ผลงานโดย ป. อินทรปาลิต
สำนักพิมพ์ : ผดุงศึกษา
ภาพ : อาภรณ์ อินทรปาลิต
พลรบของเสือดำและเสือมเหศวรได้เดินทางกลับมายังค่ายของเสือดำโดยสวัสดิภาพ กองโจรของเสือดำเหลือกลับมาเพียง ๓๘ คน แต่กองโจรของเสือมเหศวรเหลือเพียง ๖ คนเท่านั้น พวกโจรทั้งสองฝ่ายต่างกลมเกลียวกันเป็นอย่างดี เพราะได้ร่วมรบร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน ทุกๆ คนนั่งจับกลุ่มอยู่ที่หน้าค่ายเพื่อรอขุนโจรทั้งสองด้วยความเป็นห่วง
แล้วสมุนโจรก็แลเห็นนายของตนพากันเดินเคียงคู่กันออกมาจากสุมทุมพุ่มไม้ ทั้งสองคนสะพายปืนไว้กับบ่าและเดินกอดบ่ากันมา โลหิตที่ต้นแขนขวาของเสือดำไหลชุ่มโชกเปื้อนเสือเชิ้ต แต่นับว่าเขาเคราะห์ยังดีอยู่ที่กระสุนนัดนั้นเพียงแต่ถากเนื้อไป
เสือดำพาเสือมเหศวรมานั่งบนแคร่ไม้ไผ่หน้ากระท่อม เมื่อได้สนทนาปราศรัยกับบริวารของตนและได้สำรวจดูจำนวนแล้ว ๒ ขุนโจรก็มีใบหน้าหม่นหมองเศร้าสลดใจ ที่สมุนของตนต้องเสียชีวิตในการสัประยุทธ์กับกองปราบพิเศษ โดยเฉพาะเสือมเหศวรนั้นต้องเสียพลรบไปเกือบหมดสิ้น
เสือดำยังไม่แน่ใจนักว่าเขาจะปลอดภัย จึงให้บริวาร ๒ คนออกไปลาดตระเวนคอยดูเจ้าพนักงานกองปราบพิเศษ ถ้าหากว่าบังเอิญผ่านมาทางนี้ แล้วเขาก็อนุญาตให้ไพร่พลของเขาไปพักผ่อน
๒ ขุนโจรนั่งอยู่ด้วยกันตามลำพังสองต่อสอง เสือดำกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วพูดกับเสือมเหศวร
“นี่แหละคือรังใหม่ของกัน”
มเหศวรยิ้มให้ขุนโจร
“เป็นทำเลที่ดีพอใช้ เสือดำอ้ายเพื่อนรัก แกมีบุญคุณต่อกันและบริวารของกันมาก น้ำใจอันดีงามของแกทำให้กันสิ้นสุดความอาฆาตพยาบาล และบัดนี้กันอยากจะเสนอตัวของกันเป็นเพื่อนร่วมชีวิตของแกสักคนหนึ่ง แกจะรังเกียจไหมเสือดำ?”
ขุนโจรเงยหน้าขึ้นมองเสือมเหศวร ต่างฝ่ายต่างมองดูกันและยิ้มให้กัน เสือดำก็ยื่นมือให้เสือมเหศวรจับ
“มเหศวร แกพูดด้วยความจริงใจหรือเพื่อน?”
