เส้นทางสู่ความฝันในโลกวรรณกรรม วริศ ดาราฉาย : เปลี่ยนความชอบส่วนตัวให้กลายเป็นความเชี่ยวชาญ

เส้นทางสู่ความฝันในโลกวรรณกรรม วริศ ดาราฉาย

เส้นทางสู่ความฝันในโลกวรรณกรรม: บทเรียนและแรงบันดาลใจจาก "วริศ ดาราฉาย"

 

     ในยุคที่การอ่านและงานเขียนดูเหมือนจะลดบทบาทลงในสายตาของคนรุ่นใหม่ วริศ ดาราฉาย หรือ "ซาน" นักศึกษาชั้นปีที่ 3 จากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า แรงบันดาลใจและความมุ่งมั่นในโลกวรรณกรรมยังคงมีที่ยืนสำหรับคนที่กล้าจะก้าวข้ามขอบเขตเดิม ๆ

    จากก้าวแรกในโครงการ "อ่าน เขียน เรียนรู้ สู่ งานวิจารณ์ ปีที่ 8" ซานได้เรียนรู้ทั้งการอ่านอย่างแตกฉานและการเขียนที่ลึกซึ้ง ผ่านประสบการณ์การอ่านวรรณกรรมหลากหลายรูปแบบ และการฝึกฝนที่เปลี่ยนความชอบส่วนตัวให้กลายเป็นความเชี่ยวชาญ เขาไม่เพียงแต่เข้าใจตัวบทวรรณกรรม หากยังสามารถเชื่อมโยงอารมณ์และบริบททางสังคมได้อย่างลึกซึ้ง

     ด้วยความรักในวรรณกรรมที่หยั่งรากลึกตั้งแต่วัยเด็ก ซานไม่หยุดเพียงแค่การอ่านหรือการเขียนกวีนิพนธ์ซึ่งเป็น Safe Zone ของตนเอง แต่ยังผลักดันตัวเองสู่การเขียนเรื่องสั้นและนวนิยาย ซึ่งสร้างสรรค์ผลงานจนคว้ารางวัลจากหลายเวที

 

 

ประสบการณ์การเข้าร่วม โครงการ"อ่าน เขียน เรียนรู้ สู่ งานวิจารณ์ ปีที่ 8"

    ช่วงนั้นเพิ่งขึ้นมหาวิทยาลัยปีหนึ่งก็มีพี่ๆที่มหาวิทยาลัยแนะนำให้ลองมาค่ายอ่านเขียนเรียนรู้สู่งานวิจารณ์ พี่บอกว่าถ้ามาค่ายนี้อ่านหนังสือเป็นอ่านหนังสือดีขึ้นแน่นอน ก็เลยตัดสินใจลองส่งงานแม้ว่าจะไม่เคยทำงานวิจารณ์วรรณกรรมมาก่อน เรื่องหนังสือที่เข้ากับตัวเองมากที่สุด “ความฝันของฉันทนา” ลองเขียนมา ก็ปรากฏว่าพอประกาศผลก็มีชื่อจริงๆ ก็มีโอกาสได้มาค่าย

     จริงๆ ก่อนที่จะตัดสินใจเลือก ช่วงมัธยมปลายมีโอกาสได้ทำงานประกวดเกี่ยวกับกวีนิพนธ์ พอมาค่ายครั้งนั้นก็เลยเลือกเข้ากวีนิพนธ์ อาจารย์ชมัยภร แสงกระจ่าง จะสอนวิธีการอ่าน สอนวิธีเข้าใจแล้วก็เข้าถึงตัวบทกวี ในลักษณะที่ไม่ใช่แค่อ่านตีความว่าผู้เขียนกำลังบอกอะไร มีลักษณะที่เราต้องดูบริบทด้วย ดูขนบด้วย ก็มองว่าขนบกับเรื่องมันสัมพันธ์หรือกำลังที่จะโต้แย้งอะไรกันบางอย่าง สิ่งที่อาจารย์ชมัยภร สอนค่อนข้างกว้างและก็เป็นกลางสามารถเอาไปใช้ในการอ่านในเชิงวิจารณ์วรรณกรรมในเรื่องอื่นๆ แทนที่จะเป็นกวีนิพนธ์ จริงๆเอาไปปรับใช้ในลักษณะอื่นๆด้วยต่างๆกัน

