ชีวิต ความคิด และผลงานของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล : นักคิด นักเขียน และนักต่อสู้เพื่อความยุติธรรมของสังคมไทย

ชีวิต ความคิด และผลงานของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล

ชีวิต ความคิด และผลงานของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล

     ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ชื่อของ “เสกสรรค์ ประเสริฐกุล” ยังคงยืนหยัดอยู่ในความทรงจำของผู้คนในฐานะนักคิด นักเขียน และนักต่อสู้เพื่อความยุติธรรมของสังคมไทย ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา เขาคือหนึ่งในบุคคลที่กล้าหาญพอจะเดินสวนทางกับกระแสอำนาจ กล้าพอที่จะตั้งคำถามกับโครงสร้างที่อยุติธรรม และลึกซึ้งพอที่จะทบทวนความหมายของชีวิตมนุษย์อย่างจริงจัง

     บทเสวนาในวันนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการพูดถึงประวัติชีวิตของใครคนหนึ่งเท่านั้น แต่คือการเดินทางผ่านเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งที่เลือกใช้ชีวิตด้วยความหมาย เสกสรรค์ ประเสริฐกุลในวัยหนุ่มเคยหยัดยืนอยู่แนวหน้าในสมรภูมิการเมือง แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป เขากลับเลือกที่จะหันมาใช้ปากกาเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลง

      เขาเขียนด้วยเลือดเนื้อของประสบการณ์ ด้วยความลึกซึ้งทางปรัชญา และด้วยหัวใจของมนุษย์ที่ไม่เคยหยุดแสวงหา เสกสรรค์ ประเสริฐกุลอาจจะไม่ได้เขียนให้โลกเปลี่ยนในทันที แต่เขาเขียนเพื่อให้เราคิด เพื่อให้เราตั้งคำถาม และเพื่อให้เรามองโลกและชีวิตด้วยสายตาที่ซื่อสัตย์กับความจริง

       การเสวนาวันนี้จึงเป็นโอกาสอันพิเศษ ที่เราจะได้ร่วมกันพิจารณาถึงเส้นทางชีวิต ความคิด และผลงานของเขา ไม่ใช่เพียงในฐานะอดีตนักเคลื่อนไหวหรือนักเขียนเท่านั้น แต่ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่ยังคงแสวงหา “ความเป็นมนุษย์” อย่างไม่หยุดยั้ง

     

       คุณอาทร เตชะธาดา กรรมการที่ปรึกษา สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น ให้เกียรติเป็นผู้ดำเนินรายการ :

        ขอขอบคุณทุกท่านนะครับที่สละเวลามาล้อมวงคุย ในฐานะที่ผมเป็นผู้ดำเนินรายการเสวนา ผมต้องขอขอบคุณทุก ๆ ท่านอีกครั้งที่สละเวลามารวมพูดคุยกันในครั้งนี้ และก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณ ดร.ถนอมวงศ์ ล้ำยอดมรรคผล เป็นพิเศษด้วย ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้เราได้ ห้องเสวนาริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้ลานโพธิ์ซึ่งเป็นลานประวัติศาสตร์ อาจารย์ถนอมวงศ์เคยปรารภว่าเราควรจัดงานให้อาจารย์เสกสรรค์ปีละครั้ง เมื่อผมเสนอแนวคิดนี้ไป ทุกคนก็พร้อมตอบรับคำเชิญโดยไม่ลังเล ด้วยพลังแห่งความรักและศรัทธาที่ทุกคนมีต่ออาจารย์เสกสรรค์ งานนี้จึงจัดขึ้นเพราะมีเสียงเรียกร้องให้จัดงานรำลึกถึงอาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

          ก่อนอื่นผมขออนุญาตให้ ศ. ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ถึงแม้ท่านจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ท่านก็จะเป็นผู้แนะนำอาจารย์เสกสรรค์ได้ดีกว่าผมเป็นแน่ ผมขออนุญาตเปิดคลิปวีดิโอเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ในความคิดของ ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ เป็นปาฐกถาพิเศษ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ครั้งที่ 16

 

ศ. ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ – อดีตอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์:

      ตอนเรียนหนังสือ แม้พี่เสกจะอยู่คณะรัฐศาสตร์เหมือนกัน แต่จำไม่ได้เลยว่าเคยเจอกันในห้องเรียนสักครั้งหรือไม่ กระทั่งวันหนึ่ง ตอนที่ผมทำรายงานเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ผมได้อ่านหนังสือที่พี่เสกเขียนตอนยังเป็นนักศึกษา ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็น สงครามอินโดจีน แล้วก็ต้องบอกว่าเป็นหนึ่งในหนังสือที่ดีที่สุดเท่าที่เคยอ่านมา ทั้งในแง่การค้นคว้าและภาษาที่ใช้

      ตอนนั้นผมยังมีความเชื่อว่า ถ้าแนวคิดดี ความคิดชัด จะเขียนอย่างไรก็ได้ แต่พอได้อ่านงานของพี่เสก ความคิดนั้นต้องเปลี่ยนไป เพราะงานเขียนของพี่เสกแสดงให้เห็นเลยว่า ภาษาก็มีพลัง และรูปแบบก็สำคัญไม่แพ้เนื้อหา

      พี่เสกเคยวิจารณ์หนังสือที่ผมเขียนด้วยซ้ำว่ามันยังไม่ดีพอ ซึ่งผมก็รับฟังและพยายามเรียนรู้จากคำวิจารณ์นั้น ผมอ่านงานพี่เสกแล้วเห็นว่า “งานเขียนที่ดี” มีบทบาทมากในโลกของวิชาการ และวิธีที่พี่เสกเขียน...มันไม่ใช่แค่งานวิชาการ แต่มันคือศิลปะ พี่เสกคือศิลปินในโลกของนักวิชาการจริง ๆ

      เทอมที่ผมสอนวิชาทฤษฎีการเมือง ก็ใช้งานของพี่เสกเป็นตัวอย่าง เพราะนี่คืองานของนักทฤษฎีการเมืองไทยที่เขียนได้อย่างมีชีวิต และหนึ่งในงานที่ผมชอบมากคือเรื่อง “พัฒนาการของรัฐกับสังคม” เพราะมองลึกไปในจุดที่คนทั่วไปไม่ค่อยมองเห็น อย่างช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 คนส่วนใหญ่สนใจการปฏิรูประบบราชการปี 2435 – 2436 แต่งานของพี่เสกกลับชี้ให้เห็นเรื่อง “การออกโฉนดที่ดิน” นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้สิ่งหนึ่งซึ่งเคยมีความหมายบางอย่าง กลายเป็นสินค้า เป็นทรัพย์สิน ถือครอง แลกเปลี่ยนได้

       พี่เสกเป็นนักวิชาการที่ “แคร์” สังคมไทย ทุกครั้งที่เขียนหรือพูด พี่เสกไม่ได้เขียนเพียงเพื่อวิเคราะห์ แต่เพื่อจะบอกให้เราเห็นว่า “สังคมไทยดีกว่านี้ได้” งานของพี่เสกจึงเป็นทั้งกระจกสะท้อนและแสงไฟนำทาง

       และอีกสิ่งที่เป็นพี่เสกอย่างแท้จริง คือ ความรักในเสรีภาพ บางชิ้นงานของพี่เสกพยายามจะอธิบายว่า การเป็นมนุษย์นั้น เสรีภาพมีความหมายอย่างไร และถ้าเสรีภาพคือแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับรัฐควรเป็นแบบไหน คำตอบของพี่เสกก็คือ—รัฐที่ดีคือรัฐที่ไม่ต้องเข้ามาควบคุมเรามากจนเกินไป คือ Less Government รัฐที่ให้พื้นที่แก่เสรีภาพของแต่ละชีวิต แต่ในขณะเดียวกัน พี่เสกก็ไม่ปฏิเสธว่ารัฐยังจำเป็นอยู่ ซึ่งเราจะเห็นมุมนี้ชัดในปาฐกถาช่วงหลัง ๆ

      เมื่อเราเอาความคิดเหล่านี้ไปวางทาบกับเส้นทางชีวิตของคนคนหนึ่ง—ที่เคยเดินเท้าออกจากเมือง เข้าป่าจับปืนสู้กับรัฐ—เราจะเห็นเลยว่า ทุกคำ ทุกแนวทางที่พี่เสกเสนอ ไม่ได้มาจากแค่การวิเคราะห์เชิงนโยบาย แต่มาจากชีวิตจริง ชีวิตที่เห็นราคาของทุกการเลือก