เสือมเหศวรพยักหน้าช้าๆ
“ด้วยเกียรติยศและความเป็นลูกผู้ชายของกัน”
“ถ้าเช่นนั้นเราทั้งสองจะเป็นเพื่อนร่วมชีวิตกันนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป มเหศวรอ้ายเพื่อนรัก เราต่างคนต่างช่วยชีวิตกันไว้คนละครั้ง ฉะนั้นเมื่อเราได้ลั่นวาจาจะเป็นเพื่อนร่วมตายของกันและกันแล้ว ก็เป็นอันแน่ใจได้ว่ามิตรภาพของเราทั้งสองจะมั่นคงยั่งยืนต่อกันตลอดไป”
มเหศวรยกมือขวากอดคอเสือดำด้วยความรักอันจริงใจ
“ในชีวิตของกัน กันไม่เคยมีเพื่อนร่วมตายเลย แกจะเป็นเพื่อนคู่ชีวิตของกันคนเดียว เสือดำ กันกล้าพูดได้เต็มปากว่ากันยอมตายเพื่อแกได้”
“ก็เช่นเดียวกัน มเหศวร” พูดจบ เขาก็หันมาสั่งบริวารคนหนึ่งซึ่งนั่งพักผ่อนอยู่หน้ากระท่อม “อ้ายน้องชาย ขอเหล้าให้ข้าสักขวดเถอะวะ แก้วสักสองใบ ข้าจะดื่มเหล้ากับเสือมเหศวรเพื่อนรักของข้า”
เสือมเหศวรปลื้มใจอย่างที่สุด ยกมือเลิกคอเสื้อเชิ้ตของเสือดำ มองดูบาดแผลซึ่งเกิดจากกระสุนของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
“แกต้องบาดเจ็บเพราะแกช่วยชีวิตกันและสมุนของกัน หายาใส่เสียหน่อยเถอะวะเสือดำ เคราะห์ดีแท้ๆ กระสุนมันเพียงแต่ถากไปเท่านั้น”
ขุนโจรหัวเราะและลุกขึ้นยืน
“เดี๋ยวก่อนนะมเหศวร กันจะเข้าไปในกระท่อมของกันสักประเดี๋ยว กันจะสั่งให้เขาเตรียมอาหารกลางวันไว้สำหรับเรา นี่มันก็จะใกล้เที่ยงแล้ว”
ก่อนที่มเหศวรจะพูดอะไร ขุนโจรก็พาตัวเดินไปยังกระท่อมที่พักของเขา อีกสักครู่หนึ่ง เสือดำก็กลับออกมา เขาถอดหมวกและปืนเก็บไว้ในกระท่อม บริวารของเสือดำถือขวดเหล้าและถ้วยแก้วเดินตามมาด้วย
เสือดำทรุดตัวลงนั่งบนแคร่ โบกมือไล่ลูกน้องของเขาให้ไปจากที่นั้นแล้วเอื้อมมือยกขวดแม่โขงรินใส่ถ้วยแก้วทั้งสองใบ
“มเหศวรอ้ายเพื่อนยาก กันคิดว่าแกกับบริวารของแกมาอยู่รวมกับกันที่ค่ายของกันเถอะวะ ไหนๆ เราก็ได้เป็นเพื่อนร่วมตายกันแล้ว เราสองคนจะได้ร่วมมือร่วมใจกันต่อไปในอันที่จะดำเนินงานของเราตามอาชีพของเรา”
เสือมเหศวรยิ้มเศร้าๆ
“ดีทีเดียวเสือดำ กันเองเวลานี้สิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว บริวารของกันก็หมดความเคารพนับถือในตัวกัน แยกย้ายไปอยู่กับพวกโจรคณะอื่นจนหมดสิ้น เหลือบริวารที่ซื่อสัตย์อยู่อีกไม่กี่คนก็ต้องเป็นเหยื่อกระสุนปืนกองปราบพิเศษ ตกลงกันมีลูกน้องอยู่อีกหกคนเท่านั้น กันยินดีที่จะอยู่ร่วมกับแก เพื่อนรัก เราทั้งสองจะกอดคอกันตาย กันรักน้ำใจของแกมากเสือดำ”
ขุนโจรซ่อนยิ้มไว้ในหน้า ปลดมีดพับสปริงขนาดใหญ่ออกมาจากเข็มขัด กดสปริงออกและเห็นคมมีดขาววับ
“แกกล้าพอที่จะกรีดเลือดในตัวแกผสมกับเหล้าสองแก้วนี้ไหม เสือมเหศว?”
ดาวร้ายของสุพรรณบุรีหัวเราะ ตอบหน้าตาเฉย
“ได้สิเพื่อน แกสั่งเหล้ามาก็เพื่อจะให้กันและแกดื่มสาบานตัวใช่ไหม?”
