ศาสตร์และศิลป์สู่เส้นทางนักเขียนผี : สิ่งเดียวที่คนหยิบหนังสือผีขึ้นมาอ่าน คือพวกเขาปรารถนาพบความสยองขวัญ เขย่าขวัญ ระทึกขวัญ กระตุกขวัญหรือความกลัวสุดขีดในหนังสือผีเล่มนั้นๆ

ศาสตร์และศิลป์สู่เส้นทางนักเขียนผี

สิ่งเดียวที่คนหยิบหนังสือผีขึ้นมาอ่าน คือพวกเขาปรารถนาพบความสยองขวัญ เขย่าขวัญ ระทึกขวัญ กระตุกขวัญหรือความกลัวสุดขีดในหนังสือผีเล่มนั้นๆ นักเขียนผีมีหน้าที่อย่างเดียวคือทำทุกสิ่งทุกอย่างในงานเขียนของตนเพื่อให้ผู้อ่านได้สิ่งที่ต้องการ ดังนั้น “นิยามความกลัว” เป็นบทเรียนแรกที่นักเขียนผีต้องศึกษาอย่างชำนาญ เพื่อที่จะเรียกใช้ได้อย่างคล่องแคล่วทุกที่ทุกเวลาเมื่อต้องการ หากหนังสือผีเล่มใดสอบตกในเรื่องความกลัว ก็เป็นการเสียเวลาเปล่าทั้งผู้เขียนและผู้อ่าน

นักเขียนผีต้องทำให้ผู้อ่านทุกๆคนกลายเป็นคนขี้สงสัยและหวาดระแวง ในสิ่งที่พวกเขาคุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นบ้านตัวเอง รถยนต์คันโปรด หรือแม้กระทั่งจิตใจของตัวเอง และนักเขียนผีที่ดีต้องทำให้ผู้อ่านรักษาความรู้สึกกลัวไว้ตราบเท่าที่ยังไม่วางหนังสือผีของเราลง

แน่นอนว่า ผู้อ่านรู้แก่ใจว่าเรื่องที่พวกเขากำลังอ่าน เป็นเรื่องแต่งและเรื่องสมมุติขึ้นเพื่อความบันเทิง ดังนั้น “ความสมจริง” จึงเป็นอีกหนึ่งข้อสำคัญที่นักเขียนผีต้องทำการบ้านอย่างหนัก แม้ว่าผู้อ่านจะคิดว่าเป็นเรื่องโกหก แต่นักเขียนผีมีหน้าที่สร้างบรรยากาศเหมือนจริงขึ้นในงานเขียนของตนให้ได้ เพื่อโน้มน้าวความคิดของผู้อ่านดำดิ่งเข้าสู่โลกจินตนาการ ที่นักเขียนผีขุดหลุมล่อเอาไว้

นักเขียนผีต้องถามตัวเองเสมอว่า ทำไมเราจึงเขียนเรื่องสยองขวัญ เราเขียนเพื่อตอบสนองความกลัวของตัวเอง หรืออยากแบ่งปันความรู้สึกกลัวให้คนอ่านรับทราบพร้อมกับเราด้วย หรือมีจุดประสงค์เพียงเพื่อหลอกให้คนอื่นกลัวในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยกลัว มีเหตุผลอีกร้อยแปดพันประการที่ทำให้นักเขียนผีเกิดขึ้นในบรรณาพิภพ แต่มีเพียงเหตุผลเดียวที่นักอ่านต้องการจากนักเขียนผีคือความกลัว...และความกลัวเท่านั้น

จงจำไว้เสมอว่า คนที่หยิบผลงานของเราขึ้นมาอ่าน แสดงว่าเขาเปิดใจยอมรับในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นภายในหนังสือของเรา ดังนั้นนักเขียนผีที่ดีต้องทำให้ผู้อ่านกลัวสุดขีดตั้งแต่ประโยคแรก หรือหน้าแรกก่อนที่เขาจะพลิกไปหน้าอื่น หรือเปลี่ยนใจทิ้งหนังสือของเราไปดูโทรทัศน์หรือเล่นเกมคอมพิวเตอร์