       เพราะคนที่เคยเดินเข้าไปในป่า แล้วรอดกลับออกมา...ย่อมไม่เหมือนเดิม

       ผมอ่านงานพี่เสก แล้วจะพบรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สะท้อนชีวิตในป่า เช่น ลูกเกิดในป่า แผลที่โดนต้นไม้ข่วน เหล่านี้อาจดูเล็กน้อย แต่ในความเป็นจริง มีคนตาย มีคนบาดเจ็บ มีความสูญเสียมากมายเบื้องหลังการต่อสู้ และนั่นคือราคาที่ต้องจ่าย

       เพราะฉะนั้น เวลามีใครสักคนเสนอทิศทางการเมือง เสนอให้ทำสิ่งโน้นสิ่งนี้ แม้จะดูดีงามแค่ไหน ถ้าเขาไม่ได้ตระหนักถึง “ราคามนุษย์” ที่ต้องจ่าย ผมคิดว่านั่นคือ ปัญหา

       แต่งานของพี่เสก...ไม่เคยลืมราคานั้นเลย

 

 

คุณอาทร เตชะธาดา :

ผมรู้สึกว่า ศ.ดร. ชัยวัฒน์ แนะนำพี่เสกได้ดีพอสมควร ต่อจากนี้ผมขอเริ่มการเสวนา โดยเริ่มจาก ผศ. ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ผู้อำนวยการศูนย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักวิชาการด้านนิติศาสตร์

ผศ. ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล - อาจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชนและผู้อำนวยการศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,อดีตรองอธิการบดีฝ่ายความยั่งยืนและบริหารศูนย์รังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์:

       นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ผมได้รับเชิญให้มาพูดถึงชีวิตและผลงานของอาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล เพราะชื่อของอาจารย์เสกอยู่ในความทรงจำของนักกิจกรรมและนักศึกษามานาน ตั้งแต่ผมยังเป็นนิสิตใหม่รหัส 2529 ซึ่งก็ผ่านมา 10 ปีหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 16 และ 6 ตุลาฯ 19 ตอนนั้นเรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่แค่หน้าหนังสือประวัติศาสตร์ แต่ยังปรากฏอยู่ในภาพถ่าย วิดีโอ และเรื่องเล่าจากรุ่นพี่หลายคน บางคนเพิ่งกลับจากป่าในปี 2523 เราได้สัมผัสกับอุดมการณ์และความคิดของผู้ที่เคยต่อสู้เพื่อมวลชนโดยตรง

       ผมเองในเวลานั้นก็เกิดคำถามในใจว่า—“ทำไมต้องเข้าป่า” “14 ตุลาฯเกิดขึ้นได้อย่างไร” และ “6 ตุลาฯถึงจุดที่ต้องเข้าป่าและกลับออกมาได้อย่างไร” ซึ่ง ณ เวลานั้น กระแสความคิดแบบฝ่ายซ้ายยังมีอยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาจารย์เสกในเวลานั้น จึงเปรียบเสมือน "วีรบุรุษ" สำหรับพวกเรานักกิจกรรม ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของท่าน โดยเฉพาะหากคุณเป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์ ก็ย่อมต้องรู้จักชื่อ "เสกสรรค์ ประเสริฐกุล" ควบคู่กับ "ธีรยุทธ บุญมี"

      ผมเองมีความรู้สึกร่วมบางอย่างกับอาจารย์เสกสรรค์ จึงเข้าใจงานเขียนของท่านในระดับที่ลึกซึ้ง เราทั้งคู่ต่างเป็น "คนลุ่มน้ำ" — ท่านมาจากป่าชายเลนแห่งมหาวิทยาลัยชีวิต ส่วนผมเป็นคนแม่น้ำ บางปะกงเหมือนกัน นอกจากนี้ เรายังมีเส้นทางนักวิชาการเหมือนกัน และที่สำคัญ เราต่างก็มีประสบการณ์การเรียกร้องประชาธิปไตย แม้ว่าเหตุการณ์พฤษภาฯ 35 จะเป็นอีกยุคหนึ่ง แต่สำหรับผม มันคือจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้หลักการประชาธิปไตยที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ 2475 ได้กลับมาตั้งหลักอีกครั้ง

      ประชาธิปไตยที่ผมและอาจารย์เสกสรรค์พูดถึง ไม่ได้หมายถึงแค่การเลือกตั้ง แต่รวมถึงพื้นที่แห่งเสรีภาพ การแสวงหาความเสมอภาค และการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง พฤษภาฯ 35 คือการต่อต้านความพยายามของอำนาจรัฐที่จะฉุดเรากลับไปก่อน 14 ตุลาฯ อีกครั้ง

     เมื่อพูดถึงงานเขียนของอาจารย์เสกสรรค์ แน่นอนว่า “มหาวิทยาลัยชีวิต” และ “เดินป่าเสาะหาชีวิต” คือสองเล่มที่ต้องอ่าน งานของท่านมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งเรื่องสั้น เรื่องเล่า และบันทึกชีวิตจริง ซึ่งหากเราย้อนอ่านตามลำดับเวลา จะเห็นพัฒนาการของความคิดอย่างชัดเจน

      ในฐานะนักวิชาการ ผมมองว่าอาจารย์เสกสรรค์มีบทบาทหลัก 3 ประการ

      หนึ่ง—ในฐานะนักเขียน ซึ่งได้รับการยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์

      สอง—ในฐานะนักวิชาการ ผลงานเชิงวิชาการที่สำคัญ เช่น “การเมืองภาคประชาชนในระบอบประชาธิปไตย” รวมถึงบทความ บทปาฐกถาต่าง ๆ ที่สะท้อนความคิดอย่างลึกซึ้ง

      และสาม—ในฐานะนักต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมและนักปฏิวัติ ผู้ยืนหยัดในหลักประชาธิปไตยอย่างไม่สั่นคลอน

      ถ้าใครเป็นนักอ่านตัวจริง จะเห็นได้ว่าท่วงทำนองและระดับเสียงในงานเขียนของอาจารย์เปลี่ยนไปตามช่วงชีวิต “มหาวิทยาลัยชีวิต” เป็นภาพสะท้อนช่วงเริ่มต้นของชีวิตในป่าชายเลน เรื่องราวของ "ลูกน้ำเค็ม" ผู้แบกความฝันและอุดมคติมาเต็มสองบ่า

       ช่วงต่อมาที่น่าสนใจมาก คือเรื่องราวทางธรรมะ โดยเฉพาะเรื่อง "คำขอของหลวงตา" และแม้สุดท้ายจะเลือกไม่ครองผ้าเหลือง แต่กลับเข้าถึงธรรมะภายในอย่างลึกซึ่ง โดยขอหลวงตาว่า "ผมยังอยากเอาดีทางธรรม แต่ไม่ต้องบวชได้ไหมครับ"

       งานอีกชุดที่น่าพูดถึงคือ “ทาง หรือ ซ้ายผ่านศึก” ซึ่งอาจารย์เขียนคำอุทิศให้ “สหายทุกคนที่สาบสูญไปในความพลิกผันของประวัติศาสตร์” เป็นงานที่สะท้อนบทเรียนหลังยุคปฏิวัติ เล่าถึงกลุ่มเพื่อนเดือนตุลาในวันที่หันหน้าเข้าหากันด้วยความเห็นต่าง บางคนเคยเป็นสหายร่วมรบในป่า แต่กลับมาขัดแย้งกันหลังจากนั้น มันสะท้อนคำถามใหญ่ในใจอาจารย์เสกว่า—ถ้าเป้าหมายคือสิ่งดี แต่ใช้วิธีแบบเผด็จการ มันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้อย่างไร

      อาจารย์เสกยืนยันเสมอว่า ไม่ว่าอุดมการณ์จะดีแค่ไหน แต่ถ้าใช้วิธีการแบบเผด็จการ มันย่อมไม่ยั่งยืน ประสบการณ์ในป่าคือบทเรียนสำคัญ ที่สุดแล้วอาจารย์เสกเลือกประชาธิปไตย ไม่ใช่แบบของนักการเมือง แต่เป็นประชาธิปไตยภาคประชาชน ประชาธิปไตยที่ทุกคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

      นั่นคือความเชื่อมั่นที่อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ฝากไว้ในทุกถ้อยคำ ทุกบรรทัด และทุกบทความของท่าน

 

 

คุณสุนี ไชยรส - คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ชุดที่ 1) และอาจารย์ประจำวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต :

