน้ากับป้าเคล้าตัวเปล่าเช่นเดียวกัน แต่ผู้ที่ขับเคลื่อนเครื่องเหยียบย่าทุ่งข้าวนี้กลับเป็นคนที่เคยสดุดีผู้ที่หวงแหนนาข้าวยิ่งชีวิต
“ข้างหน้า…ระหว่างผมกับทุ่งสีทอง พร่าพรายไปด้วยหญิงชรานับเป็นหมื่นพันคน บัดซบที่สุด…วินาทีต่อมา ผมพบว่าหญิงชราทั้งหมดได้แปรเปลี่ยนมาเป็นกองกำลังศัตรูที่เรากำลังวิ่งไปหา…พระยังติดอยู่อีกฟากหนึ่ง เด็กชายยังแอบมองอยู่ที่ประตู มือของผมกระชับเกียร์ไว้มั่น พร้อมจะผลักออกไปในวินาทีนั้น แต่แปลก…ผมกลับไม่ได้ยินเสียงนกร้องแม้แต่น้อย” (น. 139)
ข้อความท้ายเรื่องดังกล่าวทำให้เห็นว่าเสียงนกร้องคือเสียงผู้บัญชาการ ไม่มีผลต่อการกระทำของเขาอีกต่อไป เพราะเขาได้กลายมาเป็น “ฝั่งตรงข้าม” ของป้าเคล้าอย่างเต็มตัว เขาไม่สนแม้แต่พระผู้เป็นตัวแทนของศีลธรรม และเด็กที่แอบมองตรงประตู ผู้ที่เป็นตัวแทนของเยาวชน อีกนัยหนึ่งคือเป็นตัวแทนของเขาในอดีต ที่เคยเผชิญกับอำนาจของพ่อ แต่เขาก็ยังเลือกจะลงมือทำมันในตอนที่เป็นผู้ใหญ่
สะพานขาด ทำให้เราเห็นสังคมในแง่มุมของความเป็นจริงที่มีความขัดแย้งอยู่ตลอดเวลา ทั้งความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับตัวเอง และความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ โดยใช้เรื่องราวของฝั่งอำนาจนิยมอย่างสุดโต่งและอนุรักษ์นิยมอย่างสุดโต่ง ทำให้สะพานของความสัมพันธ์ในสังคมนั้นขาดลง สะพานนี้คงจะไม่มีวันมาบรรจบกันหากเราไม่ยอมเปิดใจแก่กันและกัน ไม่ยอมมองในมุมของคนอื่น และลดหย่อนผ่อนปรนซึ่งกันและกัน
เรื่องสั้นเรื่องนี้ทำให้ผู้อ่านเห็นมุมมองของทั้งสองฝั่งก็จริง แต่วรรณกรรมนั้นก็เหมือนกับกระแสลม ขึ้นอยู่กับนึกอ่านว่าจะโอนเอนไปทางไหนหรือต้านกระแสลมนั้น จึงจะเป็นทางที่ดีที่สุด
"สะพานขาด" จะมาบรรจบกันได้หรือไม่
บทวิจารณ์โดย นางสาวชลกร ไชยโย
โครงการ อ่าน เขียน เรียนรู้ สู่ งานวิจารณ์ ปีที่ 10