“ถูกแล้วมเหศวร” แล้วขุนโจรผู้มีใจเข้มแข็งเด็ดขาดก็ยกคมมีดขึ้นกรีดลงบนท่อนแขนข้างซ้ายของเขา
โดยไม่มีกิริยาสะทกสะท้าน เสือดมองดูบาดแผลของเขาซึ่งมีโลหิตสีแดงเข้มไหลรินออกมา เขายกแก้วเหล้ารองเลือดของเขาทีละแก้วให้เลือดหยดลงไปในแก้วเหล้า ๒-๓ หยดเป็นพิธี เสร็จแล้วก็ส่งมีดพกให้เสือมเหศวร
“ขอเลือดแกสักหน่อยเถอะเพื่อนรัก อย่ากรีดให้มันเหวอะหวะมากนักเล่า นิดเดียวเท่านั้นแหละ”
มเหศวรยิ้มให้เสือดำและยกคมมีดขึ้นกรีดลงบนท่อนแขนข้างซ้ายของเขาเช่นเดียวกัน โลหิตสดๆ ไหลรินออกมา เสือมเหศวรยกแก้วเหล้ารองรับทีละแก้ว พับมีดส่งคืนให้ขุนโจร
“เสือดำ กันขอให้สัตย์ปฏิญาณต่อแก และจะกระทำตัวให้สมกับเป็นมิตรที่ดีของแกตลอดไป”
ต่างคนต่างยกแก้วเหล้าขึ้นชู
เสือดำว่า “กันขอสาบานให้แกเช่นเดียวกัน กันจะซื่อตรงต่อแก รักแกจนวันตาย”
เสือมเหศวรยิ้มสดชื่น
“ถ้ากันไม่ซื่อตรงต่อแก คิดคดทรยศต่อเพื่อน ขอให้กันจงประสบอันตรายด้วยเขี้ยวงาและอาวุธถึงแก่ชีวิตทันที”
เสือดำพยักหน้า
“และถ้ากันเสียคำมั่นสัญญา ก็ขอให้กันได้รับภยันตรายถึงแก่ชีวิต ขอให้พระเป็นเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงลงโทษกันทันที”
“ขอให้มิตรภาพของเราจงยั่งยืนต่อกันชั่วกาลนาน” เสือมเหศวรร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง
ต่างคนต่างยื่นแก้วเหล้ากระทบกันเบาๆ แล้วยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว เหล้ากับเลือดดื่มด่ำไปทั่ว มันคือสัญลักษณ์แห่งความเป็นมิตรอันสนิทแน่นระหว่างขุนโจรผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสอง
เสือดำยกมือตบหลังเสือมเหศวรค่อนข้างดัง
“อ้ายเกลอแก้ว เมื่อเสือร้ายกับเสือร้ายมาอยู่ร่วมถ้ำเดียวกัน ลบล้างคำกล่าวที่ว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ พวกโจรทั้งหลายก็จะต้องหวั่นเกรงอิทธิพลของเราอย่างไม่ต้องสงสัย ทีนี้ละเว้ยมเหศวร กันจะบุกสุพรรณให้ราบไปเลย กันกับแกจะต้องครองความเป็นเจ้าเป็นใหญ่ในสุพรรณบุรีนี้ โจรทุกคณะจะต้องถูกเราขับไล่ให้ออกไปให้พ้นจากถิ่นททำมาหากินของเรา”
เสือมเหศวรยิ้มแป้น ยกขวดเหล้ารินใส่แก้วอีก
“แน่ละเสือดำ เราจะต้องปราบโจรคณะอื่นให้ราบ เมืองสุพรรณเต็มไปด้วยพวกเศรษฐีมีทรัพย์ พวกโจรหลายพวกหลายเหล่าจึงพากันมาอยู่อาศัย”
เสือดำรับแก้วเหล้ามาจากเพื่อน ต่างยิ้มให้แก่กันและยกขึ้นดื่ม แล้วขุนโจรก็ฉุดแขนเพื่อนเกลอของเขาให้ลุกขึ้น
“มเหศวร ที่กันเหยียบย่ำดูถูกดูหมิ่นล่วงเกินแกมาแล้ว อโหสิกันเถอะนะเพื่อน”