      ตอนที่ดิฉันรู้จักอาจารย์เสกสรรค์ ดิฉันยังใช้ชื่อว่า นิภาพรรณ หรือชื่อเล่นว่า "ปุ๊" ชื่อ “สุนี” มาทีหลัง ตอนนั้นยังเป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์ และมีโอกาสไปอยู่บ้านแสงจันทร์กับอาจารย์เสกก่อนเกิดเหตุการณ์ 14

      ตุลาฯ ช่วงเวลานั้น เป็นช่วงที่นักศึกษาเริ่มรวมตัวกันตามกลุ่มอิสระต่าง ๆ สภาหน้าโดมก็กำลังคึกคัก แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นขบวนการใหญ่ บ้านแสงจันทร์จึงกลายเป็นศูนย์รวมของกลุ่มกิจกรรมขนาดย่อมที่ค่อย ๆ เติบโต พี่เสกในตอนนั้นถือเป็นผู้นำคนหนึ่งในกลุ่ม เริ่มเขียนและแปลหนังสือเพื่อเป็นทุนสนับสนุนการเคลื่อนไหว พวกเราขายหนังสือ หาเงินกันเอง ทำกันเองทุกขั้นตอน

      การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว 14 ตุลาฯไม่ใช่เหตุบังเอิญ มันเป็นผลสะสมจากกระบวนการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง พอมีการจับกุม พวกเราตัดสินใจปิดประตูธรรมศาสตร์ ซึ่งในเวลานั้นถือเป็นการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ที่สำคัญมาก

      พี่เสกเองก็มีบทบาทสำคัญทั้งในฐานะนักเขียน นักพูด และนักปฏิบัติ ท่านขึ้นปราศรัย ตั้งโต๊ะพูดกับนักศึกษาที่สภาหน้าโดม คนฟังอาจยังไม่เยอะในตอนแรก แต่เมื่อเราตัดสินใจปิดการสอบ ความเคลื่อนไหวก็เริ่มขยายตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ

      หลัง 14 ตุลาฯ ขบวนการนักศึกษาก็มีแนวทางที่แตกต่างกันออกไป พี่เสกและพวกเราอีกจำนวนหนึ่งเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ควรจำกัดอยู่แค่ในมหาวิทยาลัย จึงจัดตั้ง สหพันธ์นักศึกษาเสรี เพื่อผลักดันการเคลื่อนไหวสู่ภาคประชาชน เช่น การก่อตั้งคณะกรรมการชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย และสนับสนุนการเคลื่อนไหวในพื้นที่ต่างจังหวัด

      ต่อจากนั้นก็เกิด ศูนย์ประสานงานกรรมกรแห่งชาติ ซึ่งเป็นอีกบทบาทสำคัญที่พี่เสกมีส่วนร่วม พี่เสกเป็นเลขาธิการ ขณะที่คุณเทิดภูมิ ใจดี เป็นประธาน และคุณประสิทธิ์ ไชยโย ซึ่งเป็นกรรมกรจริง ๆ ก็ร่วมเคลื่อนไหวด้วย เราส่งอาสาสมัครเข้าไปทำงานตามโรงงาน ช่วยประสานกับขบวนกรรมกร ซึ่งทั้งหมดนี้กลายเป็นการขับเคลื่อนแบบ “สามประสาน” คือ นักศึกษา กรรมกร และชาวนา

      อย่างที่เราทราบกัน ขบวนการฝ่ายซ้ายในเวลานั้นเริ่มถูกโจมตีอย่างรุนแรง มีการวางระเบิด จับกุม พี่เสกจึงตัดสินใจเข้าป่าก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ไม่นานนัก พวกเราบางคน ดิฉันเอง ก็เข้าไปเช่นกัน แม้จะอยู่กันคนละเขต พี่เสกอยู่ในป่าประมาณห้าปี และออกมาก่อน

      แม้ในภายหลัง พี่เสกจะมีข้อวิพากษ์วิจารณ์พรรคคอมมิวนิสต์อย่างตรงไปตรงมา ทั้งในบทความ หนังสือ หรือสารคดี แต่ท่านก็ยังยืนยันว่า การจับอาวุธขึ้นสู้ในนามของพรรคคอมมิวนิสต์เป็นปรากฏการณ์ที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญในสังคมไทย แม้จะ “แพ้” ในทางการเมือง แต่ก็กระตุ้นให้เกิดแรงผลักดันขนาดใหญ่

      ความพิเศษของพี่เสกคือ การกล้าคิดนอกกรอบและวิเคราะห์สังคมด้วยความคิดอิสระ ไม่ใช่แค่เดินตามแนวทางของพรรคหรือใคร พี่เสกไม่เคยละทิ้งอุดมการณ์ในการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม ไม่ว่าในยุคนั้นหรือเวลาต่อมา

      แม้ในช่วงหลังจะหันมาทำงานเขียนเชิงวิเคราะห์มากขึ้น ท่านก็ยังยืนยันจุดยืนที่ว่า “ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้งหรือรัฐธรรมนูญ” แต่มันคือการต่อสู้เพื่อพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง พี่เสกยังคงวิเคราะห์สถานการณ์ 14 ตุลาฯและผลพวงของมันไว้อย่างลึกซึ้งในหลายบทความ และในฐานะกรรมการของมูลนิธิ 14 ตุลาฯ พี่เสกก็เคยเป็นองค์ปาฐกสำคัญอยู่หลายครั้ง

       ในสายตาของดิฉัน พี่เสกคือผู้นำที่ยืนหยัดต่อสู้ เคียงบ่าเคียงไหล่กับขบวนการประชาชนมาโดยตลอด ไม่ว่าจะอยู่แนวหน้า หรือถอยกลับมาวิเคราะห์ ท่านก็ไม่เคยละทิ้งอุดมการณ์ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้พี่เสกสรรค์ ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนมาจนถึงทุกวันนี้

 

 

อาจารย์จรูญพร ปรปักษ์ประลัย - นักเขียนและนักวิจารณ์วรรณกรรมอิสระ :

      เมื่อพูดถึงเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ผมถือว่าผมเป็นคนร่วมสมัย เพราะเรียนที่ธรรมศาสตร์ รุ่นปี 2531 ตอนนั้นคณะวารสารศาสตร์ของเราทำละครเวทีเรื่อง "ดอกไม้สำหรับมิสซิส แฮร์ริส" ซึ่งถือว่าเป็นงานที่ร่วมสมัยมาก ๆ กับบรรยากาศทางการเมืองในช่วงนั้น

      ผมยังจำได้ดีว่าอาจารย์เสกเคยมานั่งเขียนโปสเตอร์ละครให้คณะเรา อยู่ที่หน้าตึกคณะเลย ถ้าใครเคยอ่านหนังสือของอาจารย์ จะรู้ว่าแกเล่าเรื่องนี้ไว้ด้วย ถ้าผมจำไม่ผิด น่าจะอยู่ในเรื่อง "เพลงเอกภพ" ตัวละครหลักเป็นหญิงชรา อาจารย์เสกเป็นคนไปเขียนโปสเตอร์เอง ผมเคยแซวพี่เสกไปว่า "พี่เขียนหนังสือดีกว่าเขียนรูปนะ" แกก็แอบโกรธ ๆ ผมนิดหน่อย แต่ผมก็เป็นคนแบบนั้นแหละครับ ชอบแหย่ผู้ใหญ่

      ผมเห็นบทบาทของอาจารย์เสกมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว และชื่นชมอยู่เงียบ ๆ ผมเริ่มตื่นตัวทางการเมืองในช่วงปีแรกที่เข้าเรียน

      สำหรับผม เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ไม่ได้เป็นแค่นักสู้ทางการเมืองเท่านั้น แต่เป็นนักเขียน นักคิดคนหนึ่ง และบทบาทนั้นอาจจะเกิดก่อนการเป็นนักสู้ด้วยซ้ำ

      ก่อนหน้านั้น พี่เสกก็มี “บ้านแสงจันทร์” อยู่แล้ว เป็นที่รวมตัวของน้อง ๆ รุ่นหลัง บ้านนั้นเป็นจุดศูนย์รวมของความคิด เป็นที่ที่รุ่นน้องทั้งหลายให้ความเคารพศรัทธาในตัวพี่เสก ไม่ใช่เพราะพี่เสกเป็นรุ่นพี่ แต่ยังมีผลงาน มีความเป็นผู้นำทางความคิดอยู่ในตัว

      ลองนึกภาพตอนนั้น นักศึกษาอายุประมาณ 18–19 ปี ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ระดับชาติแบบ 14 ตุลาฯ มันน่ากลัวมาก ไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดอย่างไร แล้วอยู่ ๆ มีรุ่นพี่ก้าวขึ้นไปยืนอยู่ข้างหน้า พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ มีความรู้ มีประสบการณ์ ใครจะไม่เดินตาม

