ดร.สุจิตรา อ่อนค้อม : ชนะเลิศการประกวดบทความสันติภาพโลก

ดร.สุจิตรา อ่อนค้อม

การเขียน เป็นเพียงหนทางหนึ่งในการบอกเล่าความรู้และความคิดของคนคนหนึ่ง ซึ่งในการเขียนแต่ละครั้งจะมีคุณค่าต่อผู้อ่านมากเพียงใด ขึ้นอยู่กับการรับรู้ของผู้อ่าน และขึ้นอยู่กับสิ่งที่ผู้เขียน "ให้" กับเรา อาจเป็นสาระ อาจเป็นความรู้ หรืออาจเป็นความบันเทิงและสิ่งประโลมใจ

แต่งานเขียนของ ดร.สุจิตรา อ่อนค้อม มีความหมายมากกว่านั้น ด้วยเป็นงานเขียนที่ช่วยชี้แนะให้เห็นทางของการดำเนินชีวิตอย่างพุทธศาสนิกชน เป็นงานเขียนรับใช้พระพุทธศาสนา ที่หากผู้อ่านเปิดใจเพื่อรับรู้และทำความเข้าใจกับสิ่งที่อาจารย์บอกแล้ว ย่อมได้รับประโยชน์อย่างแน่นอน

ทุกวันนี้ชื่อของ ดร.สุจิตรา อ่อนค้อม หรือในนามปากกาว่า สุทัสสา จึงไม่เพียงประสบความสำเร็จในฐานะนักเขียนในประเทศไทย หากมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก จากการชนะเลิศการประกวดบทความสันติภาพโลกเมื่อปีที่ผ่านมา หนังสือของอาจารย์ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศหลายภาษา

แต่กว่าจะมาถึงวันแห่งความสำเร็จเช่นนี้ อาจารย์ต้องใช้ความมานะพยายามมาไม่น้อยเลย และนี่คือสิ่งที่อาจารย์เล่าให้เราฟัง ถึงเส้นทางการเป็นนักเขียน นับจากวันแรกจนถึงปัจจุบัน "ดิฉันเริ่มสนใจเรื่องการเขียนมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนนั้นอ่านหนังสือสกุลไทย แล้วก็ใฝ่ฝันลมๆ แล้งๆ ว่าอยากเป็นนักเขียน ก็เริ่มลงมือเขียนนะคะ แต่เขียนแล้วก็ทิ้ง เขียนแล้วก็ทิ้ง ไม่ได้เก็บเอาไว้เลย จนวันหนึ่งพี่สาวมาขโมยอ่าน แล้วเขาก็มาว่าดิฉันว่า เรื่องที่ดิฉันเขียนลอกมาจาก "ไผ่ลอดกอ" ของเพ็ญแข วงศ์สง่า ซึ่งเป็นเรื่องที่ลงในสกุลไทยสมัยนั้น ดิฉันก็ดีใจใหญ่เลยนะ เพราะเราไม่รู้หรอกว่ามันเหมือนกัน ไม่เคยอ่านเรื่องนี้เลย ตอนนั้นยังไม่รู้จักคุณเพ็ญแขด้วย ก็เลยดีใจว่า เออ เราไม่เคยอ่านไผ่ลอดกอนะ เราเขียนของเราขึ้นมาเองแต่มันไปเหมือน แสดงว่าของเราก็มีแววนะ ก็เก็บความดีใจไว้เงียบๆ แล้วก็เขียนเล่นมาเรื่อยๆ ไม่ได้เป็นเรื่องเป็นราว"