เสือมเหศวรเสียวปลาบในหัวใจทันทีเมื่อนึกถึงศีรษะของเขาปราศจากเส้นผม แต่แล้วดาวร้ายแห่งสุพรรณบุรีก็หัวเราะยกมือขยี้ผมเสือดำเพื่อร่วมสาบานของเขา
“อย่าพูดถึงมันอีกเลยเสือดำ กันลืมมันแล้ว”
เสือดำหน้าสลด ฉุดแขนเสือมเหศวรให้ลุกขึ้น
“ไปกระท่อมที่พักของกันเถอะ เราทั้งสองอยู่ร่วมกระท่อมเดียวกัน ข้าวของของกันมีพอจะแบ่งปันให้แกใช้ ส่วนบริวารของแกกันจะจัดที่พักให้เขาอยู่อย่างสุขสบายทีเดียว เราสองคนจะต้องรีบเร่งซ่อมสุมผู้คนและอาวุธเพื่อค่ายของเราแข็งแกร่งยิ่งขึ้นพอที่จะรับมือกับกองปราบพิเศษและพวกโจรคณะหนึ่งคณะใดที่รุกรานเรา”
ทั้งสองเดินกอดคอกันตรงไปยังกระท่อมหลังขวาสุดซึ่งเป็นที่อยู่ของเสือดำขุนโจรผู้พิชิต ต่างคนต่างอภัยให้กันแล้ว ลืมเรื่องร้ายที่ต้องเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาเมื่อครั้งก่อน” แน่นอนละ เมื่อ ๒ เสือผู้ใหญ่ยิ่งมารวมกัน สุพรรณบุรีก็จะต้องลุกเป็นไฟในไม่ช้า บรรดาผู้มีอันจะกินทั้งหลายจะต้องประหวั่นพรั่นใจไปตามกัน และกองปราบพิเศษจะต้องหนักอกหนักใจมิใช่น้อย
หลังจากเสือดำและเสือมเหศวรได้กระทำสัตย์สาบานเป็นเพื่อนน้ำมิตรต่อกันแล้ว เสือมเหศวรก็ย้ายค่ายและไพร่พลของเขาอยู่รวมกับเสือดำเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ซึ่งบริวารทั้งสองฝ่ายก็รักใคร่สนิทสนมกันเป็นอย่างดี
ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ กองปราบพิเศษของ พ.ต.ท. ประชาก็ยังคงติดตามสังหารพวกโจรในดินแดนสุพรรณบุรีอยู่เสมอ แต่โอกาสของกองปราบพิเศษไม่ค่อยจะมีมากนักเพราะพวกโจรมีหูมีตามาก การเคลื่อนไหวของตำรวจพวกโจรมักจะรู้ก่อนเสมอ จึงพากันหลบหนีเข้าป่าดงอันยากที่เจ้าหน้าที่ปราบปรามจะค้นหารังของเสือร้ายต่างๆ ได้
อย่างไรก็ตาม ‘เสือฝ้าย’ ขุนโจรผู้ยิ่งใหญ่ก็ได้จบชีวิตไปแล้วด้วยน้ำมือของกองปราบพิเศษ หลังจากนั้น ‘เสือแสวง’ ก็สิ้นชีวิตไปอีกศพหนึ่ง การปล้นในสุพรรณบุรีก็เงียบไป พวกโจรคณะต่างๆ ยังคงหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าดง รวบรวมไพร่พลและอาวุธให้เข้มแข็งพอที่จะรับมือกับกองปราบพิเศษ ถ้าหากว่าเกิดปะทะกันขึ้น
เสือดำกับเสือมเหศวรไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย แต่ประชาชนต่างโจษขานกันทั่วเมืองว่าขุนโจรทั้งสองได้เป็นพันธมิตรกันแล้ว บรรดาพ่อค้าคหบดีมีเงินต่างนอนตาไม่หลับ ประหวั่นพรั่นใจไปตามกันเพราะเกรงว่ามิวันใดก็วันหนึ่งตนจะได้ผจญกับเสือดำและเสือมเหศวร