       ผมพูดเล่น ๆ ว่าความอาวุโสของพี่เสกอาจเป็นคุณสมบัติสำคัญที่เป็นผู้นำขึ้นเวทีได้ แต่ในความเป็นจริงพี่เสกมีทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิอยู่แล้ว ดูได้จากงานเขียนของพี่เสกก็ปรากฏให้เห็นความคิดที่ลุ่มลึก

       ผมจำได้ดีว่า ตอนปี 2535 ที่ผมเห็นพี่เสกเขียนโปสเตอร์ให้ละครของคณะเรา มันเหมือนจุดเปลี่ยนสำคัญบางอย่าง ถึงแม้ท้ายที่สุดพี่เสกจะเข้าร่วมการเคลื่อนไหวในเหตุการณ์พฤษภาฯ แต่ในตอนแรกนั้น ผมเชื่อว่าพี่เสกไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะรู้อยู่แล้วว่ามันจะนำไปสู่ความรุนแรง — จากประสบการณ์ที่เห็นมาแล้วทั้ง 14 ตุลาฯและ 6 ตุลาฯ

       สิ่งที่น่าสนใจคือ ถ้าใครได้อ่านงานเขียนของอาจารย์เสกสรรค์ จะเหมือนรู้จักพี่เสกทั้งชีวิต พี่เสกเล่าทุกอย่าง พ่อเป็นใคร แม่เป็นใคร ชื่อเล่นคือ “เปรียว” หลวงตาที่เลี้ยงดูมา เล่าเรื่องเมีย เรื่องลูก เราจะรู้ความเป็นไปของชีวิตทั้งหมด

       ซึ่งคือเรื่องเล่าของมนุษย์คนหนึ่ง ที่ผ่านอะไรมามากมาย จนกลายเป็นเสกสรรค์ ประเสริฐกุลในวันนี้

 

 

อ.ดร.ถนอมวงศ์ ล้ำยอดมรรคผล - อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,อดีตนายกสมาคมนักแปลและล่ามแห่งประเทศไทย,อดีตนายกสมาคมการอ่านแห่งประเทศไทย:

     ช่วงนั้นตัวดิฉันเองเรียนจบแล้ว ทำงานแล้ว แต่ยังไม่ได้เป็นอาจารย์ประจำเต็มตัว สมัยเป็นนักศึกษานั้น ดิฉันอ่านหนังสือเยอะมาก อ่านหมดทั้งซ้ายทั้งขวา อะไรที่ว่าเป็น “หนังสือต้องห้าม” ในหอสมุดธรรมศาสตร์ ก็พยายามหาอ่าน วิทยุก็ฟัง โทรทัศน์ก็ดู จะว่าเป็นซ้ายก็ไม่ซ้ายเสียทีเดียว

     พอเกิดเหตุการณ์ขึ้น หนังสือต้องห้ามของดิฉันก็ปลอดภัย เพราะเอาไปซ่อนไว้ในห้องหนังสือของคณะ ถ้าอยู่ที่บ้านก็คงไม่รอด

     ตอนที่มาสิงอยู่ใต้ลานโพธิ์กับคนอื่น ๆ ก็อยู่แบบจริงจัง ฟังปราศรัยตั้งแต่เช้ายันบ่ายไม่ได้ลุกไปไหน ไม่ได้เข้าห้องน้ำ ไม่ได้กินข้าว น้ำที่พกมาก็หมด แต่ก็ยังอยู่ตรงนั้น เห็นเหตุการณ์รอบตัวมาตลอด บางช่วงก็ฟังปราศรัยรู้เรื่อง บางช่วงก็ไม่ค่อยได้ยิน

     พอตกเย็นจึงตัดสินใจกลับบ้านไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วตั้งใจจะออกมาใหม่ แม่ก็ถามว่าจะไปไหน เพราะท่านก็ติดตามสถานการณ์ตลอด ตอนที่มีม็อบ แม่ก็ขึ้นเวทีกับเขาเหมือนกัน แต่กับลูก ท่านบอกให้อย่าออกจากบ้าน แน่นอนว่าลูกก็ยังออกอยู่ จนวันหนึ่งแม่ยื่นคำขาดว่า “ถ้าออกไปอีก ก็ขาดกัน” ดิฉันเลยต้องหยุด ไม่ได้ออกไปอีก แต่ก็ยังฟังวิทยุตลอด

    พอมาคิดย้อนไป ก็รู้สึกว่าถ้ายังฝืนตามต่อไปเรื่อย ๆ หนึ่งคือตาย สองคือไม่รู้อนาคต แต่เอาเข้าจริงมันก็ผ่านมาแล้ว และเรายังมีชีวิตอยู่

     สำหรับงานของเสกสรรค์ ดิฉันติดตามมาโดยตลอด โดยเฉพาะในฐานะนักเขียนและนักใช้ภาษา เสกสรรค์มีเลือดของความเป็นนักสู้ เป็นนักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ในยุคโน้น ความเข้มข้นมันแรงกว่ายุคนี้มาก จะหานิสิตนักศึกษาที่เป็นผู้นำประชาธิปไตยแบบนั้น แทบจะไม่มีแล้วในเวลานี้

    สิ่งที่จะหลงเหลืออยู่ต่อไป เมื่อพวกเราตายจากกันไป ก็คืองานเขียนของเสกสรรค์ ที่มีความงามในแง่ภาษา และมีความลุ่มลึกให้ชนรุ่นหลังได้หยิบคิดได้มากมาย มีถ้อยคำที่กลั่นออกมาอย่างลึกซึ้ง มีวรรคทองที่กลับมาอ่านอีกกี่ครั้งก็ยัง “ใช่” อยู่เสมอ

     หนังสือของเสกสรรค์จะตกเป็นประวัติศาสตร์ และจะเป็นพยานว่า มีคนคนหนึ่ง ที่ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับการคิด การเขียน และการต่อสู้ เพื่อสังคมที่ดีงาม

 

 

รศ.ดร.บุณยเสนอ ตรีวิเศษ – อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ และอดีตนายกสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย:

     ผมเริ่มมาชอบงานของอาจารย์เสกสรรค์ตอนเรียนปริญญาเอก สิ่งที่ฝังอยู่ในใจตั้งแต่นั้นคือคำถามที่ว่า "ทำไมงานของอาจารย์เสกสรรค์ถึงมีพลังขนาดนี้" มันกระแทกใจอย่างรุนแรง สะเทือนบางสิ่งในชีวิตผมอย่างลึกซึ้ง

     สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้คือ อาจารย์เสกสรรค์มีชุดคำที่เขาใช้เน้นย้ำอยู่เสมอ เป็นการตอกย้ำทางความคิด พัฒนาขึ้นในแต่ละช่วงชีวิต ผมพยายามรวบรวมและประมวลความคิดเหล่านั้น จนพบว่าหากใครอ่านงานของอาจารย์เสกสรรค์อย่างจริงจัง ก็จะรู้จักท่านอย่างลึกซึ้ง เพราะท่านเล่าชีวิตของตัวเอง

     ผมแบ่งช่วงชีวิตของอาจารย์เสกสรรค์ออกเป็น 3 ช่วง ดังนี้:

ช่วงที่ 1: พ.ศ. 2516 – 2524 ยุคแห่งการแสวงหาความหมายของชีวิต

     นี่คือช่วงที่อาจารย์เสกสรรค์เป็นปัญญาชนหนุ่ม ได้รับอิทธิพลจากอุดมการณ์สังคมนิยม ขณะเดียวกัน สังคมไทยก็อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน มีการต่อต้านรัฐบาลทหาร ต่อต้านระบบอาวุโสและโครงสร้างอำนาจที่กดขี่งานเขียนในช่วงนี้เต็มไปด้วยถ้อยคำอย่าง “กดขี่”, “ขูดรีด”, “กรรมาชน”, “ปลดแอก”, “การต่อสู้ทางชนชั้น” ฯลฯ ปรากฏในหนังสือหลายเล่ม เช่น คอร์รัปชั่นในประเทศไทย, สงครามอินโดจีน, มนุษยธรรมกับการต่อสู้ทางชนชั้น และอีกมากมาย วาทกรรมเด่นที่พบเสมอในงานของท่านคือเรื่อง “ความจน”, “เสรีภาพ”, “วีรบุรุษ” และ “คุณธรรม” โดยเฉพาะภาพของวีรบุรุษในแบบของอาจารย์เสก เป็นนักเลงโบราณที่กล้าสู้ ซื่อสัตย์ เสียสละ เป็นลูกผู้ชายเต็มตัว งานที่ผมประทับใจมากคือเรื่องสั้น คนกับเสือ ซึ่งพูดถึง “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” ได้อย่างทรงพลัง และยังเป็นคำที่ถูกพูดถึงซ้ำแล้วซ้ำอีกในงานเขียนของอาจารย์เสกหลายชิ้น