"จนเมื่อปี 2515 ตอนที่เรียนอักษรศาสตร์ จุฬา ชั้นปีที่สี่ ตอนนั้นดิฉันจะไปเรียนพระพุทธศาสนาที่วัดบวรนิเวศวิหาร ทุกวันอาทิตย์ เรียนกับ ท่านเจ้าคุณธัมมสาโรภิกขุ ทุกคนจะเรียกท่านว่าหลวงตานะคะ ท่านเป็นชาวเมืองระยอง และเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน ท่านก็จะเขียนกลอนธรรมะ เขียนคอลัมน์ธรรมะลงในนิตยสาร ศรีสัปดาห์ ซึ่งมี หม่อมหลวงจิตติ นพวงศ์ เป็นบรรณาธิการ หลวงตาท่านมีคอลัมน์ประจำเกี่ยวกับธรรมะลงอยู่ ก็เลยลองเขียนเรื่องแรกส่งไปให้หลวงตา ตอนนั้นเขามีการประกวดร้องเพลงทางทีวี ดิฉันก็เอามาเขียนว่าตัวเองเป็นนางเอกไปประกวดร้องเพลงได้รางวัลมาเป็นค่าเรียนอะไรอย่างนี้ แต่ไม่ได้ตั้งชื่อเรื่อง ใช้นามปากกาว่า สุทัสสา ปรากฏว่าพอให้หลวงตาอ่าน ท่านก็เอาไปลงศรีสัปดาห์ให้เลย แล้วก็ตั้งชื่อเรื่องให้ตามชื่อนางเอกว่า พรสวรรค์ ฟ้าประทาน โอ้โห ดิฉันดีใจใหญ่เลย พอได้ค่าเรื่องมาหนึ่งร้อยบาทก็เอามาเลี้ยงเพื่อนหมดเลย"

"ต่อมาก็เขียนเรื่องใหม่อีกเรื่องหนึ่ง เนื้อเรื่องประมาณว่านิสิตจุฬา สอบตก โดนรีไทร์ แล้วก็ไปฆ่าตัวตาย ส่งไปที่ศรีสัปดาห์อีก แต่คราวนี้ไม่ได้ลง เพราะว่า บ.ก.ไม่ต้องการให้เรื่องจบลงด้วยการฆ่าตัวตาย ท่านบอกว่า สำนวนดีนะ ขอให้เปลี่ยนตอนจบเท่านั้น แต่ว่าช่วงนั้นเรียนหนักไม่มีเวลาแก้ก็เลยไม่ได้ลงน่ะค่ะ ไม่มีเวลาทำ แต่ที่จริงส่วนหนึ่งที่ไม่แก้เพราะตอนนั้นมีอัตตาสูงนะ รู้สึกว่าไม่เอาหรอก ก็เขียนอยากให้จบแบบนี้ ก็เลยไม่แก้ ก็เลยไม่ได้ลง"

"หลังจากเรียนจบ ถัดไปอีกสิบปี ตอนนั้นสอนอยู่ที่วิทยาลัยครูอุตรดิตถ์ ถึงได้เขียนเรื่องที่สอง ใช้ชื่อเรื่องว่า ศาลเตี้ย เอาชีวิตตัวเองมาเขียน ตอนนั้นมีคดีความอยู่ ที่บ้านถูกเขาโกง แต่เขาร่ำรวยกว่า เขาใช้เงินสู้คดี ส่วนเราไม่มีเราก็แพ้ พอเราแพ้ศาลก็แค้นใจ เลยจินตนาการผูกเรื่องขึ้นมาว่า ในเมื่อเราแพ้ศาลทั้งที่เราเป็นฝ่ายถูก เราเลยเอาปืนไปยิงคนนั้นให้ตาย เรื่องนี้เขียนตั้งแต่ 2524 ส่งไปที่สกุลไทย ปรากฏว่าที่นั่นเขามีคิวยาวมาก จนปี 2525 ดิฉันแต่งงานแล้วย้ายตามสามีเข้ากรุงเทพฯ มีน้องที่จบอักษรโทรมาบอกว่าเรื่องนี้จะได้ลงในเดือน ก.พ. 2525 คราวนี้ได้ค่าเรื่องสองพันบาท เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่สอง ที่ได้ลง โอ้โห ดิฉันดีใจมาก จำได้ว่าวันนั้นเดินไปซื้อหนังสือกุลสตรีที่สามย่าน เจอขอทานก็ให้เงินขอทานไปตั้งสิบบาท ขอทานงงเลยว่าทำไมให้เยอะ เพราะตอนนั้นเรากำลังดีใจมากนะคะ"

"พอหลังจากนั้นก็เขียนมาเรื่อยๆ มีหนังสือที่ไหนรับเรื่องสั้น ดิฉันก็ส่งไปทุกเล่มเลย เรื่องที่สามที่ได้ลงคือ น้ำหอมกลิ่นกุหลาบ ลงใน หนังสือเดลิเมล์วันจันทร์ แล้วก็ได้ลงที่สกุลไทยอีกหลายเรื่อง เป็นเรื่องสั้นตลอดเลย ลงในหนังสือลลนา ดิฉัน หนังสือวรา ตอนหลังได้เขียนลงกุลสตรีด้วย"

