ตำรวจกองปราบพิเศษที่ส่งไปจากพระนครมุ่งมาสุพรรณบุรี มีจำนวนมากมายไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ คน พร้อมด้วยอาวุธปืนอันทันสมัย ได้สมทบกำลังกับกองตำรวจภูธรจังหวัดนี้ กระจัดกระจายกันออกทำการกวาดล้างพวกโจรทั้งหลายซึ่งมีอยู่หลายก๊กหลายเหล่า จนกะทั่งกล่าวได้ว่า ‘สุพรรณบุรีเป็นแดนอ้ายเสือ’
อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์นั้นถึงแม้ว่าจะกระทำกันเป็นความลับ พวกโจรก็สามารถสืบทราบได้ล่วงหน้าทุกระยะไป บรรดาขุนโจรเห็นมหาภัยมาถึงตนก็รีบอพยพบริวารหลบหนีเข้าป่าทึบซึ่งเต็มไปด้วยความทุระกันดาร ยากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะติดตามปราบปรามได้ อนึ่ง พวกโจรก็ชำนิชำนาญภูมิประเทศเป็นอย่างดี
กองโจรของเสือดำตั้งค่ายอยู่ในถ้ำของภูเขาลูกหนึ่งในป่าทิศตะวันตกของสุพรรณบุรี เสือดำต้องปิดฉากการปล้นชั่วขณะ รวบรวมกำลังพลและอาวุธไว้พร้อมสรรพ
ท่ามกลางป่าดงพงไพร แวดล้อมด้วยป่าไผ่และไม้เบ็ญจพันธุ์ และท่ามกลางขุนเขาอันสลับซับซ้อน อันเป็นธรรมชาติที่งดงามเหลือที่จะรรณา มีธารน้ำใสไหลเย็นและลำห้วย ที่นี่คือรังของเสือดำ ขุนโจรในวัยหนุ่มฉกรรจ์ ผู้มีหัวใจแข็งแกร่งเหมือนเหล็กกล้าและกำลังขึ้นชื่อลือไปทั่วสุพรรณบุรี
เย็นวันนั้น ขณะที่เสือดำพักผ่อนอยู่ในถ้ำที่พักของเขา ยามคอยเหตุคนหนึ่งก็กะหืดกะหอบเข้ามาในถ้ำ และรายงานให้เขาทราบว่ามีเสียงฝีเท้าม้าหลายตัวควบขับมาแต่ไกล และใกล้เข้ามาทุกที
เสือดำคว้าสะเต็นลุกขึ้น วิ่งออกมานอกถ้ำที่พัก ตะแคงหูฟังเสียงฝีเท้าม้าซึ่งได้ยินถนัด บริวารของเขายืนเรียงรายอยู่ตามหน้าถ้ำต่างๆ ทุกคนถืออาวุธปืนยิงเร็วเตรียมพร้อม
“ตำรวจกะมังครับพี่ดำ?” สมุนโจรคนหนึ่งพูดกับเขาอย่างนอบน้อม
ขุนโจรสั่นศีร์ษะ
“ข้าว่าคงไม่ใช่ตำรวจ อาจจะเป็นเสือย้อย เสือขำ หรือเสือมเหศวรพาพรรคพวกมาเยี่ยมเราก็ได้ แต่ว่าเราไม่ควรประมาท” แล้วเสือดำก็หันมาทางบริวารของเขา ร้องตะโกนสั่งให้เข้าที่กำบัง
สมุนโจรต่างแยกย้ายกันนั่งแฝงตัวอยู่ตามโคนต้นไม้และก้อนหิน ประทับปืนยิงเร็ว เตรียมที่จะกะดิกนิ้วเหนี่ยวไกปล่อยกระสุนออกจากลำกล้อง
ม้าหมู่หนึ่งประมาณ ๑๐ ตัว ปรากฏตัวขึ้นแล้ว ผู้ที่นั่งอยู่บนหลังม้าล้วนแต่เป็นชายในวัยหนุ่มฉกรรจ์ทั้งสิ้น แต่งกายแบบเดียวกัน มีปืนและดาบสะพายอยู่บนบ่า และผู้ที่ขี่ม้าน้ำหน้าเป็นชายร่างใหญ่ท่าทางสง่าผ่าเผย
เสือดำเก็บสะเต็นคล้องไหล่ไว้ตามเดิม เขายิ้มกับลูกน้องคนสนิทของเขาแล้วกล่าวว่า