ช่วงที่ 2: พ.ศ. 2525 – 2543 ยุคแห่งการพ่ายแพ้และเรียนรู้

     ช่วงนี้ อาจารย์เสกสรรค์อยู่ในวัย 33–51 ปี สังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ มีปัญหาทางสังคมมากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงผลักดันให้เกิดการเรียกร้องประชาธิปไตย งานเขียนช่วงนี้ยังคงพูดถึงการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ แต่เริ่มสะท้อน “ความพ่ายแพ้” มากขึ้น วรรณกรรมธรรมชาติมักพาเราออกทะเล—พูดถึงทะเลในฐานะ “วิหารศักดิ์สิทธิ์” ซึ่งอาจารย์เปรียบเทียบว่าเป็นที่รวมของความจริงและความลี้ลับ เป็นที่ที่มนุษย์ไม่อาจเข้าใจได้หมด วาทกรรมในยุคนี้พูดถึงทุนนิยม โลกาภิวัตน์ ความเป็นชาติ ความเป็นไทย โดยอาจารย์เสกตั้งคำถามต่อแนวคิดกระแสหลัก เช่น การเขียนว่า “ความระยำประจำชาติ” ซึ่งสะท้อนการวิพากษ์วัฒนธรรมไทยในแบบที่ไม่เคยมีใครกล้าพูดมาก่อน

ช่วงที่ 3: พ.ศ. 2544 – ปัจจุบัน ยุคแห่งการแสวงหาจิตวิญญาณ

      จุดเปลี่ยนสำคัญของยุคนี้คืองาน วิหารที่ว่างเปล่า แต่เรื่องที่ผมประทับใจมากที่สุดคือ เศษศพของดวงดาว ถึงขั้นนำไปแต่งเป็นบทกวีเลยทีเดียว เรื่องนี้เล่าถึงการกำเนิดของมนุษย์ จากโลกที่เกิดขึ้นเมื่อ 4,600 ล้านปีที่แล้ว ก่อนที่จะมีสิ่งมีชีวิต เกิดจากปัจจัยทางธรรมชาติอย่างอุกกาบาตและธาตุสำคัญทั้งหลาย จากนั้นจึงค่อย ๆ พัฒนาเป็นสิ่งมีชีวิต จนกลายเป็นมนุษย์ในท้ายที่สุด

     ภาษาของอาจารย์เสกสรรค์ ในยุคแรก คำของอาจารย์เสกสะท้อน “ความเจ็บปวดที่กดทับ” เช่น “กดข่ม”, “เจ็บ”, “ชิน”, “เฉยชา”, “ซึมเศร้า”, “เหงา”, “ขับต้อน”, “เครียดขึง”, “กรีดเฉือน”, “อ่อนยวบ” ซึ่งเป็นคำที่ตอกย้ำความพ่ายแพ้ของมนุษย์ ในยุคที่สอง อาจารย์ประดิษฐ์คำที่ทรงพลังทางความหมาย เช่น “นครโสเภณี”, “เหยื่อศีลธรรม”, “ชีวิตโดยบังเอิญ”, “กรงขังคืออิสรภาพ”, “เศษศพของดวงดาว” คำเหล่านี้ไม่ใช่แค่คำใหม่ แต่เป็นบรรยากาศทางอารมณ์และความคิดที่เราหาไม่ได้จากที่อื่น บางครั้ง ผมอ่านบทความของอาจารย์จบหนึ่งบท ต้องนั่งนิ่ง ๆ คิดตามอีกพักใหญ่ เป็นพลังที่อัดแน่นอยู่ในตัวอักษรจริง ๆ

    งานในช่วงหลัง อย่าง วิหารที่ว่างเปล่า, วันที่ถอดหมวก, หรือ วันที่หัวใจกลับบ้าน สะท้อนว่า อาจารย์เสกไม่ได้ต้องการเพียง "ความสะใจ" ในถ้อยคำ แต่เสนอ “ความคิด” ที่ลุ่มลึกยิ่งขึ้น

 

 

รศ. ดร.พิเชฐ แสงทอง - อาจารย์ประจำหลักสูตรศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต และปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์:

     ผมไปค้นดูข้อมูลในนิตยสารต่าง ๆ อย่าง โลกหนังสือ หรือ ถนนหนังสือ ก็พบว่ามีการพูดถึงอาจารย์เสกในแง่ของนักเขียนเรื่องสั้นน้อยมาก แม้แต่งานสำคัญอย่างของอาจารย์ภิญโญ กองทอง ที่เขียน ร้อยปีนักเขียนเรื่องสั้นไทย ตีพิมพ์เมื่อปี 2528 ก็ยังไม่ได้กล่าวถึงผลงานของอาจารย์เสกในเนื้อหาเลย ชื่อของท่านไปปรากฏในภาคผนวก คือนามานุกรมนักเขียนไทยเท่านั้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นบริบทชีวิตและการเมืองของอาจารย์ในช่วงเวลานั้นได้ชัดเจน

     หลังจากหายไปจากพื้นที่สาธารณะ อาจารย์เสกกลับมาอีกครั้งพร้อมงานเขียนชุดหนึ่งในช่วงปี 2527 โดยจากการค้นคว้าของผม งานเรื่องสั้นชิ้นแรกของอาจารย์คือเรื่องที่รวมอยู่ในเล่ม ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2523 จากนั้นมีรวมเรื่องสั้นตีพิมพ์ในปี 2524 จำนวน 8 เรื่อง และในปี 2527 อีก 10 เรื่อง ก่อนที่จะต่อยอดไปสู่งานวรรณกรรมอื่น ๆ ในช่วงทศวรรษ 2530 ซึ่งรวมถึงเล่ม ทาง ที่เขียนในช่วงปลาย ๆ ของช่วงเวลานั้นด้วย

     ผมตั้งชื่อสิ่งที่ผมจะพูดในวันนี้ว่า "สังคมวิทยาวรรณกรรม ก่อนและระหว่างการปรากฏตัวของเสกสรรค์" เพราะถ้าเรามองจากบริบททางสังคมและวรรณกรรม จะเห็นชัดว่าอาจารย์เสกกลายเป็นดาวรุ่งของวงการได้อย่างไร หลายคนในแวดวงก็พูดอยู่เสมอว่า อยากให้อาจารย์เสกออกมาช่วยส่องแสงให้วงการ และผมขอยืนยันตรงนี้เลยว่า ท่านส่องแสงมาแล้วตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 2520

     จุดที่พีคที่สุดคือปี 2535 ซึ่งเป็นปีที่ Writer นิตยสารวรรณกรรมที่มีอิทธิพลในยุคนั้นถือกำเนิดขึ้น อาจารย์เสกขึ้นปกในฉบับที่ 3 และเนื้อหาในเล่มก็พูดถึงสไตล์การเขียน อุดมการณ์ และแนวคิดของท่าน โดยแทบไม่พูดถึงการเมืองเลย

     ในฐานะของนักเขียนเรื่องสั้น อาจารย์เสกเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นผมอย่างมาก ผมเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงในปี 2533 และเริ่มอ่านงานของอาจารย์เสกทันที ถึงขั้นพยายามแต่งตัวเลียนแบบท่าน ผมรู้สึกว่าแสงที่ท่านส่องออกมา ไม่ใช่แค่ทำให้ผู้อื่นมองเห็น แต่เป็นแสงที่ปลุกใจให้คนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาเขียน ลุกขึ้นมาตั้งคำถามกับรูปแบบวรรณกรรมแบบเดิม และแสงนั้นก็เปลี่ยนทิศทางของวรรณกรรมไทยไปจริง ๆ

     ในช่วงทศวรรษ 2510–2520 วงการวรรณกรรมไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก มีสิ่งสำคัญเกิดขึ้นราว 6 ประการ หนึ่งในนั้นคือ การที่นักเขียนและปัญญาชนบางคนเข้าไปมีบทบาทในหน่วยงานรัฐ ขณะเดียวกัน วรรณกรรมประโลมโลกก็เฟื่องฟู ทั้งแนวรัก แนวบู๊ และแนวเซ็กซ์ อีกด้านหนึ่ง กลุ่มวรรณกรรมเพื่อชีวิตก็เริ่มอิ่มตัว นักเขียนถูกคาดหวังให้สะท้อนปัญหาสังคมและชี้ทางออกแบบสูตรสำเร็จ เช่น การลุกขึ้นสู้