 

การได้รับรางวัลส่งผลต่อการเขียนและความฝันอย่างไรบ้าง

    ความฝันถ้าในแวดวงวรรณกรรม ก็ง่ายๆอยากมีหนังสือของตัวเองสักเล่มนึง หรือว่าได้เขียนงานที่จะมีคนอ่านงานของเราแล้วรู้สึกอิน อินอาจจะชอบหรือไม่ชอบก็ได้ ตอนเด็กๆก็พยายามหัดเขียน หัดอ่านมาตลอด อย่างช่วง ม.ปลาย ก็มีประกวดกลอน ประกวดกวีนิพนธ์บ้างได้รับรางวัลที่หนึ่งบ้าง ที่สองบ้างมาโดยตลอด หลังจากนั้นมีโอกาสได้เข้าค่ายวิจารณ์วรรณกรรม ช่วงมหาลัย หลังจากนั้นพออ่านเป็นก็รู้สึกว่าก็ปรับให้สามารถที่จะเริ่มเขียนงานที่ไม่ใช่กวีนิพนธ์ที่เป็น Safe Zone ของตัวเอง ปรับมาเป็นเรื่องสั้น เรื่องนวนิยาย มากยิ่งขึ้น

 

 

ในฐานะนักเขียนควรอยู่ใน Safe Zone หรือ Out of Comfort Zone?

     จริงๆ ใน Safe Zone ไม่เชิงจะ Safe Zone ทีเดียวครับ พอเราบอกว่าเราอยู่ Safe Zone ของเราหมายถึงเวลาเราทำไปเรื่อย ๆ เราก็ต้องขยับขยาย กวีนิพนธ์ ก็ไม่ได้แค่เขียนแค่กลอนลักษณะเดียวเท่านั้น เราก็ต้องขยายไปในลักษณะอื่นหรือว่าพยายามทำให้แปลกใหม่ เพราะฉะนั้นในท้ายที่สุดถึงแม้ว่าจะทำกวีนิพนธ์เท่านั้นมันก็ยังต้องออกไป ต้องเติบโต ต้องเรียนรู้ที่จะทำอะไรที่มันแปลกใหม่หรือท้าทาย อยู่เสมอครับ

    ในการออกจาก Safe Zone ในลักษณะที่ผมทำ ก็คือเปลี่ยนมุมจากการเขียนร้อยกลอนมาเป็นร้อยแก้ว ซึ่งจริงมันเป็นการปรับที่ค่อนข้างหักดิบอยู่เหมือนกันและก็ท้าท้ายมากทีเดียว แต่คิดว่าถ้าเกิดเราอ่านเป็นผ่านค่ายมาแล้วก็คิดว่าน่าจะทำให้เราสามารถก้าวออกไปจากจุดที่เรารู้สึกว่าเป็น Safe Zone ของเราออกไปได้อย่างมั่นคงและก็มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

จึงจารจดด้วยหยดน้ำตา  ของ  วริศ  ดาราฉาย ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประเภทรางวัลนักเขียนรุ่นเยาว์ หมวดรวมเรื่องสั้น ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๗
จึงจารจดด้วยหยดน้ำตา  ของ  วริศ  ดาราฉาย ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประเภทรางวัลนักเขียนรุ่นเยาว์ หมวดรวมเรื่องสั้น ประจำปีพุทธศักราช 2567

 

ผลงานเรื่อง ‘จึงจารจดด้วยหยดน้ำตา’ และ โปรดปรารถนาความตาย’  ได้แรงบันดาลใจจากอะไร เชื่อมโยงอะไรกับประสบการณ์ตัวเอง?