“อ้ายน้องชาย มเหศวรเพื่อนเกลอมาเยี่ยมข้า เอ็งช่วยรับเลี้ยงดูเขาหน่อยเถอะวะ ต้องรับรองเขากับลูกน้องของเขาให้เต็มที่ อย่าให้มีอะไรขาดตกบกพร่องได้ เขาจะนึกติเตียนเราภายหลัง”
ขุนโจรโบกมือเรียกบริวารทุกคนลงมาที่เชิงเขาเพื่อคอยต้อนรับเสือมเหศวร ขุนโจรผู้ชื่อว่าโหดร้ายที่สุด เป็นที่ครั่นคร้ามแก่ชาวสุพรรณบุรีโดยทั่วไป
กลุ่มม้าของเสือมเหศวรควบขับตรงเข้ามา ฝีเท้าม้าได้ลดลงตามลำดับ ในที่สุดม้าทุกตัวก็ถูกบังคับให้หยุดนิ่งหน้ากะท่อมหลังหนึ่ง อันเป็นที่พักของพวกคนยามของเสือดำ
ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าสี่เหลี่ยมมีหนวดและเคราเล็กน้อยเผ่นแผล็วลงจากม้าคู่ขาของเขา เขาคือเสือมเหศวรนั่นเอง จอมโจรถอดหมวกปีกใหญ่ออกชูขึ้นเหนือแขนและยิ้มให้เสือดำที่กำลังเดินเข้ามา
“สวัสดีอ้ายเพื่อนยาก” เสือดำทักเพื่อนเสือร่วมจังหวัดเดียวกับเขา ยื่นมือขวาให้เสือมเหศวรจับ
“สวัสดีเสือดำ วันนี้กันคิดถึงแกมาก และอยากจะมากินเหล้ากับแก กันก็เลยชวนบริวารของกันเดินทางมาเยี่ยมแก”
เสือดำยิ้มให้เพื่อนของเขา
“ขอบใจมากมเหศวร กันจะเลี้ยงดูปูเสื่อต้อนรับแกกับบริวารของแกให้เต็มที่ทีเดียว” พูดจบ เสือดำก็ผละจากเสือมเหศวร เดินเข้าไปทักทายสมุนของเพื่อนโดยทั่วหน้า
เขาพาเสือมเหศวรเข้าไปในถ้ำของเขา และสั่งให้ลูกน้องของเขาจัดหาสุราและอาหารมาเลี้ยงดูพรรคพวกของเสือมเหศวร สมุนโจรทั้งสองฝ่ายต่างสนทนาปราศรัยกันเป็นอย่างดี
เสือดำพาเพื่อนเข้ามาในถ้ำที่อยู่โดยเฉพาะของเขา มันเป็นถ้ำเล็กๆ มีความลึกจากปากถ้ำเข้ามาประมาณ ๑๐ เมตรเท่านั้นเอง ภายในถ้ำมีเครื่องใช้ไม้สอยครบครัน และมีแคร่ไม้ไผ่สำหรับนั่งเล่น
ทั้งสองทรุดตัวนั่งบนแคร่ไม้ไผ่นี้ และต่างฝ่ายต่างซักถามทุกข์สุขซึ่งกันและกันอย่างสนิทสนม เหล้าและกับแกล้มถูกยกทยอยเข้ามาตามลำดับ
“กันไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยว่าเพื่อนจะมาเยี่ยม ถ้ารู้ล่วงหน้าก็คงจะมีหมูป่าหรืออีเก้งไว้ต้อนรับเพื่อน นี่คงมีแต่สะเบียงกรังและปลาสดนิดหน่อยเท่านั้น บกพร่องไปบ้างอภัยนะมเหศวร”
ขุนโจรมเหศวรยิ้มเล็กน้อย
“เท่านี้ก็ดีแล้ว เรากันเองไม่ใช่คนอื่น ง่า... เท่าที่กันมาหาแกในวันนี้ นอกจากจะมาเยี่ยมเยียนแกแล้ว ยังมีเรื่องสำคัญที่จะมาพูดขอร้องแกด้วย”
เสือดำจัดแจงรินเหล้าใส่ถ้วยและส่งให้เพื่อนถ้วยหนึ่ง
“บอกกันเถอะ มเหศวร กันยินดีรับใช้และยินดีช่วยเหลือแกเสมอ เคยคิดอยู่ทุกวันคืนว่ากันจะต้องหาโอกาสตอบแทนบุญคุณของแกที่แกได้ช่วยชีวิตกันไว้เมื่อปีกลายนี้
