เสือดำ : เสือดำช่วยเสือมเหศวร (ตอน 3) : เสือดำ ขุนโจรลูกผู้ชายแห่งเมืองสุพรรณ

เสือดำ : เสือดำช่วยเสือมเหศวร (ตอน 3)

ผลงานโดย ป. อินทรปาลิต

สำนักพิมพ์ : ผดุงศึกษา

ภาพ : อาภรณ์ อินทรปาลิต

 

เสือดำช่วยเสือมเหศวร

 

         พลรบของเสือดำและเสือมเหศวรได้เดินทางกลับมายังค่ายของเสือดำโดยสวัสดิภาพ กองโจรของเสือดำเหลือกลับมาเพียง ๓๘ คน แต่กองโจรของเสือมเหศวรเหลือเพียง ๖ คนเท่านั้น พวกโจรทั้งสองฝ่ายต่างกลมเกลียวกันเป็นอย่างดี เพราะได้ร่วมรบร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน ทุกๆ คนนั่งจับกลุ่มอยู่ที่หน้าค่ายเพื่อรอขุนโจรทั้งสองด้วยความเป็นห่วง

         แล้วสมุนโจรก็แลเห็นนายของตนพากันเดินเคียงคู่กันออกมาจากสุมทุมพุ่มไม้ ทั้งสองคนสะพายปืนไว้กับบ่าและเดินกอดบ่ากันมา โลหิตที่ต้นแขนขวาของเสือดำไหลชุ่มโชกเปื้อนเสือเชิ้ต แต่นับว่าเขาเคราะห์ยังดีอยู่ที่กระสุนนัดนั้นเพียงแต่ถากเนื้อไป

         เสือดำพาเสือมเหศวรมานั่งบนแคร่ไม้ไผ่หน้ากระท่อม เมื่อได้สนทนาปราศรัยกับบริวารของตนและได้สำรวจดูจำนวนแล้ว ๒ ขุนโจรก็มีใบหน้าหม่นหมองเศร้าสลดใจ ที่สมุนของตนต้องเสียชีวิตในการสัประยุทธ์กับกองปราบพิเศษ โดยเฉพาะเสือมเหศวรนั้นต้องเสียพลรบไปเกือบหมดสิ้น

         เสือดำยังไม่แน่ใจนักว่าเขาจะปลอดภัย จึงให้บริวาร ๒ คนออกไปลาดตระเวนคอยดูเจ้าพนักงานกองปราบพิเศษ ถ้าหากว่าบังเอิญผ่านมาทางนี้ แล้วเขาก็อนุญาตให้ไพร่พลของเขาไปพักผ่อน

         ๒ ขุนโจรนั่งอยู่ด้วยกันตามลำพังสองต่อสอง เสือดำกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วพูดกับเสือมเหศวร

         “นี่แหละคือรังใหม่ของกัน”

         มเหศวรยิ้มให้ขุนโจร

         “เป็นทำเลที่ดีพอใช้ เสือดำอ้ายเพื่อนรัก แกมีบุญคุณต่อกันและบริวารของกันมาก น้ำใจอันดีงามของแกทำให้กันสิ้นสุดความอาฆาตพยาบาล และบัดนี้กันอยากจะเสนอตัวของกันเป็นเพื่อนร่วมชีวิตของแกสักคนหนึ่ง แกจะรังเกียจไหมเสือดำ?”

         ขุนโจรเงยหน้าขึ้นมองเสือมเหศวร ต่างฝ่ายต่างมองดูกันและยิ้มให้กัน เสือดำก็ยื่นมือให้เสือมเหศวรจับ

         “มเหศวร แกพูดด้วยความจริงใจหรือเพื่อน?”

         เสือมเหศวรพยักหน้าช้าๆ

         “ด้วยเกียรติยศและความเป็นลูกผู้ชายของกัน”

         “ถ้าเช่นนั้นเราทั้งสองจะเป็นเพื่อนร่วมชีวิตกันนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป มเหศวรอ้ายเพื่อนรัก เราต่างคนต่างช่วยชีวิตกันไว้คนละครั้ง ฉะนั้นเมื่อเราได้ลั่นวาจาจะเป็นเพื่อนร่วมตายของกันและกันแล้ว ก็เป็นอันแน่ใจได้ว่ามิตรภาพของเราทั้งสองจะมั่นคงยั่งยืนต่อกันตลอดไป”