นอกจากนักเขียนผีต้องทำงานแข่งกับนักเขียนแนวอื่นๆแล้ว ยังต้องต่อสู้กับความบันเทิงหลายรูปแบบที่มีอยู่มากล้นในสังคม ยิ่งสังคมมีอคติกับเรื่องสยองขวัญอยู่เป็นทุนเดิม ทำให้นักเขียนผีต้องทำงานหนักกว่านักเขียนแนวอื่นๆอีกทวีคูน สิ่งนี้จะเป็นตัวคัดกรองนักเขียนผีไปในตัว เพราะผู้ที่อึดทรหดและหัวเห็ดเท่านั้นถึงจะมีชีวิตรอดในอาชีพนักเขียนผี

ผู้ที่ต้องการเดินเข้าสู่เส้นทางนักเขียนผี ต้องย้ำเตือนตัวเองเสมอว่าไม่มีใครบังคับให้เราเขียนเรื่องสยองขวัญ สิ่งที่เรากำลังเขียนหรือกำลังเล่า เป็นสิ่งที่เราสมัครใจเอง ดังนั้นนักเขียนผีจะดำรงชีวิตอยู่บนเส้นทางสายนี้ได้ มีเพียงผลงานเท่านั้นเป็นตัวพิสูจน์ หากคิดว่าตัวเองไม่พร้อมด้วยประการทั้งปวง จงหันเหความคิดไปเขียนเรื่องแนวอื่นหรือไปทำอาชีพอื่นเลยดีกว่า

แน่นอนว่า หลายอาชีพมีเคล็ดลับเพื่อไต่เต้าไปสู่ความสำเร็จได้เร็วขึ้น ถึงขนาดมีเกจิอาจารย์เปิดโรงเรียนสอนกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ในแวดวงนักเขียนผีเองก็มีผู้อุปโลกน์ตัวเองเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ที่สุดแล้ว ถึงแม้มีคนจับปากกายัดใส่มือให้เราเขียน หรือแม้กระทั่งสั่งให้เราเขียนตามคำบอกที่ละคำ...ที่ละคำ ทั้งหลายทั้งปวงก็ไม่อาจเนรมิตให้เราเป็นนักเขียนผีได้ หากผู้ที่จะเดินเข้ามาในเส้นทางนักเขียนผี ยังหวังพึ่งลมหายใจคนอื่น อนาคตก็ทำนายไม่ยากว่า นักเขียนผีคนนั้นมีความล้มเหลวรออยู่เบื้องหน้า

สำหรับคนที่ต้องการยึดอาชีพนักเขียนไม่ว่าแนวไหน มีสิ่งเดียวที่พิสูจน์กันมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันหรือล่วงหน้าไปถึงอนาคตว่า สิ่งเดียวที่จะทำให้นักเขียนคนนั้นประสบความสำเร็จก็คือ “การอ่าน” ในจำนวน 100 คนของผู้ที่ยึดอาชีพเขียนหนังสือขาย คงไม่มีใครที่ไม่เคยเป็นนักอ่านมาก่อน ดังนั้นสุดยอดกลเม็ดเคล็ดลับสำหรับผู้ต้องการเป็นนักเขียนไม่ว่าแนวใดก็คือ “การอ่าน” นั้นเอง

หากมีนักเขียนคนไหนที่เขียนหนังสือขายได้โดยไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อน ก็นับว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์พันลึก และหากมีใครพร่ำบ่นว่าอยากเป็นนักเขียนแต่ไม่มีเวลาอ่านหนังสือ สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้แน่นอน ถึงขนาดมีคนเปรียบเปรยเอาไว้ว่า สอนเป็ดให้ขันเหมือนไก่ยังง่ายกว่าสอนคนไม่อ่านหนังสือให้เป็นนักเขียน