"แต่ที่ส่งไปแล้วไม่เคยได้ลงเลยคือ สตรีสาร กับฟ้าเมืองไทย บ.ก. สตรีสารคือ คุณนิลวรรณ ปิ่นทอง เคยให้ข้อเสนอแนะมานะคะว่าเรื่องของดิฉันนั้นสำนวนดีอะไรดีหมด แต่เรื่องมันไม่ตื่นเต้น ส่วนอาจารย์อาจิณ ปัญจพรรค์ บ.ก. ฟ้าเมืองไทยท่านก็เขียนมาให้กำลังใจ แต่ที่ไม่ได้ลงเพราะเรื่องที่ส่งไปไม่ตรงกับแนวของหนังสือฟ้าเมืองไทย ซึ่งเน้นไปในเชิงบู๊ ทรหดแบบลูกผู้ชาย เลือดนักสู้อะไรทำนองนี้"

"ดิฉันเขียนเรื่องสั้นมาทั้งหมด 13 เรื่อง แล้วก็หยุด เริ่มมาเขียนเรื่องยาว ที่เขียนเป็นเรื่องแรกเลยคือ คนเหมือนกัน เป็นเรื่องที่แปลงมาจากเรื่อง ราคาชีวิต ที่เป็นเรื่องสั้นเคยลงในกุลสตรีแล้ว บ.ก. บอกว่าดีมาก ดิฉันก็เอามาขยายเป็นเรื่องยาว 20 ตอนจบ แล้วก็พิมพ์รวมเล่มเองครั้งแรก ประมาณปี 2526 หรือ 2528 จำไม่ได้นะคะ แต่เรื่องนี้ไม่ดังเท่าไหร่ เพราะเรื่องนี้เราพิมพ์รวมเล่มเองโดยที่ไม่เคยลงในวารสารมาก่อนเลย แต่ตอนนี้พิมพ์เป็นครั้งที่ 5 แล้วนะคะ"

"หลังจากนั้นดิฉันก็เขียนเรื่อง ไฟไหนเล่าร้อนเท่าไฟนรก เป็นเรื่องสั้นขนาดยาว สิบสองตอนจบ ส่งไปที่นิตยสารกุลสตรี หลังจากส่งเรื่องสั้นขนาดยาวไปที่กุลสตรี พอลงไปได้สักตอนสองตอน จดหมายจากผู้อ่านเข้ามาเยอะมากเลยค่ะ คนชอบมาก จน บ.ก. คือ คุณยุพา งามสมจิตร มาดูตัวที่บ้านเลย แล้วบอกว่าให้พล็อตเรื่องใหม่ได้แล้ว โอ้โห ดีใจมากเลยค่ะ ก็คิดว่า เอ จะพล็อตเรื่องอะไรดี ทีนี้นึกว่าเขียนเรื่องนรกแล้ว เอาเรื่องสวรรค์บ้างก็แล้วกัน แต่ก็นึกอีกว่าเรื่องสวรรค์จะไม่ค่อยมีคนเชื่อกัน เราก็มีข้อมูลมากพอสมควร แต่ก็ยังไม่เอาดีกว่า เราอย่าเขียนอย่างนั้นเลย ก็ยังตัดสินใจไม่ได้"

"พอดีช่วงนั้นมีเหตุวิกฤติเกิดขึ้นในชีวิตด้วย คือเมื่อปี 2530 ดิฉันสอบเรียนปริญญาเอกสาขาปรัชญาได้ ที่จุฬาฯ เรียนไปหนึ่งปีก็ถูกรีไทร์ ตอนนั้นเสียใจมากนะคะ แต่มีรุ่นน้องคือ ดร. รุ่งธรรม สุจิธรรมรักษ์ มาปลอบใจว่า 'โอ๊ย ถ้าผมมีความสามารถในการเขียนอย่างพี่นะ ผมไม่เรียนหรอกปริญญาเอกน่ะ ผมจะเขียนนิยาย จะเอาดีทางนี้ไปเลย' ดิฉันก็รู้สึกได้กำลังใจ จนวันหนึ่งก็เหมือนมีเสียงในใจบอกว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ก็เลยเขียนเรื่องนี้"

