อ่านเถิดจะเกิดผล : ช่วงเวลาที่บ้านเมืองเกิดวิกฤต บางคนที่เลือกที่จะสะสมวิชาความรู้ แทนทรัพย์สมบัติ

อ่านเถิดจะเกิดผล

อ่านเถิดจะเกิดผล: อ่านสร้างชาติ

ช่วงเวลาที่บ้านเมืองเกิดวิกฤต หลายคนพยายามแสวงหาทรัพย์สินไว้เพื่อที่จะได้สุขสบายไม่เดือดร้อนในวันข้างหน้า แต่ก็ยังมีบางคนที่เลือกที่จะสะสมวิชาความรู้ ตำรับตำราเท่าที่พอจะหาได้เก็บไว้เป็นทุนสำหรับวันข้างหน้าอยู่เหมือนกัน

 

ช่วงปลายรัชสมัยของ จิ๋นซีฮ่องเต้ บ้านเมืองระส่ำระสายจากผลของการที่จิ๋นอ๋องไม่สนพระทัยในการบ้านการเมือง ปล่อยให้ข้าราชการทั้งน้อยใหญ่เสพสุขจากความลำบากของราษฎร ประกอบกับนโยบายการสร้างกำแพงเมือง ทำให้ต้องเกณฑ์ชาวเมืองมาใช้แรงงานเป็นหมื่นเป็นแสนคนจนเกิดความไม่พอใจไปทั่ว แม้เมื่อจิ๋นอ๋องสวรรคต บ้านเมืองก็ยิ่งตกอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย

 

ที่ตำบลซื่อสุ่ยที่แสนห่างไกล มีกำนันผู้หนึ่งที่เป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านชื่อ หลิวปัง เขาต้องโทษหนักเมื่อเกณฑ์ราษฎรไปสร้างกำแพงเมืองล่าช้า หลิวปังไตร่ตรองแล้วเห็นว่าถ้าขืนเข้าเมืองหลวงก็มีแต่จะต้องรับโทษตาย จึงคิดหนีเข้าป่าไปเสียดีกว่า ชาวบ้านหลายคนที่รักใคร่ในตัวหลิวปังจึงสมัครเข้าร่วมเป็นพรรคพวก รวมถึงเสมียนเล็กๆ คนหนึ่ง เสมียนคนนี้ต่างจากข้าราชการทั่วไปที่เมื่อว่างจากงานก็มักจะหาตำรามาอ่านศึกษาเพิ่มพูนความรู้ แทนที่จะเอาแต่เมาหัวราน้ำเหมือนคนอื่นๆ

 

หลิวปังเป็นคนมีบารมีและรักพวกพ้อง จึงมีผู้คนเข้ามาร่วมขบวนการมากขึ้นจนสามารถตั้งเป็นก๊กขึ้นมาได้ กลายเป็นหนึ่งในคณะปฏิวัติที่ขณะนั้นมีอยู่หลายก๊ก และต่างฝ่ายต่างก็หมายมั่นจะครองความเป็นใหญ่ให้ได้ ก๊กของหลิวปังมีผู้มีฝีมือมากมายและก็มีอดีตเสมียนผู้นี้ที่คอยเป็นเหมือนเสนาธิการ ทำให้หลิวปังก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับหัวแถว

 

ขณะนั้นมีเพียงหลิวปังกับ ฌ้อปาอ๋อง เท่านั้นที่มีบารมีมากพอจะครองแผ่นดิน มีการทำสัญญาต่อกันว่าใครเข้ายึดนครหลวงเสียนหยางได้ก่อนก็จะได้สิทธิ์จัดตั้งรัฐบาล หลิวปังเข้าถึงเสียนหยางได้ก่อนเพราะอดีตเสมียนคนนั้นแนะนำว่าไม่ให้รบ แต่ให้ใช้ปัญญาและการเจรจา หลิวปังจึงผ่านด่านต่างๆ มาอย่างสบายและรวดเร็ว ขณะที่ปาอ๋องเอาแต่ใช้กำลัง จึงเสียเวลานานกว่าจะมาถึงเสียนหยาง

 

ในยุคที่ใครใหญ่ก็รอด อดีตเสมียนแนะนำให้หลิวปังสละสิทธิ์ที่พึงได้ให้ปาอ๋อง เพราะยังไงก็สู้เขาไม่ได้ ให้รอเวลาที่เหมาะสมจะดีกว่า ระหว่างนั้นหลิวปังก็เที่ยวเยี่ยมเยียนซื้อใจราษฎรไว้ ส่วนนายทหารและข้าราชการหลายคนต่างก็เร่งสะสมเงินทองตุนไว้ก่อนที่ปาอ๋องจะเข้าเมือง

 

ขณะที่คนอื่นเอาแต่ตุนทรัพย์สิน เสมียนคนนี้กลับรวบรวมตำรับตำราจากวังหลวงและที่ต่างๆ ใส่หีบให้มากที่สุด จนเมื่อปาอ๋องเข้าเมืองจัดตั้งรัฐบาล และส่งให้หลิวปังไปอยู่ยังเมืองเล็กๆ ที่ห่างไกล เสมียนผู้นี้ก็ขนหนังสือมากมายตามไปด้วยและคอยเป็นที่ปรึกษาให้หลิวปัง แม้จะอพยพมาอยู่เมืองที่ห่างไกล เขาก็หมั่นศึกษาตำราที่ขนจากเมืองหลวงและค้นคว้าเพิ่มพูนปัญญารอเวลาที่จะทำการใหญ่

 

ปาอ๋องปกครองบ้านเมืองด้วยความโหดเหี้ยม เขาสั่งเผาวังหลวงรวมถึงหอพระสมุดจนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน เป็นบุญของแผ่นดินที่ตำราส่วนใหญ่ถูกขนออกมาก่อนโดยเสมียนผู้นั้น ไม่นานรัฐบาลของปาอ๋องก็ล่มสลาย หลิวปังสามารถเข้ายึดเมืองและตั้งตนเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่นนามว่า พระเจ้าฮั่นเกาจู่ และทรงแต่ตั้งในเสมียนผู้นั้นขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี คอยบริหารบ้านเมืองต่างพระเนตรพระกรรณ และวางรากฐานการปกครองจนราชวงศ์ฮั่นยืนยงยาวนานกว่าสี่ร้อยปี

 

พระเจ้าฮั่นเกาจู่ ถึงกับเคยปรารภถึงอดีตเสมียนผู้นี้ไว้ว่า

 

“การบริหารบ้านเมืองนั้น เรายังไม่อาจเทียบกับ เซียวเหอ ได้เลย”

 

seaoher

เซียวเหอ นายกรัฐมนตรีคนสนิทของพระเจ้าฮั่นเกาจู่ ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ฮั่น

 

 

สำนักพิมพ์เรนโบว์ (Rainbow) ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก
อภิชัย อารยะเจริญชัย
หน่วยบริการสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ และหน่วยจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ฯ
ห้องสมุดสตางค์ มงคลสุข คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
http://stanglibrary.wordpress.com/

Writer

Sirirat Soonsakul

นักอยากเขียน ผู้รักการสะสมท้องฟ้าสีวนิลลา และใช้หมูกระทะเยียวยาจิตใจ