ท่ามกลางป่าดงพงเขา ขุนโจรทั้งสองกับบริวารต่างรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องนั่งๆ นอนๆ อยู่ตลอดวันไม่ได้ทำอะไร แต่อย่างไรก็ตาม เสือดำได้มีอาหารเสบียงกรังและเงินทุนสำรองพอที่จะใช้จ่ายเลี้ยงดูบริวารของเขาอีกนานวัน แต่อาวุธและกระสุนปืนมีไม่เพียงพอ ปืนยิงเร็วหลายกระบอกชำรุดเสียหาย บ้างก็ถูกตำรวจยึดเอาไปได้ในระหว่างที่ปะทะกัน อาวุธปืนเหล่านี้เป็นของจำเป็นที่สุด จำเป็นยิ่งกว่าเสบียงอาหารเสียอีก เสือมเหศวรกับเสือดำได้ปรึกษาหารือกันในอันที่จะรีบเร่งสะสมปืนและกระสุนให้มีไว้ใช้เพียงพอแก่ความต้องการ
“เราจะอยู่นิ่งเฉยๆ อย่างนี้ไม่ได้แล้ว เสือดำ” มเหศวรพูดกับเพื่อนร่วมตายของเขา “ถ้าเราไม่ได้ปล้น พวกเราก็จะต้องอดตายในไม่ช้า ถ้าเรานำบริวารออกปล้น เราก็อาจเสียทีเจ้าทรัพย์หรือเจ้าหน้าที่ได้ เพราะปืนและกระสุนของเรามีไม่เพียงพอนั่นเอง”
เสือดำพยักหน้าเห็นพ้องด้วย
“ถูกละ ของจำเป็นที่สุดของเราในเวลานี้ไม่ใช่เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มและอาหาร แต่มันคือปืนยิงเร็วและลูกปืนไว้ให้มาก”
ครั้นแล้ว ๒ ขุนโจรผู้ยิ่งใหญ่ก็ขึ้นม้าออกเดินทางไปจากค่ายเพื่อสืบถามจากบรรดาพวกโจรต่างๆ ว่าจะมีใครขายปืนหรือกระสุนปืนบ้างหรือไม่ ซึ่ง ๒ ขุนโจรยินดีที่จะให้ราคาเป็นพิเศษ
เย็นวันนั้น
ขุนโจรผู้พิชิตกับเสือมเหศวรเพื่อนร่วมสาบานได้ปรากฏตัวอยู่บนหลังม้าบนยอดเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง ทั้งสองกำลังสนทนากัน ทอดสายตามองลงไปยังหมู่กระท่อมเล็กๆ ประมาณ ๑๐ หลัง ซึ่งปลูกเรียงรายกันในระหว่างหุบเขาแห่งหนึ่ง
เสือดำยิ้มให้เสือมเหศวรและกล่าวถามว่า
“หมู่บ้านที่เราเห็นนั่นน่าจะเป็นรังโจรเสียแล้วโว้ยมเหศวร หรือแกว่ายังไง?”
มเหศวรหรี่ตาข้างหนึ่ง ดึงหมวกปีกให้หงายขึ้นและพูดอย่างคึกคะนอง”
“กันก็เข้าใจอย่างแกแหละเสือดำ อยากจะรู้แน่ว่าเป็นถิ่นอ้ายเสือหรือเป็นหมู่บ้านก็ลองเอาปืนยิงกราดลงไป ถ้ามันยิงตอบเรามันก็คือค่ายของอ้ายเสือคนใดคนหนึ่ง”
ครั้นแล้วมเหศวรก็ปลดท็อมสันออกจากบ่า ยกปืนขึ้นประทับ เสือดำปัดมือเพื่อนแล้วหัวเราะ
“อย่าโว้ย มเหศวร ถึงมันเป็นโจร มันก็มีอาชีพเช่นเดียวกันเรา ลงไปเที่ยวกันเถอะวะ บางทีเราอาจจะได้สะเต็นและกระสุนบ้าง”
มเหศวรว่า “แต่เราควรจะซ่อนปืนของเราไว้เสียที่นี่จะดีกว่า มีปืนพกติดตัวไปคนละสองกระบอกก็ดีแล้ว ขืนสะพายท็อมสันไปหามัน มันก็ต้องรู้ว่าเราเป็นนายโจร”
ต่างคนต่างก้าวลงจากหลังม้า ปลดท็อมสันออกจากบ่าซ่อนไว้ในพุ่มไม้แห่งหนึ่งและกลับขึ้นม้า ควบขับลงไปตามธรรมชาติ หมู่บ้านที่กล่าวนี้คือค่ายของเสือหยด จอมโจรผู้เหี้ยมโหด พาบริวาร ๕๐ คนหลบหนีเจ้าพนักงานกองปราบพิเศษมาจากอ่างทองและมาตั้งค่ายอยู่ที่นี่ หวังจะยึดสุพรรณบุรีเป็นถิ่นทำมาหากินต่อไป