"พอเขียน สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ลงในกุลสตรีไปได้สักสองสามปักษ์ ก็มีจดหมายมาเยอะมากเลยค่ะ ดิฉันก็เขียนเพลินมาก เขียนจนลืมตัวละคร ลืมจบ ลืมอะไรไปหมดเลย จนเรื่องนี้ยาวไปถึง 80 บท รวมเล่มนี่ต้องทำเป็นสองเล่มนะคะ แต่ก็ขายดีมาก ตอนนี้พิมพ์รวมเล่มอย่างเป็นทางการเป็นครั้งที่ 22 แล้วนะคะ แต่ถ้าไม่เป็นทางการก็ประมาณครั้งที่ 26 เพราะว่าบางทีมีคนมาขอพิมพ์โดยที่ทางเราไม่ได้แจ้งครั้งที่ เขาก็เอาเพลทเก่าพิมพ์ เรื่องนี้คนติดกันมากเลยค่ะ ทุกวันนี้แปลเป็นภาษาอังกฤษแล้วนะคะ"

"เรื่องนี้เขียนจากชีวประวัติและงานเผยแผ่ศาสนธรรมของ หลวงพ่อจรัญ ฐิตะธัมโม หรือปัจจุบันคือ พระเทพสิงหบุราจารย์ วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี เหตุการณ์ในเรื่องนี้ก็จะเริ่มตั้งแต่ปี 2516 ซึ่งมีเหตุการณ์ 14 ตุลา แล้วมาจบที่หลวงพ่อได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์ คอหัก เมื่อวันที่ 14 ตุลา 2521 ปรากฏคนติดมากเลย พอจบแล้วก็ต้องเขียนต่อเพราะหลายคนเข้าใจว่าหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว และคนก็ถามถึงกันมากเลยอยากจะอ่านต่อ"

"ถ้าจะอ่านต่อตามเหตุการณ์ ก็ต้องอ่านเรื่อง วัฏจักรชีวิต ซึ่งในเรื่องนี้จะเปิดเผยว่าหลวงพ่อรถคว่ำแต่ไม่ได้มรณภาพนะ แต่ว่าตอนที่เขียนจริงๆ ไม่ได้เขียนเรื่องนี้ก่อน เพราะตอนนั้นมีข่าวฮือฮาเรื่องมักกะลีผล หรือว่านารีผล เนื่องจากหลวงพ่อมีมักกะลีผลอยู่แล้วนักข่าวมาเจอ แล้วเอาไปลงหนังสือพิมพ์ ก็กลายเป็นเรื่องฮือฮามาก ทีนี้พออะไรกำลังดังเราก็เขียนเรื่องนั้นก่อน ก็เลยเขียนเรื่อง มักกะลีผล ขึ้นมา เอาประวัติของหลวงพ่อเป็นฉาก เริ่มตั้งแต่ปี 2477 หลวงพ่ออายุ 6 ขวบ จนกระทั่งถึงบวชอยู่ที่วัดพรหมบุรีแล้วกำลังจะย้ายมาอยู่ที่วัดอัมพวัน ปรากฏว่าเขียนเพลินอีกแล้ว เพราะชีวประวัติของหลวงพ่อมีเรื่องราวเยอะมาก จนยาวไป 96 ตอน จน บ.ก. ต้องบอกว่า อาจารย์ เยอะไปแล้วนะ จบได้แล้ว ก็เลยต้องจบ แต่เหตุการณ์มันยังมาต่อกับตอนต้นของสัตว์โลกฯ ไม่ได้เลยนะ เพราะเรื่องมันต้องมาต่อกันให้ได้ ปี 2516 แต่มันจบแค่ปี 2500 เท่านั้นเอง สุดท้ายก็เลยต้องเขียนต่อเรื่องเดิม แต่เปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น นารีผล ซึ่งก็จะเริ่มตั้งแต่ปี 2500 ไปจบในปี 2516 พูดถึงประวัติของหลวงพ่อตั้งแต่มาอยู่วัดอัมพวันว่าท่านสร้างอะไรบ้าง ออกธุดงค์ การพบกับหลวงพ่อในป่า การใช้กรรมที่ทำไว้สมัยเมื่อเป็นเด็ก ฯลฯ"