การอ่านเป็นบันไดขั้นแรกสำหรับผู้อยากเป็นนักเขียนไม่ว่าแนวใด แน่นอนว่าเคยมีผู้ทดลองกระโดดข้ามขั้นบันไดนี้เหมือนกัน แต่ที่สุดก็ไปไม่รอดเหมือนนักเรียนที่เรียนข้ามชั้น เขาอาจทำข้อสอบถูกทุกข้อก็จริง แต่จะแน่ใจอย่างไรว่าเป็นความสามารถของเขาล้วนๆ ไม่ใช่เกิดจากการเดาสุ่มสี่สุ่มห้า โดยเฉพาะนักเขียนผีต้องถือว่าสมบุกสมบันกว่าเพื่อนร่วมอาชีพ เพราะทุกอย่างที่เราเขียนตั้งแต่ประโยคแรกกระทั่งบรรทัดสุดท้ายของเรื่อง เป็นเรื่องของจินตนาการทั้งสิ้น ดังนั้นสิ่งสำคัญของเรื่องสยองขวัญก็คือการบรรยายฉาก และการอ่านจะเป็นตัวช่วยให้นักเขียนผีประสบความสำเร็จในด้านนี้

เมื่อ “การอ่าน” เป็นกลเม็ดเคล็ดลับอย่างเดียวสำหรับนักเขียนไม่ว่าแนวไหน หรือแม้กระทั่งนักเขียนผีเองก็ยังคงต้องพึ่งการอ่าน ดังนั้นผู้ต้องการเป็นนักเขียนต้องถือหนังสือติดมือเสมอ ต้องทำเหมือนว่าหนังสือเป็นอวัยวะส่วนสำคัญที่สุดในร่างกาย เราจะไปไหนไม่ได้หากไม่มีหนังสือติดตัวไปด้วย เพราะเราไม่อาจคาดคะเนได้ว่า จุดหมายที่เราต้องการไปจะมีอุปสรรคถึงขั้นเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ หนังสือจะเป็นตัวช่วยให้เวลาในจุดนั้นของเรามีค่ายิ่งขึ้น

“การอ่าน” เปรียบเหมือนเพื่อนสนิทของ “การเขียน” อาจกล่าวได้ว่าหากโลกนี้ไม่มีการอ่านก็จะไม่มีการเขียน ผลพลอยได้อีกอย่างหนึ่งที่ได้จากการอ่านคือ การอ่านจะช่วยให้คุณทราบว่าเรื่องผีใดเคยมีคนเขียนไปแล้ว เรื่องผีใดยังไม่มีใครเขียนถึง เรื่องผีใดน่าเบื่อหน่าย เรื่องผีใดมีแง่มุมพอให้เรานำเสนอโดยที่ผู้อ่านไม่บ่นลับหลังว่าเรื่องผีแบบนี้อ่านมาจนชินแล้ว

ทั้งหลายทั้งปวงที่คุณอ่านมาทั้งหมดจะไร้ประโยชน์ หากคุณไม่ลงมือเขียนตั้งแต่บัดนี้...เดี๋ยวนี้...และเวลานี้ หากอยากเป็นนักเขียนผีก็อย่าอ่านเรื่องผีเพลินจนลืมลงมือเขียน แม้คุณจะเรียนจบหลักสูตรวิชาการอ่านขั้นสูงสุด ก็ไม่อาจทำให้คุณเป็นนักเขียนผีได้ สิ่งเดียวที่ทำให้คุณเป็นนักเขียนผีได้คือการลงมือเขียนเท่านั้น เช่นเดียวกับหลักสูตรวิชาเพศศึกษาในห้องเรียนไม่อาจทำให้คุณมีลูกได้ นอกจากคุณจะลงไม้ลงมือปฏิบัติกิจกามด้วยตัวเอง...(เกี่ยวกันไหมเนี่ย)

 

ที่มา: http://www.oknation.net

Writer

Sirirat Soonsakul

นักอยากเขียน ผู้รักการสะสมท้องฟ้าสีวนิลลา และใช้หมูกระทะเยียวยาจิตใจ