         มเหศวรยกมือขวากอดคอเสือดำด้วยความรักอันจริงใจ

         “ในชีวิตของกัน กันไม่เคยมีเพื่อนร่วมตายเลย แกจะเป็นเพื่อนคู่ชีวิตของกันคนเดียว เสือดำ กันกล้าพูดได้เต็มปากว่ากันยอมตายเพื่อแกได้”

         “ก็เช่นเดียวกัน มเหศวร” พูดจบ เขาก็หันมาสั่งบริวารคนหนึ่งซึ่งนั่งพักผ่อนอยู่หน้ากระท่อม “อ้ายน้องชาย ขอเหล้าให้ข้าสักขวดเถอะวะ แก้วสักสองใบ ข้าจะดื่มเหล้ากับเสือมเหศวรเพื่อนรักของข้า”

         เสือมเหศวรปลื้มใจอย่างที่สุด ยกมือเลิกคอเสื้อเชิ้ตของเสือดำ มองดูบาดแผลซึ่งเกิดจากกระสุนของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

         “แกต้องบาดเจ็บเพราะแกช่วยชีวิตกันและสมุนของกัน หายาใส่เสียหน่อยเถอะวะเสือดำ เคราะห์ดีแท้ๆ กระสุนมันเพียงแต่ถากไปเท่านั้น”

         ขุนโจรหัวเราะและลุกขึ้นยืน

         “เดี๋ยวก่อนนะมเหศวร กันจะเข้าไปในกระท่อมของกันสักประเดี๋ยว กันจะสั่งให้เขาเตรียมอาหารกลางวันไว้สำหรับเรา นี่มันก็จะใกล้เที่ยงแล้ว”

         ก่อนที่มเหศวรจะพูดอะไร ขุนโจรก็พาตัวเดินไปยังกระท่อมที่พักของเขา อีกสักครู่หนึ่ง เสือดำก็กลับออกมา เขาถอดหมวกและปืนเก็บไว้ในกระท่อม บริวารของเสือดำถือขวดเหล้าและถ้วยแก้วเดินตามมาด้วย

         เสือดำทรุดตัวลงนั่งบนแคร่ โบกมือไล่ลูกน้องของเขาให้ไปจากที่นั้นแล้วเอื้อมมือยกขวดแม่โขงรินใส่ถ้วยแก้วทั้งสองใบ

         “มเหศวรอ้ายเพื่อนยาก กันคิดว่าแกกับบริวารของแกมาอยู่รวมกับกันที่ค่ายของกันเถอะวะ ไหนๆ เราก็ได้เป็นเพื่อนร่วมตายกันแล้ว เราสองคนจะได้ร่วมมือร่วมใจกันต่อไปในอันที่จะดำเนินงานของเราตามอาชีพของเรา”

         เสือมเหศวรยิ้มเศร้าๆ

         “ดีทีเดียวเสือดำ กันเองเวลานี้สิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว บริวารของกันก็หมดความเคารพนับถือในตัวกัน แยกย้ายไปอยู่กับพวกโจรคณะอื่นจนหมดสิ้น เหลือบริวารที่ซื่อสัตย์อยู่อีกไม่กี่คนก็ต้องเป็นเหยื่อกระสุนปืนกองปราบพิเศษ ตกลงกันมีลูกน้องอยู่อีกหกคนเท่านั้น กันยินดีที่จะอยู่ร่วมกับแก เพื่อนรัก เราทั้งสองจะกอดคอกันตาย กันรักน้ำใจของแกมากเสือดำ”

         ขุนโจรซ่อนยิ้มไว้ในหน้า ปลดมีดพับสปริงขนาดใหญ่ออกมาจากเข็มขัด กดสปริงออกและเห็นคมมีดขาววับ

         “แกกล้าพอที่จะกรีดเลือดในตัวแกผสมกับเหล้าสองแก้วนี้ไหม เสือมเหศว?”

         ดาวร้ายของสุพรรณบุรีหัวเราะ ตอบหน้าตาเฉย

         “ได้สิเพื่อน แกสั่งเหล้ามาก็เพื่อจะให้กันและแกดื่มสาบานตัวใช่ไหม?”