     จึงจารจดด้วยหยดน้ำตา ก็เป็นรวมเรื่องสั้นห้าเรื่อง ที่ได้รางวัล 7 Books Award มีเนื้อเรื่องที่เป็นเรื่องทั่วๆไปจะเป็นการเข้าค่าย ชีวิตของวัยรุ่น ของเด็กๆ วิถีหนุ่มสาวเป็นต้น แต่ว่าทุกเรื่องจะมี Key หลักเหมือนกันก็คือเรื่องของความเศร้า ความเศร้าที่ออกจะเป็น Melancholia ทุกข์เศร้า การจมอยู่กับความเศร้า จริงๆแรงบันดาลใจก็คงเป็นมุมมองผมที่มีต่อสังคมหรือต่อมนุษย์กันเอง บางทีก็มองว่างานของตัวเองต้องการตั้งคำถามต่ออารมณ์อะไรบางอย่างที่มันมีอยู่ในสังคม หรือมีต่อสิ่งที่เราเห็นอยู่ในชีวิตประจำวันทั่วไป เพราะฉะนั้นถ้าเป็นเรื่อง ‘จึงจารจดด้วยหยดน้ำตา’ ผมก็มองว่ามันก็เป็นในแง่หนึ่ง มันสะท้อนอารมณ์ที่รู้สึกที่มีอยู่และสำคัญอย่างอารมณ์ เศร้า

     คือพอกลับมาพิจารณาซึ่งถือว่าจะเชื่อมต่อ ‘โปรดปรารถนาความตาย’ ซึ่งจะทำให้มันชัดเจนยิ่งขึ้นว่าความเศร้า มันสำคัญมากๆ พอเวลาเราเขียนงานชิ้นนึงเราก็คงต้องพยายามใส่อารมณ์อะไรบางอย่าง เรื่องที่เป็นโศกนาฏกรรม ไม่ต้องพูดถึงความสุข เรื่อง Comedy เรื่องขบขันอะไรต่างๆ เค้าก็จะมีอารมณ์หลักๆของเค้า ที่ผมเลือกใช้ความเศร้าก็อาจจะเพราะมองว่า มนุษย์พอสัมผัสอารมณ์เศร้าเราเปลี่ยนแปลงตัวเองได้มากกว่า หรือว่าเวลาอารมณ์เศร้ามันกระทบเรา เราย้อนกลับมาใคร่ครวญมาไตร่ตรองชีวิตมากขึ้น อารมณ์เศร้ามันมีอิทธิพลมากกว่าความสุข ก็คิดว่าน่าจะเป็นแรงบันดาลใจในแง่หนึ่ง ที่ทำให้เขียนงานสองสิ่งนี้ออกมา

 

สิ่งที่ได้จาก โครงการ อ่าน เขียน เรียนรู้ สู่ งานวิจารณ์

     การมาค่ายนี้ช่วยอะไรได้หลายอย่าง เช่นแต่เดิมเราอ่านหนังสือออกก่อน อ่านหนังสือได้ รู้เรื่องมันเป็นมายังไง แต่ว่าเรายังอ่านไม่เป็น

     แต่พอมาค่ายนี้เหมือนกลับไปเราอ่านหนังสือเป็นมากขึ้น อ่านหนังสือแตก อาจารย์ชมัยภร จะใช้คำว่าอ่านแตก อ่านออก อ่านเป็นไม่พอ ต้องอ่านให้แตกด้วย พอมาค่ายนี้แล้ว อ่านแตก พออ่านแตกแล้วทำให้เราเข้าใจได้มากขึ้น มันไม่ใช่แค่เข้าใจว่าเค้าต้องการบอกอะไร แต่เข้าใจว่าผู้เขียนคิดอะไรอยู่ หรือว่ากำลังเสนออะไรจริงๆหรือซ่อนอะไรไว้ การอ่านโดยผ่านมุมมองในเชิงวรรณกรรมวิจารณ์มันช่วยทำให้เราอ่านได้อย่างแตกฉาน อ่านได้อย่างลึกซึ้งและรอบด้านมากยิ่งขึ้นซึ่งช่วยมากกับการปรับสถานะของคนอ่านมาเป็นคนเขียน เราจะได้เขียนได้ดียิ่งขึ้น ปิดจุดบกพร่องในงาน ปรับสิ่งที่ไม่ดีมันดีขึ้นยังไง เพราะการอ่านแตกมันจะช่วยให้เราสามารถรู้ได้ว่าแบบนี้ดีแบบนี้ไม่ดีเป็นต้น คิดว่าค่ายนี้ช่วยให้การทำงานวงการวรรณกรรมมันมีประสิทธิภาพมากขึ้นมากๆ