"แต่ทีนี้คนไปติดเรื่องสัตว์โลกฯ กันมาก แล้วก็ไม่ค่อยรู้จักสองเรื่องนี้ พอดีมี รศ.ดร.ธวัชชัย บุญโชติ อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ท่านอ่านเรื่องสัตว์โลกฯ แล้วชอบมาก ก็เที่ยวสืบหาเบอร์โทรของดิฉัน จนไปได้เบอร์จาก 13 เขาก็โทรมาคุยด้วยตั้งนานสองนาน ดิฉันบอกท่านว่าตอนนี้เขียนถึง นารีผล แล้ว ท่านก็เลยไปหามาอ่าน แล้วก็มาบอกว่า ผมอ่านแล้วนะ แล้วผมก็เอาไปให้เพื่อนที่ธรรมศาสตร์อ่านด้วย เพื่อนบอกว่าเรื่องนี้ดีกว่าสัตว์โลกฯ อีก ดิฉันก็ โอ้โห ดีกว่าเชียวหรือ แต่ทำไมเรื่องนี้ขายไม่ดีล่ะ เพิ่งพิมพ์ไปได้ครั้งเดียวเอง ท่านเลยแนะว่าให้เปลี่ยนชื่อเป็นสัตว์โลกให้หมดเลย ดิฉันก็ไปปรึกษากับทางโรงพิมพ์ ก็แก้ปัญหาเรื่องชื่อว่าเป็น ธรรมนิยายชุด สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม แล้วจะเป็นชื่ออะไรก็ใช้เขียนถัดลงไปอีก 1 บรรทัด เช่น ธรรมนิยายชุด สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม บรรทัดต่อมาก็เป็น มักกะลีผล อะไรอย่างนี้"

"พอเขียนนารีผลจบก็มาต่อเหตุการณ์กับสัตว์โลกฯ ได้ จากนั้นก็เริ่มเขียน วัฏจักรชีวิต ตอนนี้ก็เขียน มาได้ 33 ตอนแล้วนะคะ แต่ดิฉันเป็นคนที่มีปัญหาในการเขียน ดิฉันเขียนยาวมาก พิมพ์รวมเล่มออกมาเรื่องหนึ่งสองเล่ม คนอ่านก็จะเสียเงินเยอะ บ.ก. ก็แนะว่าให้เขียนทีละเล่ม เพราะที่เคยเขียนมาแต่ละเรื่องยาวมาก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม 80 บท มักกะลีผลกับนารีผล อีกเรื่องละ 96 บท ทีนี้ต่อไปวัฏจักรชีวิตจะเหลือ 48 บทก็จะจบแล้ว แล้วค่อยเปลี่ยนเรื่องใหม่ และจากนี้จะพิมพ์เป็นเล่มเดียวๆ แล้ว แต่จะใช้ชื่อเดียวกันหมดคือ ธรรมนิยายชุด สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"

"นอกจากเขียนหนังสือแล้วดิฉันยังมีงานวิชาการที่ต้องทำอีกมากมาย เป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ด้วย เป็นกรรมการทำหลักสูตร แปลหนังสือ ฯลฯ และมีงานที่ทำอยู่โดยไม่เป็นทางการอีกสองงานใหญ่ๆ งานหนึ่งคือ เป็น ที่ปรึกษาโครงการพระไตรปิฎกอักษรโรมัน แบับฉัฏฐสังคีติ ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สำหรับพระราชทานไปยังห้องสมุดของสถาบันต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ จำนวน 1000 ชุด ชุดหนึ่งมี 40 เล่ม ส่วนอีกงานคือ งานทำหนังสือของหลวงพ่อ ซึ่งเราจะนำคำสอนของท่านมาถอดเทปพิมพ์เป็นหนังสือถวายท่านทุกวันที่ 15 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันเกิดของท่าน ปีละ 1 เล่ม ทำมาตั้งแต่ปี 2530 ถึงตอนนี้ 2546 ก็เป็นเล่มที่ 17 แล้ว"

"การทำหนังสือของหลวงพ่อ ตั้งแต่เล่มแรกถึงปัจจุบัน ดิฉันจะเป็นบรรณาธิการ เมื่อก่อนงานยังไม่มากก็จะอ่านทั้งเล่ม คือนอกจากคำสอนของหลวงพ่อแล้วก็ยังมีงานเขียนของลูกศิษย์ ประสบการณ์การปฏิบัติธรรมของลูกศิษย์ ทีนี้ยิ่งทำไป เล่มก็จะอ้วนขึ้นๆ ดิฉันเริ่มจะอ่านไม่ไหว ก็จะรับผิดชอบตรวจเฉพาะส่วนของหลวงพ่อ พันเอกพิเศษทองคำ ศรีโยธิน ซึ่งเป็นประธานคณะบรรณาธิการเขียนคำนำให้"