         “ถูกแล้วมเหศวร” แล้วขุนโจรผู้มีใจเข้มแข็งเด็ดขาดก็ยกคมมีดขึ้นกรีดลงบนท่อนแขนข้างซ้ายของเขา

         โดยไม่มีกิริยาสะทกสะท้าน เสือดมองดูบาดแผลของเขาซึ่งมีโลหิตสีแดงเข้มไหลรินออกมา เขายกแก้วเหล้ารองเลือดของเขาทีละแก้วให้เลือดหยดลงไปในแก้วเหล้า ๒-๓ หยดเป็นพิธี เสร็จแล้วก็ส่งมีดพกให้เสือมเหศวร

 

เสือดำช่วยเสือมเหศวร

 

         “ขอเลือดแกสักหน่อยเถอะเพื่อนรัก อย่ากรีดให้มันเหวอะหวะมากนักเล่า นิดเดียวเท่านั้นแหละ”

         มเหศวรยิ้มให้เสือดำและยกคมมีดขึ้นกรีดลงบนท่อนแขนข้างซ้ายของเขาเช่นเดียวกัน โลหิตสดๆ ไหลรินออกมา เสือมเหศวรยกแก้วเหล้ารองรับทีละแก้ว พับมีดส่งคืนให้ขุนโจร

         “เสือดำ กันขอให้สัตย์ปฏิญาณต่อแก และจะกระทำตัวให้สมกับเป็นมิตรที่ดีของแกตลอดไป”

         ต่างคนต่างยกแก้วเหล้าขึ้นชู

         เสือดำว่า “กันขอสาบานให้แกเช่นเดียวกัน กันจะซื่อตรงต่อแก รักแกจนวันตาย”

         เสือมเหศวรยิ้มสดชื่น

“ถ้ากันไม่ซื่อตรงต่อแก คิดคดทรยศต่อเพื่อน ขอให้กันจงประสบอันตรายด้วยเขี้ยวงาและอาวุธถึงแก่ชีวิตทันที”

         เสือดำพยักหน้า

         “และถ้ากันเสียคำมั่นสัญญา ก็ขอให้กันได้รับภยันตรายถึงแก่ชีวิต ขอให้พระเป็นเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงลงโทษกันทันที”

         “ขอให้มิตรภาพของเราจงยั่งยืนต่อกันชั่วกาลนาน” เสือมเหศวรร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง

         ต่างคนต่างยื่นแก้วเหล้ากระทบกันเบาๆ แล้วยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว เหล้ากับเลือดดื่มด่ำไปทั่ว มันคือสัญลักษณ์แห่งความเป็นมิตรอันสนิทแน่นระหว่างขุนโจรผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสอง

         เสือดำยกมือตบหลังเสือมเหศวรค่อนข้างดัง

         “อ้ายเกลอแก้ว เมื่อเสือร้ายกับเสือร้ายมาอยู่ร่วมถ้ำเดียวกัน ลบล้างคำกล่าวที่ว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ พวกโจรทั้งหลายก็จะต้องหวั่นเกรงอิทธิพลของเราอย่างไม่ต้องสงสัย ทีนี้ละเว้ยมเหศวร กันจะบุกสุพรรณให้ราบไปเลย กันกับแกจะต้องครองความเป็นเจ้าเป็นใหญ่ในสุพรรณบุรีนี้ โจรทุกคณะจะต้องถูกเราขับไล่ให้ออกไปให้พ้นจากถิ่นททำมาหากินของเรา”

         เสือมเหศวรยิ้มแป้น ยกขวดเหล้ารินใส่แก้วอีก

         “แน่ละเสือดำ เราจะต้องปราบโจรคณะอื่นให้ราบ เมืองสุพรรณเต็มไปด้วยพวกเศรษฐีมีทรัพย์ พวกโจรหลายพวกหลายเหล่าจึงพากันมาอยู่อาศัย”

         เสือดำรับแก้วเหล้ามาจากเพื่อน ต่างยิ้มให้แก่กันและยกขึ้นดื่ม แล้วขุนโจรก็ฉุดแขนเพื่อนเกลอของเขาให้ลุกขึ้น

         “มเหศวร ที่กันเหยียบย่ำดูถูกดูหมิ่นล่วงเกินแกมาแล้ว อโหสิกันเถอะนะเพื่อน”

         เสือมเหศวรเสียวปลาบในหัวใจทันทีเมื่อนึกถึงศีรษะของเขาปราศจากเส้นผม แต่แล้วดาวร้ายแห่งสุพรรณบุรีก็หัวเราะยกมือขยี้ผมเสือดำเพื่อร่วมสาบานของเขา

         “อย่าพูดถึงมันอีกเลยเสือดำ กันลืมมันแล้ว”