ขณะที่กันกำลังจะถูกอ้ายสอนลอบยิง และแกได้ยิงอ้ายสอนตายเสียก่อน เพื่อนรัก บุญคุณอันใหญ่หลวงของแกในครั้งนั้นกันจะลืมเสียมิได้เลย”
มเหศวรหัวเราะเสียงกังวาน ต่างคนต่างยกเหล้าขึ้นดื่ม
“ดำ อ้ายเพื่อนเกลอ” มเหศวรพูดเสียงหนักๆ “เรื่องที่กันจะพูดกับแกนี้ ขอให้แกอย่าคิดว่ากันลบเหลี่ยมหรอืเจตนาลูบคมแกเลยเพื่อน กันเกรงใจแกมาก ไม่อยากจะพูดก็ต้องพูด เพราะอาฝ้ายเขาใช้ให้กันมาเจรจา”
เสือดำแสดงทีท่าแปลกใจไม่น้อย
“พูดเถอะมเหศวร มีอะไรก็เล่าให้กันรู้”
มเหศวรแขนขวาของเสือฝ้ายถอนหายใจเบาๆ
“อ้าฝ้ายเขาให้กันมาเจรจากับแก เพื่อนรัก แกกำลังสร้างชื่อเสียงและอิทธิพลของแกให้ใหญ่ยิ่ง และบัดนี้ราษฎรส่วนมากเขาเรียกแกว่าเจ้าพ่อสุพรรณแล้ว ความเก่งกาจของแกทำให้ผู้คนคลายความเคารพนับถือในตัวอาฝ้ายไปมาก เพราะฉะนั้นในฐานที่อาฝ้ายเป็นโจรมาแต่ก่อน มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วสุพรรณบุรี อายฝ้ายจึงจำต้องรักษาชื่อเสียงของเขาไว้ คือ... ง่า... ให้กันมาขอร้องแก ขอให้แกพาบริวารของแกอพยพออกไปเสียจากสุพรรณบุรีโดยเร็ว”
ใบหน้าของเสือดำเคร่งขรึม แววตาแข็งกร้าวแสดงความไม่พอใจ เขาเกือบจะพูดถ้อยคำบริภาษณ์เสือฝ้าย แต่ยังเกรงใจมเหศวรเพื่อนเกลอของเขา
“กันมีอิทธิพลจนทำให้อาฝ้ายหวั่นเกรงกันเชียวหรือ?”
มเหศวรยกเหล้าขึ้นจิบนิดหนึ่ง
“ถูกละ หลังจากแกได้สังหารเสือมิ่งและเผาบ้านบางกะเจาราบไปหมด ประชาชนก็หวั่นเกรงในความเก่งกาจของแกมาก อาฝ้ายเปรียบเหมือนเจ้าพ่อแห่งสุพรรณบุรี จึงจำจะต้องรักษาความเป็นเสือไว้ ไม่ยอมให้ขุนโจรคนใดใหญ่ยิ่งเกินหน้าเขาได้”
ขุนโจรผู้มีผิวขาวตรงกันข้ามกับชื่อของเขาหัวเราะในลำคอ
“สุพรรณก็เหมือนกับทะเลหลวง และพวกเราพวกโจรทั้งหลายก็เหมือนกับชาวประมงค์” เสือดำพูดอย่างคมคาย
“ท้องทะเลน่ะ ใครจะประกาศตนเป็นเจ้าของมันสมควรละหรือเพื่อน อาฝ้ายหรือกันหรือเสืออื่นๆ ย่อมมีสิทธิ์ที่จะจับปลาในท้องทะเลด้วยความสามารถของตน กันเปรียบให้ฟังเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่ากันลบหลู่ดูหมิ่นอาฝ้ายผู้เป็นโจรมีอาวุโส การอพยพไปจากสุพรรณบุรีจะเป็นไปได้ก็ด้วยความสมัครใจของกันเอง เพื่อนคิดดูเถิดว่ากันก็ขุนโจรที่ใหญ่ยิ่งคนหนึ่ง”
เสือมเหศวรซ่อนความไม่พอใจไว้ในหน้า
“แต่อาฝ้ายขอร้อง ไม่ได้บังคับแก”
เสือดำนิ่งอึงไปสักครู่
“ถ้ายังงั้น แกช่วยไปบอกอาฝ้ายเถิดว่ากันเสียใจที่กันไม่สามารถจะปฏิบัติตามคำขอร้องของอาฝ้ายได้”
มเหศวรวางถ้วยเหล้าลงทันที จ้องมองดูหน้าเพื่อนเกลอของเขา
“มันอาจจะเป็นเรื่องใหญ่โต เสือดำ อาคงถือว่าแกหมดความเคารพเกรงใจอา...”