"ทีนี้พอต่อมาเกิดมีฝรั่งมาสนใจ อยากรู้ว่าหลวงพ่อสอนอะไร ดิฉันเลยเริ่มต้นแปลหนังสือ กฎแห่งกรรม ธรรมปฏิบัติ เล่ม 1ของหลวงพ่อเป็นภาษาอังกฤษ งานนี้เป็นบรรณาธิการเองเลย ตอนนี้ก็พิมพ์เป็นครั้งที่ 5-6 แล้ว ได้รับความสนใจมากค่ะ โดยเฉพาะที่ มหาวิทยาลัย Wright's ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่นั่นติดต่อผ่านทาง รศ.ดร.พินิจ รัตนกุล ซึ่งเป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ดิฉันเป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาสมาธิในศาสนา อาจารย์พินิจก็พาศาสตราจารย์จากที่นั่นมาสัมภาษณ์หลวงพ่อ เขาก็สนใจมากเลย แล้วก็ขออนุญาตแปลงานของหลวงพ่อเป็นภาษาอังกฤษ"

"พอแปลก็เกิดปัญหา มีอุปสรรคตรงที่หาคนแปลไม่ได้ เพราะว่าคนที่จะมาแปลนี่จะต้องมีคุณสมบัติคือ หนึ่ง ต้องเคยปฏิบัติธรรมเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ สองจะต้องมีความรู้ภาษาอังกฤษ สามต้องมีความรู้ภาษาไทย แล้วก็จะต้องมีความรู้ศัพท์ทางพระพุทธศาสนาด้วย เป็นอันว่าเขาเอาไปแปลแล้วทำไม่สำเร็จ เพราะอ่านแล้วไม่เข้าใจ หลวงพ่อก็เลยยกงานตรงนี้มาให้ดิฉันแปล ตอนหลังก็มีคนอื่นๆ มาช่วยแปลด้วย ตอนนี้ที่พิมพ์เป็นเล่มแล้วก็มีเล่ม 1 เล่ม 2 เล่ม 3 เล่ม 7 ส่วนเล่ม 4 เล่ม 5 เล่ม 6 เล่ม 8 อยู่ระหว่างการตรวจ ผู้ช่วยแปลมีสามท่านคือ ดร.นราพร รังสิมันตกุล คุณปราณี รัตนวรรณ คุณอรุณี ศิริวัฒน์ ผู้ตรวจคืออาจารย์ Donald W. Sandage"

"อันที่จริงกว่าจะประสบความสำเร็จได้ ทุกอย่างใช้เวลาก่อตัว อย่างการที่ดิฉันต้องทำงานเขียนทางศาสนา ก็ทำให้ได้เรียน ได้ค้นคว้าพระไตรปิฎก ค้นคว้าอรรถกถา จนได้มาเปิดคอลัมน์ ศาลาธรรมโอสถ ที่กุลสตรี ได้ตอบปัญหาท่านผู้อ่าน ซึ่งก็เป็นปัญหาชีวิตบ้าง ปัญหาธรรมะบ้าง ก็ทำให้ได้ค้นคว้าเพิ่มเติมอยู่เสมอ ซึ่งปกติก็จะค้นคว้าอยู่แล้วตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาโท ปริญญาเอก คือหลังจากที่รีไทร์ไปแล้วตอนหลังดิฉันก็ได้ทุนจากอินเดีย ไปเรียนต่อปริญญาเอกที่ประเทศอินเดีย การไปเรียนที่นั่นทำให้พบขุมทรัพย์อันมหาศาลอย่างหาประมาณมิได้ ความรู้ทางพระพุทธศาสนาเราจะแน่น อีกอย่างคือเรื่องการปฏิบัติธรรม ดิฉันได้รู้จักหลวงพ่อเป็นครั้งแรกเมื่อไปปฏิบัติธรรม ปี 2526 ตรงนั้นเป็นจุดเริ่มในทางปฏิบัติ ทุกอย่างก็สะสม ฟักตัวมานาน การที่เป็นนักเขียนได้ก็เพราะจุดนี้"

"การทำคอลัมน์ ศาลาธรรมโอสถ เป็นงานที่ดิฉันชอบมากจริงๆ เพราะได้ใช้ความรู้ความสามารถเต็มที่ และจะได้ช่วยแก้ในการที่คนเข้าใจพระพุทธศาสนาผิดๆ เช่น การเชื่อโชคลางอะไรอย่างนี้ ดิฉันจะตอบคอลัมน์โดยยึดพระไตรปิฎกหมดเลย เพื่อให้ความรู้ที่ถูกต้องและแท้จริงกับคนอ่าน"