         เสือดำหน้าสลด ฉุดแขนเสือมเหศวรให้ลุกขึ้น

         “ไปกระท่อมที่พักของกันเถอะ เราทั้งสองอยู่ร่วมกระท่อมเดียวกัน ข้าวของของกันมีพอจะแบ่งปันให้แกใช้ ส่วนบริวารของแกกันจะจัดที่พักให้เขาอยู่อย่างสุขสบายทีเดียว เราสองคนจะต้องรีบเร่งซ่อมสุมผู้คนและอาวุธเพื่อค่ายของเราแข็งแกร่งยิ่งขึ้นพอที่จะรับมือกับกองปราบพิเศษและพวกโจรคณะหนึ่งคณะใดที่รุกรานเรา”

         ทั้งสองเดินกอดคอกันตรงไปยังกระท่อมหลังขวาสุดซึ่งเป็นที่อยู่ของเสือดำขุนโจรผู้พิชิต ต่างคนต่างอภัยให้กันแล้ว ลืมเรื่องร้ายที่ต้องเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาเมื่อครั้งก่อน” แน่นอนละ เมื่อ ๒ เสือผู้ใหญ่ยิ่งมารวมกัน สุพรรณบุรีก็จะต้องลุกเป็นไฟในไม่ช้า บรรดาผู้มีอันจะกินทั้งหลายจะต้องประหวั่นพรั่นใจไปตามกัน และกองปราบพิเศษจะต้องหนักอกหนักใจมิใช่น้อย

         หลังจากเสือดำและเสือมเหศวรได้กระทำสัตย์สาบานเป็นเพื่อนน้ำมิตรต่อกันแล้ว เสือมเหศวรก็ย้ายค่ายและไพร่พลของเขาอยู่รวมกับเสือดำเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ซึ่งบริวารทั้งสองฝ่ายก็รักใคร่สนิทสนมกันเป็นอย่างดี

         ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ กองปราบพิเศษของ พ.ต.ท. ประชาก็ยังคงติดตามสังหารพวกโจรในดินแดนสุพรรณบุรีอยู่เสมอ แต่โอกาสของกองปราบพิเศษไม่ค่อยจะมีมากนักเพราะพวกโจรมีหูมีตามาก การเคลื่อนไหวของตำรวจพวกโจรมักจะรู้ก่อนเสมอ จึงพากันหลบหนีเข้าป่าดงอันยากที่เจ้าหน้าที่ปราบปรามจะค้นหารังของเสือร้ายต่างๆ ได้

         อย่างไรก็ตาม ‘เสือฝ้าย’ ขุนโจรผู้ยิ่งใหญ่ก็ได้จบชีวิตไปแล้วด้วยน้ำมือของกองปราบพิเศษ หลังจากนั้น ‘เสือแสวง’ ก็สิ้นชีวิตไปอีกศพหนึ่ง การปล้นในสุพรรณบุรีก็เงียบไป พวกโจรคณะต่างๆ ยังคงหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าดง รวบรวมไพร่พลและอาวุธให้เข้มแข็งพอที่จะรับมือกับกองปราบพิเศษ ถ้าหากว่าเกิดปะทะกันขึ้น

         เสือดำกับเสือมเหศวรไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย แต่ประชาชนต่างโจษขานกันทั่วเมืองว่าขุนโจรทั้งสองได้เป็นพันธมิตรกันแล้ว บรรดาพ่อค้าคหบดีมีเงินต่างนอนตาไม่หลับ ประหวั่นพรั่นใจไปตามกันเพราะเกรงว่ามิวันใดก็วันหนึ่งตนจะได้ผจญกับเสือดำและเสือมเหศวร

         ท่ามกลางป่าดงพงเขา ขุนโจรทั้งสองกับบริวารต่างรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องนั่งๆ นอนๆ อยู่ตลอดวันไม่ได้ทำอะไร แต่อย่างไรก็ตาม เสือดำได้มีอาหารเสบียงกรังและเงินทุนสำรองพอที่จะใช้จ่ายเลี้ยงดูบริวารของเขาอีกนานวัน แต่อาวุธและกระสุนปืนมีไม่เพียงพอ ปืนยิงเร็วหลายกระบอกชำรุดเสียหาย บ้างก็ถูกตำรวจยึดเอาไปได้ในระหว่างที่ปะทะกัน อาวุธปืนเหล่านี้เป็นของจำเป็นที่สุด จำเป็นยิ่งกว่าเสบียงอาหารเสียอีก เสือมเหศวรกับเสือดำได้ปรึกษาหารือกันในอันที่จะรีบเร่งสะสมปืนและกระสุนให้มีไว้ใช้เพียงพอแก่ความต้องการ