     ในช่วงปลายทศวรรษ 2520 สังคมไทยเผชิญกับ "ศัตรูที่ลื่นไหล" อย่างทุนนิยม นักเขียนจึงสับสนว่าจะต่อสู้กับอะไรดี เพราะจากเดิมเคยต่อสู้กับอำนาจรัฐ พอมาถึงจุดนี้ก็ไม่รู้จะจับแนวไหน นี่เองที่กลายเป็นช่องว่างให้เกิดวรรณกรรมแนวใหม่ คือ "วรรณกรรมสร้างสรรค์"

     วรรณกรรมเพื่อชีวิตที่เคยถูกยกย่องกลับถูกตั้งคำถามว่า ขาดศิลปะ ไร้ความสมจริง และติดอยู่ในกรอบ คนวิจารณ์ว่า ทำไมตัวละครชาวนาถึงพูดเหมือนนักวิชาการ ทำไมตัวละครแรงงานถึงใช้ภาษาแบบทฤษฎี นี่จึงเป็นจุดเริ่มของการเคลื่อนไปสู่การเขียนที่ให้ความสำคัญกับมุมมองของปัจเจกชน การไต่ตรองภายใน การมองโลกตามสายตาคนธรรมดา ไม่ใช่แค่สะท้อนปัญหา แต่เป็นการเล่าเรื่องของ “มนุษย์” อย่างแท้จริง

     อาจารย์สุชาติ สวัสดิ์ศรี คือคนสำคัญที่ผลักดันวรรณกรรมสร้างสรรค์ และเปิดพื้นที่ให้นักเขียนรุ่นใหม่ผ่าน นิตยสารโลกหนังสือ งานเขียนจึงหลากหลายขึ้น ทั้งบันทึกความทรงจำ หนังสือแนวฮาวทู และมีสำนักพิมพ์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นจำนวนมาก

     ในช่วงทศวรรษ 2530 โดยเฉพาะระหว่างปลายปี 2529 ถึง 2535 งานเขียนของอาจารย์เสกขายดีทุกเล่ม เพราะท่านไม่ได้เขียนตามแบบแผนวรรณกรรมเพื่อชีวิตแบบเดิม ไม่ใช่งานแบบ “ดอกเบี้ย” อาจารย์เสกเคยพูดเองว่า ท่านตั้งใจขบถ 2 ชั้น คือ หนึ่ง ขบถต่อการเขียนที่ต้องสะท้อนปัญหาสังคมแบบที่ถูกกำหนดไว้ และสอง ขบถต่อวรรณศิลป์แบบซ้ายจัดที่มีสูตรสำเร็จตายตัว

     ในยุคที่วงการวรรณกรรมอึดอัดกับรูปแบบเดิม ๆ คนรุ่นใหม่อย่างพวกผมก็ต่างเขียนบทความกันว่า “วรรณกรรมเพื่อชีวิตตายแล้ว” งานของอาจารย์เสกจึงกลายเป็นต้นแบบ เป็นทางออก เป็นแสงนำทางให้เราเดินออกจากกรอบเดิม ๆ ได้จริง

 

 

คุณภัทราภรณ์ ศรีทองแท้ - นักข่าว บรรณาธิการข่าว โปรดิวเซอร์และผู้กำกับสารคดี สถานีโทรทัศน์ Thai PBS:

     หนิงรู้จักอาจารย์เสกสรรค์จากการร่วมงานที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส มองย้อนกลับไป หนิงรู้จักท่านในสองมิติ มิติหนึ่งคือ “ผู้นำทางความคิด” และอีกมิติหนึ่ง คือ “ผู้นำทางจิตวิญญาณ”

     ถ้าย้อนกลับไปช่วงปี 2555 ตอนนั้นเราเริ่มต้นรายการสารคดีเชิงข่าวรายการหนึ่งชื่อว่า “backpack journalist” ออกอากาศทุกวันพฤหัสบดี รายการนั้นอยู่ในหมวดสารคดีข่าวก็จริง แต่สำหรับทีมงานอย่างเรา แก่นแท้ของมันคือการทำงานเชิงความคิด และอาจารย์เสกคือที่ปรึกษาคนสำคัญของรายการ

     ยุคนั้นเราสนใจเรื่องโลกาภิวัตน์ โดยเฉพาะมิติทางเศรษฐกิจที่สร้างความเหลื่อมล้ำให้กับผู้คน เราตั้งคำถามกับมัน และจัดวางให้ผู้ชมเป็นคนที่อยู่ตรงนั้น อยู่ในสถานการณ์จริง เห็นทั้งแรงงานข้ามชาติในไทย เด็กหนุ่มจากแอฟริกาที่มาเป็นนักกีฬา หรือแม้กระทั่งคนจีนรุ่นใหม่ที่มาตั้งรกรากในเมืองไทย

     เราพยายามรื้อโครงสร้างเดิมของสารคดีเชิงข่าวออก แล้วเสนอ “ความจริง” ในมุมใหม่—ความจริงที่ถูกออกแบบผ่านภาษา ผ่านน้ำเสียง ผ่านการเล่าเรื่อง เพื่อพาผู้ชม “ไปอยู่ในเหตุการณ์นั้น” ไม่ใช่แค่ดู ไม่ใช่แค่ฟัง แต่ “รู้สึก” ไปกับมันด้วย

     พวกเราเข้าใจดีว่าสังคมไทยส่วนใหญ่มักเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น แต่สิ่งที่เราพยายามทำในรายการคือการให้เห็นมากกว่านั้น เห็นว่าความจริงมีหลายชุด ไม่ใช่แค่ชุดเดียว เราไม่ดราม่าแม้ว่าเรื่องที่นำเสนอจะเป็นเรื่องของผู้เสียเปรียบ จุดยืนของเราคือการเปิดพื้นที่ให้ความจริงได้มีเสียง

     เมื่อภูมิทัศน์สื่อเปลี่ยนไป เราก็พัฒนารายการเข้าสู่โลกออนไลน์ และในเวลาเดียวกัน อาจารย์เสกก็เริ่มถอนตัวออกจากการเป็นที่ปรึกษา เพื่อไปปลีกวิเวก แต่ในความรู้สึกของหนิง อาจารย์ไม่ได้หายไปไหนเลย ท่านยังอยู่ในทีมเราในมิติของ “ผู้นำทางจิตวิญญาณ” จริง ๆ แล้วมิตินี้มีอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะเราคือทีมคนรุ่นใหม่ ส่วนใหญ่เพิ่งเรียนจบ อาจารย์เป็นคนที่ลงมาคุยกับพวกเรา ตั้งคำถาม พาเราปะทะกับโลกความเป็นจริง

     เราทำงานด้วยกันมาร่วม 8-9 ปี กับหัวข้อที่หลากหลาย โดยเฉพาะเรื่องโลกาภิวัตน์ข้ามพรมแดน ซึ่งทำให้เราได้เห็นแง่มุมใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีใครพูดถึง และหลังจากอาจารย์เสกถอนตัวไป ก็ยังเหมือนท่านได้มอบ “วิชา” หนึ่งไว้ให้เรา—หนิงเรียกมันว่าวิชา surrender หรือ “วิชาสิโรราบ”

    วิชานี้ไม่ใช่แค่การตั้งคำถาม แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะถ่อมตนต่อความซับซ้อนของโลก ท่านไม่เคยสอนให้เรายึดติดกับกรอบเดิม ๆ ท่านสอนให้เรารู้จักตั้งคำถาม และกล้าที่จะสงสัย เช่น ท่านเคยถามว่า “คุณคิดว่าโลกาภิวัตน์มีสัญชาติไหม” คำถามเดียวนี้ทำให้เราต้องออกไปค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง ลงพื้นที่จริง ไปสัมผัสชีวิตของผู้คน ท่านไม่ได้แค่ชวนคิด แต่พาเรา “ลงมือทำ” พาเราทำงานกับความคิดจริง ๆ ท่านวางรากฐานวิธีคิดให้กับทีมงานรุ่นใหม่อย่างเรา ทั้งในแง่ของการเล่าเรื่องในสารคดี ไปจนถึงการมองประเด็นสังคมในภาพกว้าง ท่านอนุญาตให้เรากลายเป็น “ส่วนหนึ่ง” ของเรื่องที่เรากำลังเล่า