"ที่มาของการส่งบทความเข้าประกวดจนได้รับรางวัล คือเมื่อปีที่แล้ว ประมาณเดือนกรกฎาคม ดิฉันไปสอนที่วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดลตามปกติ ดร.พินิจ ท่านก็ให้เจ้าหน้าที่เอาโน้ตมาให้ แจ้งว่าเพื่อนที่แคนาดาส่งเมลมา บอกว่าเขามีการประกวดเขียนเกี่ยวกับสันติภาพอย่างนี้ๆ ถ้าอาจารย์สนใจก็เขียนไป ดิฉันเอามาอ่านแล้วก็เฉยๆ ไม่คิดจะเขียน เพราะเราไม่มีเวลา และมันก็คงเป็นเรื่องที่ยากมากเลย เพราะเขาตั้งรางวัลไว้ตั้งหนึ่งแสนดอลลาร์ มันก็ต้องเป็นเรื่องที่ยากมาก ดิฉันอ่านกติกาเขาให้เขียนขนาดตัวพิมพ์ 12 point ความยาวประมาณ 50-70 หน้า A4 มันก็เท่ากับหนังสือเล่มหนึ่งละ ดิฉันก็ไม่เอาเลย ไม่เขียน เพราะไม่มีเวลา เพราะไหนจะคอลัมน์ในกุลสตรี แล้วยังมีงานแปลที่ต้องทำให้กับสำนักนายก มีงานแปล มีงานเกี่ยวกับตรวจงานของกระทรวงเยอะมากเลย อ่านแล้วก็ตัดสินใจไม่ทำ 100%"

"จากวันนั้น ผ่านไปได้เดือนหนึ่ง ระหว่างที่ดิฉันปฏิบัติธรรม เดินจงกรมอยู่ ก็รู้สึกมีเสียงมาบอกที่หู อาจเป็นจิตใต้สำนึกของตัวเองบอกว่า ต้องทำนะ เพราะว่างานนี้เป็นงานสำคัญกับพระพุทธศาสนามาก ดิฉันก็เลยตอบไปในใจว่าทำก็ทำ แต่ทำแล้วต้องชนะนะ แล้วดิฉันก็นั่งสมาธิต่อ ระหว่างนั่งก็คิดว่าเราจะเขียนอย่างนี้ๆ นะ พอนั่งเสร็จก็เอากระดาษมาโน้ตไว้ว่าจะเขียนแบบนี้ๆ ทุกอย่างไหลออกมาจากความคิด เพิ่งมารู้ทีหลังนะว่าที่เราเขียนไปมันเป็นกระบวนการของอริยสัจทั้งหมด มารู้หลังจากได้รางวัลนะ "

"พอโน้ตไว้แล้ว สองอาทิตย์ผ่านไปก็ยังไม่ได้ลงมือเขียน เพราะงานเยอะมาก แล้วพอจะเขียนจริงๆ กลับหาโน้ตไม่เจอ ดิฉันก็ เอ้อ ไม่เจอก็ไม่เจอ ก็ลงมือเขียนไปเรื่อยๆ เสาร์ อาทิตย์บ้าง วันศุกร์บ้าง เขียนอยู่ประมาณเดือนหนึ่งก็เสร็จ แต่ก็ไปมีปัญหาเรื่องพิมพ์อีก เพราะคอมพิวเตอร์ติดไวรัส จนถอดใจแล้วว่าคงไม่ทันแล้ว แต่หลานก็จัดการแก้ไขให้จนเสร็จจนได้ ใช้ชื่อเรื่องว่า Creating Sustainable World Peace"

"ก่อนส่ง ดิฉันเอาต้นฉบับกับแผ่นดิสก์ ไปถวายหลวงพ่อจรัญ หลวงพ่อท่านมองดู ไม่ได้อ่าน แล้วก็บอกว่า "เขียนหลายเรื่อง" พูดเท่านี้แล้วก็ไม่ได้ว่าอะไร ดิฉันก็ส่งไป การประกวดครั้งนี้มีคนส่งงานไปทั้งหมดประมาณ 300 กว่าเรื่อง แต่ทางเวบเขาจะเลือกมาแค่ 30 เรื่อง ลงเฉพาะเนื้อหาให้อ่าน ให้คนโหวตว่าจะเชียร์เรื่องไหน มีเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับปิรามิดที่คนอ่านเชียร์มากที่สุด แต่ปรากฏว่าสุดท้ายเขาไม่ได้ตัดสินจากการโหวตหรอกนะคะ แต่มีกรรมการตัดสิน จากหลายประเทศ ทุกคนเป็น ดร. หมด มีชาวอเมริกัน 5 คน อินเดีย 1 คน บัลกาเรีย 1 คน บราซิล 1 คน ในเวบไซต์เขาบอกจะประกาศผลเดือนมกราคม ดิฉันเข้าไปดูเรื่อยๆ ก็ยังไม่เห็นสักที จนเดือนกุมภา ก็ไปเจอว่าเขาตกลงเลือกให้งานเราชนะ"