         “เราจะอยู่นิ่งเฉยๆ อย่างนี้ไม่ได้แล้ว เสือดำ” มเหศวรพูดกับเพื่อนร่วมตายของเขา “ถ้าเราไม่ได้ปล้น พวกเราก็จะต้องอดตายในไม่ช้า ถ้าเรานำบริวารออกปล้น เราก็อาจเสียทีเจ้าทรัพย์หรือเจ้าหน้าที่ได้ เพราะปืนและกระสุนของเรามีไม่เพียงพอนั่นเอง”

         เสือดำพยักหน้าเห็นพ้องด้วย

         “ถูกละ ของจำเป็นที่สุดของเราในเวลานี้ไม่ใช่เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มและอาหาร แต่มันคือปืนยิงเร็วและลูกปืนไว้ให้มาก”

 

เสือดำช่วยเสือมเหศวร

 

         ครั้นแล้ว ๒ ขุนโจรผู้ยิ่งใหญ่ก็ขึ้นม้าออกเดินทางไปจากค่ายเพื่อสืบถามจากบรรดาพวกโจรต่างๆ ว่าจะมีใครขายปืนหรือกระสุนปืนบ้างหรือไม่ ซึ่ง ๒ ขุนโจรยินดีที่จะให้ราคาเป็นพิเศษ

         เย็นวันนั้น

         ขุนโจรผู้พิชิตกับเสือมเหศวรเพื่อนร่วมสาบานได้ปรากฏตัวอยู่บนหลังม้าบนยอดเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง ทั้งสองกำลังสนทนากัน ทอดสายตามองลงไปยังหมู่กระท่อมเล็กๆ ประมาณ ๑๐ หลัง ซึ่งปลูกเรียงรายกันในระหว่างหุบเขาแห่งหนึ่ง

         เสือดำยิ้มให้เสือมเหศวรและกล่าวถามว่า

         “หมู่บ้านที่เราเห็นนั่นน่าจะเป็นรังโจรเสียแล้วโว้ยมเหศวร หรือแกว่ายังไง?”

         มเหศวรหรี่ตาข้างหนึ่ง ดึงหมวกปีกให้หงายขึ้นและพูดอย่างคึกคะนอง”

         “กันก็เข้าใจอย่างแกแหละเสือดำ อยากจะรู้แน่ว่าเป็นถิ่นอ้ายเสือหรือเป็นหมู่บ้านก็ลองเอาปืนยิงกราดลงไป ถ้ามันยิงตอบเรามันก็คือค่ายของอ้ายเสือคนใดคนหนึ่ง”

         ครั้นแล้วมเหศวรก็ปลดท็อมสันออกจากบ่า ยกปืนขึ้นประทับ เสือดำปัดมือเพื่อนแล้วหัวเราะ

         “อย่าโว้ย มเหศวร ถึงมันเป็นโจร มันก็มีอาชีพเช่นเดียวกันเรา ลงไปเที่ยวกันเถอะวะ บางทีเราอาจจะได้สะเต็นและกระสุนบ้าง”

 

เสือดำช่วยเสือมเหศวร

 

         มเหศวรว่า “แต่เราควรจะซ่อนปืนของเราไว้เสียที่นี่จะดีกว่า มีปืนพกติดตัวไปคนละสองกระบอกก็ดีแล้ว ขืนสะพายท็อมสันไปหามัน มันก็ต้องรู้ว่าเราเป็นนายโจร”

         ต่างคนต่างก้าวลงจากหลังม้า ปลดท็อมสันออกจากบ่าซ่อนไว้ในพุ่มไม้แห่งหนึ่งและกลับขึ้นม้า ควบขับลงไปตามธรรมชาติ หมู่บ้านที่กล่าวนี้คือค่ายของเสือหยด จอมโจรผู้เหี้ยมโหด พาบริวาร ๕๐ คนหลบหนีเจ้าพนักงานกองปราบพิเศษมาจากอ่างทองและมาตั้งค่ายอยู่ที่นี่ หวังจะยึดสุพรรณบุรีเป็นถิ่นทำมาหากินต่อไป

         เสือมเหศวรกับเสือดำบังคับม้าให้หยุดหน้ากระท่อมหลังหนึ่ง บรรดาบริวารโจรของเสือหยดซึ่งกำลังนั่งพักผ่อนจับกลุ่มสรวลเสเฮฮากัน พากันมองดูขุนโจรทั้งสองเป็นตาเดียว