    ทุกวันนี้แม้แต่ละคนจะแยกย้ายกันไปทำงานที่ต่าง ๆ บางคนเป็นนักข่าว บางคนเขียนนิยาย บางคนทำสารคดีของตัวเอง แต่เราทุกคนยังใช้ “วิธีคิด” ที่ได้จากอาจารย์เสกเป็นทุนชีวิตในการทำงาน โดยเฉพาะในงานด้านสื่อ สำหรับหนิง อาจารย์เสกคือคนที่ทำให้เรา “คิดเป็น” และที่สำคัญกว่านั้น คือทำให้เรา “กล้าคิดต่าง” อย่างลึกซึ้ง

 

 

ดร.พัชราภา ตันตราจิน – อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา และผู้เขียนหนังสือ ความคิดทางสังคมการเมืองของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล :

     ดิฉันเคยเป็นนักศึกษาของอาจารย์เสกสรรค์ ตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรี โดยได้เรียนกับอาจารย์ประมาณสามวิชา และต่อมาในระดับปริญญาเอกอีกหนึ่งวิชา งานเขียนของอาจารย์เริ่มเข้ามาอยู่ในชีวิตของดิฉันอย่างจริงจังเมื่อกว่า 20 ปีก่อน แม้ในช่วงแรกจะเริ่มต้นจากการอ่านเพื่อเตรียมสอบ แต่อ่านไปอ่านมา สิ่งที่ได้รับกลับลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นมาก

     สิ่งหนึ่งที่น่าประทับใจ คือ เวลาย้อนกลับไปอ่านงานของอาจารย์ในช่วงเวลาที่ต่างออกไป เราจะพบว่ามีหลายประเด็นที่เคยมองข้ามไป หรือบางทีความเข้าใจในตอนนั้น กับความเข้าใจในวันนี้ ก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ช่วงที่ดิฉันเรียนอยู่ เป็นยุคที่แนวคิดโลกาภิวัตน์ เสรีนิยมใหม่ และปัจเจกชนนิยมกำลังครอบงำโลก

     แต่เมื่อเวลาผ่านไป ดิฉันกลับมาอ่านงานเดิมอีกครั้ง พร้อมกับประสบการณ์ชีวิตที่มากขึ้น โดยเฉพาะในฐานะอาจารย์ และได้คลุกคลีอยู่กับคนหนุ่มสาวในยุคนี้ ก็เริ่มเข้าใจว่า ทำไมในตอนนั้นอาจารย์เสกจึงตั้งคำถามมากมาย ทำไมจึงมองเห็นอะไรที่ลึกและไกลกว่าที่เราเคยมอง

     มีอยู่ช่วงหนึ่งในงานชื่อ ผู้ชายที่กำลังสูญพันธุ์ อาจารย์ได้พูดถึงความเห็นอกเห็นใจที่ค่อย ๆ เลือนหายไปจากสังคม ถ้ามองลึกลงไปกว่านั้น มันคือวิธีมองโลกอีกแบบหนึ่ง ที่ให้ความสำคัญกับ “พื้นที่” และ “เวลา”

     ดิฉันอยากหยิบยกงานของอาจารย์เสกเรื่อง ความเหงาทางปัญญา ซึ่งกล่าวไว้โครงการอบรมคนหนุ่มสาว

    “ความคิดคนนั้นมักถูกกำหนดด้วยสำนึกด้านพื้นที่และกาลเวลา ถ้าพื้นที่ในจิตสำนึกเรากว้างขวาง ครอบคลุมทั้งประเทศ กาลเวลาเลื่อนไหลจากประวัติศาสตร์สู่ปัจจุบันถึงอนาคต วิธีคิดของเราจะเป็นอย่างหนึ่ง

     แต่ถ้าพื้นที่ในจิตใจสำนึกเป็นแค่บริษัทที่ตัวเองทำงาน และกรอบคิดด้านเวลาจำกัดอยู่แค่ครึ่งชั่วโมงของรายการทีวีที่ผลิต ความคิดก็คงวนอยู่แค่จะหาเงินเข้าองค์กรให้ได้เท่าไหร่ หรือจะคิดมุกอะไรขึ้นมาเพื่อให้ผู้ชมไม่เปลี่ยนช่อง

    ...ชีวิตที่ดีไม่ใช่อะไรอื่น มันคือ ‘สำนึก’ ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสรรพสิ่งรอบตัวเรา เหมือนกาลเวลากับพื้นที่ในระดับเอกภพ ที่สุดแล้วก็เป็นสิ่งเดียวกัน

    ...หากคนจำนวนมากยังมีสำนึกทางพื้นที่แค่รั้วบ้าน และสำนึกทางกาลเวลาแค่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า ชีวิตที่มีกรอบคิดแบบนี้จะเก็บข้อมูลได้น้อยเกินไป ที่จะเข้าใจหรือกำหนดเรื่องราวใหญ่โตใด ๆ ได้เลย”

     ดิฉันเห็นว่าความคิดเหล่านี้ยังมีคุณค่าอย่างมากในสังคมไทยปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อเรากำลังเผชิญกับคำถามที่ดูเรียบง่ายแต่สะเทือนใจ เช่น “ทำไมต้องช่วยคนพวกนั้น?” “ทำไมต้องสนใจสิทธิมนุษยชนด้วย?” “มันเกี่ยวอะไรกับเราหรือ?” คำถามเหล่านี้สะท้อนถึงการที่ผู้คนไม่เห็นพื้นที่ร่วม หรือกาลเวลาร่วมกันกับผู้อื่นแล้ว

     เรากำลังอยู่ในยุคที่สำนึกสาธารณะกำลังหดตัวอย่างรุนแรง มนุษย์ถูกลดทอนให้เป็นเพียงหน่วยเล็ก ๆ ที่คิดถึงแต่ตัวเอง กับคนรอบข้างในช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น

     ในบริบทนี้ คำถามของอาจารย์เสกที่ว่า “คุณรู้สึกตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของอะไร?” ยังคงท้าทายเสมอ และอาจเป็นคำถามสำคัญที่สุดที่จะพาเราไปสู่การคิดถึงชีวิตที่ดี—ชีวิตที่มีสายใยกับมนุษย์อื่น สรรพสิ่งอื่น และเวลาที่ไหลผ่านไม่ใช่เพียงวันนี้ แต่ยาวไกลไปถึงอนาคตของคนรุ่นถัดไป

    ท้ายที่สุด ดิฉันเชื่อว่า เราทุกคนยังต้องการสังคมที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ และการมองโลกจากจุดยืนที่ไม่ใช่เพียง “ฉัน” หรือ “ของฉัน” เท่านั้น แต่เป็น “เรา” และ “ทั้งหมดนี้” ที่จะดำรงอยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้

 

ดร.อับดุรเราะฮหมาน มูเก็ม - นักวิจัยประจำศูนย์เอเชียใต้ศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย :

      งานของอาจารย์เสกสรรค์มีอิทธิพลต่อผมอย่างมาก...ผมเข้าปัตตานีในช่วงที่ยังเป็นนักศึกษา กำลังอยู่ในช่วงวัยที่ตั้งคำถามกับสังคม ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเมืองของเรา และเราจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร เด็กที่โตในหาดใหญ่ แล้วต้องย้ายมาอยู่ในปัตตานีแบบผม จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง

      วันหนึ่งผมได้พบกับงานของอาจารย์เสกสรรค์ เล่มแรกที่อ่านคือ จราจลทางปัญญา แล้วก็อ่านต่อมาเรื่อย ๆ จนถึง ผ่านพบไม่ผูกพัน และ ซ้ายผ่านศึกหรือทาง ตอนที่อ่าน ผมอยู่อินเดียแล้ว—ตอนนั้นเพื่อนส่ง หนังสือมาให้สองเล่ม เล่มหนึ่งเก็บไว้ อีกเล่มไว้เปิดอ่าน วันแรกที่ได้หนังสือจากเมืองไทย ผมอ่านจบทั้งเล่มในวันเดียว เพราะรู้สึกว่าสิ่งที่อาจารย์เขียนคือสิ่งที่ผมเฝ้าตามหา เป็นความหมายบางอย่างที่อาจารย์อยากส่งถึงพวกเรา