เสือดำพูดโพล่งขึ้น
“แต่กันไม่ได้เป็นลูกน้องของอาฝ้าย และกันก็เป็นนายโจรคนหนึ่งที่ไม่เคยยอมอ่อนข้อกับใคร”
“เสือดำ!” มเหศวรร้องขึ้นดังๆ “หมายความแกพร้อมที่จะลูบคมอาฝ้ายยังงั้นหรือ แกถึงพูดอย่างนี้?”
ขุนโจรหัวเราะด้วยอารมณ์เย็น
“แกเข้าใจเอาเอง กันบอกแกแล้วว่ากันนับถือในความมีอายุของอาฝ้าย แต่กันยอมทำตามอาฝ้ายไม่ได้ กันกับพรรคพวกจะอยู่ที่สุพรรณบุรีต่อไป และกันจะลงมือปล้นอย่างฉกาจฉกรรจ์เมื่อกำลังกองปราบพิเศษถอนกลับกรุงเทพฯ หมดแล้ว”
“ก็ตามใจ” มเหศวรกล่าวด้วยความไม่พอใจ “ถ้ากันกลับไปบอกอา อาอาจจะใช้กำลังจัดการกับแกก็ได้”
คราวนี้เสือดำไม่เยือกเย็นได้ต่อไปแล้ว
“กันพร้อมเสมอที่จะรับมืออาฝ้าย ถ้าหากว่าอาฝ้ายบุกกันก่อน กันก็จำเป็นจะต้องหักโค่นอาฝ้ายให้ย่อยยับกันลงไปข้างหนึ่ง”
เสือมเหศวรผลุนผลันลุกขึ้นยืน
“กันลาละเพื่อน อารมณ์ของกันไม่สู้จะดีเสียแล้ว ถ้ากันขืนอยู่ที่นี่ บางทีมิตรภาพของเรามันอาจจะขาดจากกันก็ได้”
เสือดำลุกขึ้นยืน ยื่นมือให้เสือมเหศวรจับ
“อย่าโกรธกันเลยเพื่อน แกก็เป็นนายโจรที่ขึ้นชื่อคนหนึ่ง ลองเอาใจแกมาใส่ใจกันบ้าง แล้วแกจะเห็นว่าที่กันปฏิเสธคำของร้องของอาฝ้ายก็เพราะกันรักษาเกียรติของกันเท่านั้น ไม่ใช่ลบหลู่ดูหมิ่นอาฝ้ายหรอก”
เสือมเหศวรพะยักหน้า สายตาที่มองดูเสือดำนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ลาก่อนดำ เราคงจะพบกันอีกในเร็ววันนี้ บาทีอาฝ้ายคงจะใช้ให้กันมาหาแก”
“กันยินดีต้อนรับแกเสมอ มเหศวร”
สองฝ่ายต่างฝืนยิ้มให้แกกัน เกลียวสัมพันธ์ของมิตรภาพได้สิ้นสุดลงแล้ว เสือมเหศวรพาตัวออกไปจากถ้ำ
อีกสักครู่หนึ่ง สมุนแขนขวาของเจ้าพ่อสุพรรณบุรีนำบริวารของเขาควบขับม้าไปจากที่นั้น เสือดำยืนมองดูจนลับตา ใบหน้าของขุนโจรเคร่งขรึม เขาพอจะวาดภาพเหตุการณ์ในอนาคตได้ถูกต้อง แน่นอนละ เสือฝ้ายผู้ยิ่งใหญ่คงจะใช้ให้เสือมเหศวรยกพลมาปะทะกับเขาเพื่อผลแตกหัก
ความจริงเสือฝ้ายไม่มีเจตนาที่จะขับไล่เสือดำกับบริวารออกไปจากดินแดนสุพรรณบุรีเลย แต่เสือมเหศวรนี่แหละเป็นผู้ที่หวั่นเกรงอิทธิพลของเสือดำซึ่งกำลังมีชื่อกะฉ่อนยิ่งกว่าตนในเวลานี้ เสือมเหศวรจึงพยายามใช้วาทศิลป์ของตนพูดให้เสือฝ้ายเข้าใจผิดคิดว่าเสือดำหวังจะครอบครองแผ่นดินสุพรรณนี้ และคิดกวาดล้างพวกโจรทุกคณะเพื่อความเป็นเจ้าเป็นใหญ่ เสือฝ้ายจึงใช้ให้เสือมเหศวรมาเจรจากับเสือดำ
ศึกใหญ่ระหว่างเสือต่อเสืออาจจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้