เสือมเหศวรกับเสือดำบังคับม้าให้หยุดหน้ากระท่อมหลังหนึ่ง บรรดาบริวารโจรของเสือหยดซึ่งกำลังนั่งพักผ่อนจับกลุ่มสรวลเสเฮฮากัน พากันมองดูขุนโจรทั้งสองเป็นตาเดียว
“ตำรวจกระมังเว้ย” ใครคนหนึ่งพูดเบาๆ
“ตำรวจก็ช่างมันปะไรวะ มาสองคนเท่านี้ ถ้าเป็นตำรวจหรือพวกอำเภอก็ฝังมันเสียเลย กันจะเข้าไปถามมันเองว่ามันเป็นใครมาจากไหน”
เจ้าหนุ่มร่างใหญ่ลุกขึ้น เดินกางแขนตรงเข้ามาหา ๒ เสือ
“สวัสดีพี่ชาย ไปยังไงมายังไงกัน มีธุระอะไรที่นี่”
เสือดำตอบอย่างเฉลียวฉลาด
“กันเป็นนักเผชิญโชคหากินทุกอย่างที่มีทางได้เงิน กันมาดีไม่ใช่มาร้าย อ้ายน้องชาย กันอยากจะได้ปืนยิงเร็วทุกชนิดและกระสุนปืนด้วย พวกแกมีใครขายบ้างละ กันจะให้ราคาอย่างงามทีเดียว”
“มีเหมือนกัน แต่มีไว้ใช้ ถึงพี่จะให้ราคาแพงสักเท่าไรก็ขายให้ไม่ได้”
มีเสียงห้าวๆ ของใครคนหนึ่งตะโกนมา
“สองคนนั่นเข้ามาทำไมวะ?”
เจ้าหนุ่มร่างใหญ่หันไปมองดูผู้พูดซึ่งเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างล่ำสัน ใบหน้าเหี้ยม นัยน์ดุ ผมหยิก ริมฝีปากหนา เขาคือ ‘เสือหยด’ นั่นเอง
“สองคนนี่เขามาหาซื้อปืนยิงเร็วครับนาย”
เสือร้ายเดินตรงเข้ามาหามเหศวรและเสือดำ
“แกต้องการปืนยิงเร็วหรืออ้ายน้องชาย?” เสือหยดถามยิ้มๆ
มเหศวรตอบว่า
“ถูกแล้ว ถ้าพี่ชายมีปืนยิงเร็วก็แบ่งปันขายให้กันบ้างซี”
เสือหยดสั่นศีรษะและพอใจในลักษณะของเสือทั้งสอง
“ขอโทษ อ้ายน้องชาย แกกำลังจะเริ่มชีวิตเป็นโจรกระมัง ถึงได้พากันท่องเที่ยวหาซื้อปืนยิงเร็ว?”
เสือดำพยักหน้ารับรอง
“ถูกแล้ว กันเป็นพลเมืองดีมาช้านานแล้ว มีฐานะความเป็นอยู่แร้นแค้นเรื่อยมา ก็อยากจะลองเป็นโจรกับเขาดูบ้าง โชคเหมาะเคราะห์ดีปล้นครั้งเดียวมีเงินใช้ไปได้ตั้งปี”
เสือหยดยิ่งเพิ่มความพอใจในเสือมเหศวรกับเสือดำขึ้นอีก เขาคิดจะเกลี้ยกล่อมไว้เป็นบริวารของเขา เพราะลักษณะท่าทางของเสือร้ายทั้งสองบอกความเป็นนักเลงและนักสู้เต็มตัว เสือหยดยกมือตบบ่าเสือดำและเสือมเหศวรคนละข้าง
“อ้ายน้องชาย การเป็นโจรมิใช่เป็นของง่าย แกจะต้องมีความสามารถพอตัว เต็มไปด้วยไหวพริบปฏิภาณ และจะต้องมีบริวารหลายคน แกคงไม่รังเกียจที่จะรู้จักกับกัน กันชื่อหยด หรือเสือหยด ชาวเมืองอ่างทองเขารู้จักชื่อเสียงของกันดี”
“เสือหยด” เสือมเหศวรแกล้งอุทานออกมาดังๆ แล้วทำหน้าตื่นๆ เหมือนกับเกรงกลัว “กันได้ยินชื่อเสียงของแกมานานแล้ว เสือหยดเป็นจอมโจที่ใหญ่ยิ่งที่สุดในเมืองอ่างทอง”
เสือหยดหัวเราะชอบใจ