"การตัดสินตามเกณฑ์ของเขาจริงๆ คือจาก 30 เรื่อง เขาจะเลือกไว้ 3 เรื่อง ที่ดีที่สุด ให้เป็นสามสำนวน และจะให้นามคนเขียนว่าเป็น Rethinker แต่ปรากฏว่ากรรมการทั้งแปดคนลงคะแนนให้ดิฉันคนเดียวเลย เขาเลยประกาศว่าเลือกงานของดิฉัน งานเดียว ตอนนั้นดีใจมาก"

"แต่ตอนหลังมามีปัญหากันนิดหน่อยกับเรื่องการให้รางวัล ซึ่งกลายเป็นว่าดิฉันไม่ได้เงินทั้งหมดในคราวเดียวอย่างที่คิด ตอนแรกที่เกิดเรื่องขึ้น ดิฉันไม่พอใจมาก แต่มาคิดได้ภายหลังว่า งานเขียนชิ้นนี้ เราทำแล้วได้อะไร ดิฉันถือว่าดิฉันได้เผยแผ่พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทให้โดดเด่นขึ้นมาในโลก มีคนที่เขาได้อ่านแล้วเขาเขียนเมลมาหาดิฉัน บอกว่าเขาขอบคุณดิฉันมากเลยที่ทำให้เขาได้รู้จักวิถีของเถรวาท เพราะคนทั่วโลกจะรู้จักแต่นิกายมหายาน ซึ่งเน้นแต่สมาธิ ไม่ทำให้เกิดปัญญา ไม่ได้ตัดกิเลส เขาก็ขอบคุณในสิ่งที่ดิฉันทำ เพราะว่าไม่เคยมีใครเขียนหรือแปลงานแบบนี้ออกมาสู่โลกเลย พอดิฉันอ่านแล้วก็ภูมิใจมาก"

"ดิฉันก็มาทบทวนว่า อะไรคือสิ่งที่เราได้จากการทำงานนี้ คือ หนึ่ง เราได้เผยแผ่พระพุทธศาสนา สอง เรามีชื่อเสียงไปทั่วโลก แล้วที่สำคัญคือเราได้ทำให้คนเข้าใจพระพุทธศาสนาในแง่ที่พระพุทธเจ้าสอนจริงๆ ในขณะที่สิ่งที่ดิฉันเสียไปคือเวลาในการเขียน กับค่าพิมพ์สองพันบาท ดังนั้นดิฉันก็ถือว่าดิฉันได้สิ่งตอบแทนที่คุ้มค่าแล้ว"

สำหรับผู้ที่สนใจงานเขียนของ ดร. สุจิตรา อ่อนค้อม อาจารย์มีคอลัมน์ประจำและเขียนธรรมนิยายชุด สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ลงประจำอยู่ที่นิตยสารกุลสตรี และถ้าหากอยากอ่านบทความของอาจารย์ที่ได้รับรางวัลระดับโลกมาแล้ว ก็คลิกเข้าไปดูได้ที่ http://www.rethinkers.org แต่ถ้าท่านไม่ชอบอ่านจาก Monitor จะหาซื้อฉบับเต็มมาอ่านก็ย่อมได้ มีจำหน่ายที่เอเชียบุคส์ มหาจุฬาบรรณาคาร มหามกุฎราชวิทยาลัย หรือจะสั่งซื้อที่ซีเอ็ดทุกสาขาก็ได้ ส่วนภาคแปลเป็นภาษาไทย อ่านได้ในนิตยสารกุลสตรีค่ะ..

 

Writer

Sirirat Soonsakul

นักอยากเขียน ผู้รักการสะสมท้องฟ้าสีวนิลลา และใช้หมูกระทะเยียวยาจิตใจ