         “ตำรวจกระมังเว้ย” ใครคนหนึ่งพูดเบาๆ

         “ตำรวจก็ช่างมันปะไรวะ มาสองคนเท่านี้ ถ้าเป็นตำรวจหรือพวกอำเภอก็ฝังมันเสียเลย กันจะเข้าไปถามมันเองว่ามันเป็นใครมาจากไหน”

         เจ้าหนุ่มร่างใหญ่ลุกขึ้น เดินกางแขนตรงเข้ามาหา ๒ เสือ

         “สวัสดีพี่ชาย ไปยังไงมายังไงกัน มีธุระอะไรที่นี่”

         เสือดำตอบอย่างเฉลียวฉลาด

         “กันเป็นนักเผชิญโชคหากินทุกอย่างที่มีทางได้เงิน กันมาดีไม่ใช่มาร้าย อ้ายน้องชาย กันอยากจะได้ปืนยิงเร็วทุกชนิดและกระสุนปืนด้วย พวกแกมีใครขายบ้างละ กันจะให้ราคาอย่างงามทีเดียว”

         “มีเหมือนกัน แต่มีไว้ใช้ ถึงพี่จะให้ราคาแพงสักเท่าไรก็ขายให้ไม่ได้”

         มีเสียงห้าวๆ ของใครคนหนึ่งตะโกนมา

         “สองคนนั่นเข้ามาทำไมวะ?”

         เจ้าหนุ่มร่างใหญ่หันไปมองดูผู้พูดซึ่งเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างล่ำสัน ใบหน้าเหี้ยม นัยน์ดุ ผมหยิก ริมฝีปากหนา เขาคือ ‘เสือหยด’ นั่นเอง

         “สองคนนี่เขามาหาซื้อปืนยิงเร็วครับนาย”

         เสือร้ายเดินตรงเข้ามาหามเหศวรและเสือดำ

         “แกต้องการปืนยิงเร็วหรืออ้ายน้องชาย?” เสือหยดถามยิ้มๆ

         มเหศวรตอบว่า

         “ถูกแล้ว ถ้าพี่ชายมีปืนยิงเร็วก็แบ่งปันขายให้กันบ้างซี”

         เสือหยดสั่นศีรษะและพอใจในลักษณะของเสือทั้งสอง

         “ขอโทษ อ้ายน้องชาย แกกำลังจะเริ่มชีวิตเป็นโจรกระมัง ถึงได้พากันท่องเที่ยวหาซื้อปืนยิงเร็ว?”

         เสือดำพยักหน้ารับรอง

         “ถูกแล้ว กันเป็นพลเมืองดีมาช้านานแล้ว มีฐานะความเป็นอยู่แร้นแค้นเรื่อยมา ก็อยากจะลองเป็นโจรกับเขาดูบ้าง โชคเหมาะเคราะห์ดีปล้นครั้งเดียวมีเงินใช้ไปได้ตั้งปี”

         เสือหยดยิ่งเพิ่มความพอใจในเสือมเหศวรกับเสือดำขึ้นอีก เขาคิดจะเกลี้ยกล่อมไว้เป็นบริวารของเขา เพราะลักษณะท่าทางของเสือร้ายทั้งสองบอกความเป็นนักเลงและนักสู้เต็มตัว เสือหยดยกมือตบบ่าเสือดำและเสือมเหศวรคนละข้าง

         “อ้ายน้องชาย การเป็นโจรมิใช่เป็นของง่าย แกจะต้องมีความสามารถพอตัว เต็มไปด้วยไหวพริบปฏิภาณ และจะต้องมีบริวารหลายคน แกคงไม่รังเกียจที่จะรู้จักกับกัน กันชื่อหยด หรือเสือหยด ชาวเมืองอ่างทองเขารู้จักชื่อเสียงของกันดี”

         “เสือหยด” เสือมเหศวรแกล้งอุทานออกมาดังๆ แล้วทำหน้าตื่นๆ เหมือนกับเกรงกลัว “กันได้ยินชื่อเสียงของแกมานานแล้ว เสือหยดเป็นจอมโจที่ใหญ่ยิ่งที่สุดในเมืองอ่างทอง”

         เสือหยดหัวเราะชอบใจ

 

Writer

Sirirat Soonsakul

นักอยากเขียน ผู้รักการสะสมท้องฟ้าสีวนิลลา และใช้หมูกระทะเยียวยาจิตใจ