Jim C. Collins อดีตอาจารย์สอนวิชาธุรกิจที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ผู้สร้างชื่อมาจากหนังสือ Built to Last (ตีพิมพ์ปี 1994) ถือเป็นหนังสือคลาสสิกอีกเล่มหนึ่งในวงการ MBA ที่เกิดจากงานวิจัยประวัติศาสตร์ธุรกิจ ย้อนหลังไปหลายสิบปี เพื่อค้นหาว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้บริษัทผู้ยิ่งใหญ่อย่าง Disney, 3M, Boeing, IBM สามารถยืนระยะมาได้นานขนาดนั้น
หนังสือผลงานของชายผู้นี้ ได้แก่
ส่วนหนังสือที่เขาแนะนำคือ
Lean In: Women, Work, and the Will to Lead โดย Sheryl Sandberg
สำหรับเนื้อหาปลีกย่อยของหนังสือ LEAN IN นั้นมีรายละเอียดยุบยับเลยทีเดียว... ผู้เขียนขอสรุปคร่าว ๆ ว่ามันเป็นหนังสือที่พูดถึงบทบาทของสตรีกับอาชีพการงาน และการสร้างสมดุลระหว่างชีวิตครอบครัวกับชีวิตการทำงาน ซึ่งตามวิถีปฏิบัติเดิม ๆ เมื่อผู้หญิงมีครอบครัวแล้ว พวกเธอก็ต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตบนทางเลือกระหว่าง ‘lean in (สู้)’ หรือ‘lean back (ถอย)’ ซึ่งสาว ๆ ส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกทางเลือกอย่างหลัง ยอมละทิ้งความฝันเพื่ออุทิศตนให้กับการดูแลลูก ๆ และครอบครัว ในขณะที่ working woman อย่างเชอรีลนั้นได้กระตุ้นให้ผู้หญิงฮึดสู้ ไม่ยอมละทิ้งความฝันง่าย ๆ และให้ปรับทัศนคติหันมาคิดบวก ไม่ปฏิเสธโอกาสทางการงาน อีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญก็คือ เชอรีลพูดถึง “การเปิดอกพูดคุย” ทั้งในชีวิตคู่และในที่ทำงานเพื่อสร้างความเข้าใจและสร้างความเปลี่ยนแปลง (เผชิญหน้ากับปัญหา ไม่ใช่เก็บงำปัญหา) และสิ่งสำคัญก็คือการร่วมไม้ร่วมมือกันของสตรีเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย และมุ่งสู่สังคมแห่งความเท่าเทียม (แต่กระนั้นก็มีผู้หญิงด้วยกันเองแสดงความเห็นโต้แย้งหนังสือ LEAN IN ของเชอรีลมากพอสมควร บ้างก็ว่าเธออยู่ในจุดที่พรั่งพร้อมจึงสามารถทำแบบนี้ได้ บ้างแย้งว่าชีวิตจริงของผู้หญิงเก่งที่กระหายความสำเร็จมักจะเก็บงำปัญหาครอบครัวเอาไว้ ลูก ๆ โตมาไม่ได้รับความอบอุ่นเท่าที่ควร และบ้างก็โต้เถียงในประเด็นเกี่ยวกับเฟมินิสต์ ก็ว่ากันไป เอาเป็นว่าเพื่อน ๆ ท่านใดที่สนใจ กรุณาไปหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านเพิ่มเติมกันเอาเองละกันจ้า)
Measure What Matters: How Google, Bono, and the Gates Foundation Rock the World With OKRs เขียนโดย John Doerr
หนังสือเล่มนี้ กล่าวถึง ระบบ "OKRs" ซึ่งเป็นระบบบริหารจัดการองค์กรสมัยใหม่ เป็นกระบวนการง่ายๆ ที่ช่วยขับเคลื่อนองค์กรต่างๆ ที่มีความหลากหลายให้ก้าวไปข้างหน้า และช่วยให้เห็นสิ่งต่างๆ ในองค์กรได้ชัดเจนมากขึ้น และที่สำคัญช่วยนำพาให้องค์กรเติบโตเป็น 10 เท่า ระบบนี้ช่วยทำให้ภารกิจที่สุดโต่งและท้าทายของการจัดระเบียบโลกใหม่มีโอกาสเป็นไปได้และประสบความสำเร็จ ระบบนี้ช่วยให้บริษัททำสิ่งสำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นได้อย่างทันเวลา ถูกที่ และถูกทาง
แม้ผู้เขียนจะรู้ว่าแนวทางไหนดีที่สุด แต่ไม่ได้ชี้แนะ ชี้นำ และบอกว่าต้องทำแบบนั้นแบบนี้ แต่จะเล่าให้ฟังว่าแต่ละองค์กรเขานำเอา "OKRs" ไปใช้อย่างไร ปรับให้เข้ากับองค์กรนั้นๆ อย่างไร และทิ้งท้ายไว้เสมอว่าทุกอย่างไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัวที่จะนำไปใช้ได้กับทุกองค์กร แต่ละองค์กรจะต้องศึกษา ทดลองนำไปใช้จริง และปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับแต่ละองค์กร เนื้อหาในเล่มจะช่วยไขปริศนาเรื่องการบริหารผลงานขององค์กรได้ในหลาย ๆ เรื่องที่องค์กรต่าง ๆ กำลังเจออยู่ และหากนำไปใช้จริงก็จะยิ่งช่วยยืนยันได้ว่า เรื่องราวและแนวคิดของหนังสือเล่มนี้เป็นแนวทางที่เหมาะสมกับการพัฒนาและยกระดับผลงานขององค์กรให้ก้าวหน้าไปได้ดีกว่า เร็วกว่า และยั่งยืนกว่าที่เดินไปด้วยแนวคิดแบบเดิม!