 

ช่วยเล่าถึงความท้าทายของการเขียน

     ข้อกังวลก็มีเยอะแยะโดยปกติ คนที่เขียนข้อกังวลอย่างแรกคือกังวลว่าเราจะสามารถถ่ายทอดสิ่งที่เราคิดออกมาในลักษณะอักษรลายลักษณ์ยังไงให้คนอ่านอ่านแล้วเข้าใจ หรือว่าปัญหาพื้นฐานที่เจอกันทุกคนเริ่มใหม่ๆก็คือเขียนยังไงให้จบ ผมก็มองว่าเราอาจจะต้องถามตัวเองให้แม่นยำชัดเจนก่อนว่าเรากำลังจะเขียนอะไร กำลังจะบอกอะไร หรือถ้าผนวกกับทักษะวรรณกรรมวิจารณ์ การเขียนเหล่านี้มันจะดีขึ้นยังไง เราอาจจะต้องใช้สิ่งต่างๆที่มีทำให้มันเป็นรูปเป็นร่างในหัวของเราให้มากที่สุดและก็เขียนออกมาอย่างไม่เป็นการฝืนตัวเองเกินไป ถ้าไม่ไหวก็พักก่อน แล้วก็มาต่อ คือเขียนด้วย Passion อะไรที่เขียนด้วยอารมณ์ความรู้สึก วรรณกรรมมันเป็นผลผลิตจากอารมณ์ความรู้สึกอยู่แล้ว ในท้ายที่สุดถ้าเราใช้อารมณ์ความรู้สึกไปกับการวางแผนที่วางแผนมาดีแล้วหรือ Improvise ในบางบริบทบางครั้ง ในที่สุดมันก็จะได้ผลลัพธ์ที่น่าจะเป็นที่พึงพอใจ

 


วริศ ดาราฉายได้รับรางวัลโครงการยุวศิลปินไทยดีเด่น Young Thai Artist Award 2024สาขาวรรณกรรม จากนวนิยาย เรื่อง โปรดปรารถนาความตาย ภายใต้หัวข้อการประกวด “Beloved Universe: บอกรักโลกด้วยศิลปะ”

 

ทิ้งท้าย

     เรื่องของการอ่านหนังสือ วรรณกรรมปัจจุบันมันน่าเป็นห่วง จะมีคนพูดอยู่เสมอว่าส่วนใหญ่คนไม่อ่านหนังสือแล้วหรือคนที่เขียนหนังสือต้องไส้แห้งเสมอไป แต่อันที่จริงเราก็เขียนอย่างที่บอกเราก็ไม่ได้เขียนเพื่อต้องการได้อะไรกลับมาเป็นเม็ดเงินขนาดนั้น แต่ว่าอาจจะทำตามความฝันของเราคือได้มีคนอ่านงานเราหรือว่าได้เห็นคุณค่า ได้ Appreciate อะไรบางอย่างกับสิ่งที่เราเขียน หรือได้วิจารณ์งานของเรา ก็คิดว่าสำหรับซานเองก็พึงพอใจก็เลยมองว่าถ้าเป็นสำหรับคนเขียนคนอื่นๆเราอาจจะต้องย้อนกลับมาทบทวนก่อนว่าเราเขียนงานไปเพื่ออะไร แต่สำหรับซาน ซานชัดเจนมากขอให้มีคนอ่านมีคนอิน ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็พึงพอใจแล้ว

 

Writer

Pairat Temphairojana

นักเขียนผู้รักการสะสมงานศิลปะและการจิบกาแฟ