      หลายคนอาจสงสัยว่าเป็นมุสลิม แต่ทำไมถึงอ่านและรู้สึกผูกพันกับงานของอาจารย์เสกสรรค์ ผมขอเล่าย้อนนิดหน่อย—ผมรู้จักอาจารย์ในฐานะ “นักสู้” ก่อนจะรู้จักว่าเป็นนักเขียน เพราะเราอยู่ปัตตานี เราเรียนรู้เรื่องการต่อสู้มาตั้งแต่เป็นนักศึกษา ต้องคิดว่าเราจะเคลื่อนไหวหรือขับเคลื่อนอะไรเพื่อประชาชน เพื่อคนหาเช้ากินค่ำได้บ้าง แต่ในความจริง คนจำนวนมากแม้แต่ออกจากบ้านยังลำบาก สถานการณ์บีบคั้นจนพวกเขาไม่สามารถออกทะเล ไม่สามารถทำมาหากินได้ ชีวิตจึงเหมือนถูกบังคับให้เผชิญความเดียวดาย

     นั่นทำให้ผมหันไปหา “งานเขียน” ของอาจารย์เสกสรรค์ และเมื่อได้อ่านจริง ๆ ก็พบว่าอาจารย์ไม่ใช่แค่ “นักสู้” แต่ยังเป็นนักคิด นักเขียน และเหนืออื่นใด... เป็น “กวี”

     อาจารย์เขียนถึงความหวัง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงถามทวงถึงบางสิ่งบางอย่างจากพวกเราอยู่เสมอ และนั่นแหละคือพลังที่ผมได้รับ—แม้จะไม่เคยพบอาจารย์แม้สักครั้งเดียวในชีวิต แต่ก็เฝ้าฝันว่าอยากพบ อยากเห็นหน้า อยากเข้าไปคุยกับคนที่ทรงอิทธิพลต่อชีวิตผมในช่วงเวลาหลายยุคหลายสมัย

     ในเวลาต่อมา ผมเห็นว่างานของอาจารย์ค่อย ๆ “คลี่คลาย” ความบอบช้ำและบาดแผลที่สะสมอยู่ภายใน อาจารย์เขียนถึงตัวเองว่าเป็น “สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์”—ในผลงานยุคหลังเราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงทางความคิด มีวรรคหนึ่งที่ผมจำได้ดี อาจารย์เขียนว่าคนเรามีอยู่สองด้าน ด้านหนึ่งคือ “self-ness” หรือความเป็นตัวตน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมี แต่หากเรายึดติดอยู่กับความเป็นตัวตนเพียงอย่างเดียว เราจะไม่มีวันบรรลุสิ่งใดได้เลย เพราะชีวิตยังต้องรู้จักกับ “nothing-ness” ด้วย ต้องรู้จักการปล่อยวาง

     ผมตีความว่าอาจารย์เริ่มหันจากโลกแห่งความโดดเดี่ยว เข้าสู่โลกที่เงียบสงบ โลกที่ว่างเปล่าและไร้ตัวตน เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางกลับสู่หลักธรรมคำสอน

     แล้วนี่เองที่ทำให้ผม—ในฐานะมุสลิม—รู้สึกว่างานของอาจารย์สอดคล้องกับหลักคำสอนของศาสนาอิสลามอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะในผลงานอย่าง วันที่หัวใจกลับบ้าน ซึ่งพูดถึงภาวะ “กลับบ้าน” ของจิตวิญญาณ การวางตน การชำระล้างกิเลส สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่อิสลามก็สอนผมมาตลอดเช่นกัน

     สุดท้ายแล้ว “บ้านที่แท้จริง” ตามที่อาจารย์เขียนถึง ไม่ใช่สถานที่ หากแต่คือ “ความสงบ”—ความสงบภายในใจคือบ้านที่แท้จริง บ้านที่เราทุกคนเฝ้าหา งานของอาจารย์เสกพาผมกลับมาทบทวนชีวิต กลับมาชำระล้างจิตใจ และตระหนักว่า คนที่สวยที่สุด สำเร็จที่สุด ก็คือคนที่สามารถซักล้างตัวเอง ให้สะอาดจากสิ่งหมัก หมมของโลกนี้

     นั่นแหละครับ บ้านที่แท้จริงคือการนำจิตคืนสู่เหย้า—คือการพาตัวเองกลับสู่ความสงบ กลับสู่ความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ และนั่นแหละคือสิ่งที่ผมเห็นในงานของอาจารย์เสกสรรค์

 

 

นายปณวัตร วงศ์มาศ – เจ้าของเพจ "อ่านแหลก" นักอ่านที่นำเสนอแนวคิดและมุมมองจากวรรณกรรมและปรัชญาเพื่อสร้างการเรียนรู้ให้กับสังคม :

     จริง ๆ แล้ว ผมถือว่าเป็นนักอ่านรุ่นใหม่ เพราะยังอ่านงานของอาจารย์เสกสรรค์ได้ไม่ครบทุกเล่ม จุดเริ่มต้นของผมมาจากคำแนะนำของเพื่อน ตอนนั้นผมเองยังไม่รู้จักงานของอาจารย์ดีนัก รู้จักเพียงว่าอาจารย์คือหนึ่งในผู้นำ 14 ตุลาฯ

    โดยพื้นฐาน ผมเป็นคนชอบอ่านอะไรเพลิน ๆ มากกว่า อ่านแนวสืบสวนหรือทั่วไปมาก่อน ไม่เคยคิดจะอ่านงานที่ดูจริงจังขนาดนั้น แต่เพื่อนยืนยันหนักแน่นว่า “ลองสักเล่มเถอะ” ผมก็เลยตอบกลับไปว่า “ขอเล่มเด็ดที่สุดละกัน ไม่อยากเสียเวลาอ่าน” เขาเลยแนะนำ ผ่านพบไม่ผูกพัน ให้

    เปิดหน้าแรก... ผมโดนประโยคแรกกระแทกหน้าเลย—มันสวยมาก สวยจนตกใจ เพราะผมไม่เคยเจองานเขียนที่ใช้ภาษาแบบนี้มาก่อน เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าภาษาสามารถสร้างความรู้สึกได้มากขนาดนั้น พอได้อ่าน ก็หยุดไม่ได้ อ่านต่อไปเรื่อย ๆ

     ตอนนั้นผมยังไม่ได้ทำเพจ อ่านแหลก ยังเป็นแค่คนชอบอ่านหนังสือเฉย ๆ พออ่าน ผ่านพบไม่ผูกพัน จบ ก็หยิบ บุตรธิดาแห่งดวงดาว มาอ่านต่อ เป็นเล่มที่ผมรู้สึกว่าชอบบางส่วน แต่ยอมรับตามตรงว่า 80 % ของเนื้อหา ผม "งง" ยังไม่เข้าใจมากนัก ก็เลยพักไว้ก่อน หันไปหาเล่มอื่นที่อ่านง่ายกว่า

     พอมาเจอ มหาวิทยาลัยชีวิต เล่มนี้สนุกดี พูดถึงการเดินป่า เสาะหาชีวิตจริง เร่ร่อนหาปลา อ่านแล้วเพลิน แต่ก็ยังไม่ถึงกับประทับใจแบบ ผ่านพบไม่ผูกพัน

     หลังจากนั้นก็เริ่มอ่านย้อนตามลำดับเวลา มาเจอ วันที่ถอดหมวก อันนี้ผมชอบมาก จำได้ไม่ลืมเลย เพราะรู้สึกว่าพล็อตชีวิตที่อาจารย์เล่ามันสะท้อนตัวตนอย่างชัดเจน จากการใส่หมวกที่เต็มไปด้วยอีโก้ ความทะนงในตัวเอง จนถึงจุดที่ถอดหมวกให้หมา—ผมอ่านแล้วถึงกับร้องว่า “เขียนได้ไงวะ เท่มาก”

     เล่มต่อมาคือ วันที่หัวใจกลับบ้าน นี่แหละที่ทำให้ผมเริ่มรักงานของอาจารย์เสกสรรค์มากขึ้นเรื่อย ๆ พอเริ่มทำเพจ ผมก็รู้เลยว่าต้องเอาประโยคที่กระแทกใจผมครั้งแรกจาก ผ่านพบไม่ผูกพัน ไปโพสต์ลงหน้าเพจ แล้วก็เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิด—คนแชร์กันเยอะมาก จนผมเองยังตกใจ แสดงให้เห็นว่า “ถ้อยคำแบบนี้” ไม่ได้ล้าสมัยเลย และยังเข้าถึงใจผู้คนอยู่

     ก่อนหน้านี้ ผมไม่เคยสนใจเรื่องจิตวิญญาณเลย ไม่เคยอ่านเรื่องเต๋า มหาญาณ หรือเซนด้วยซ้ำ แต่พอได้อ่านงานของอาจารย์ ได้พาผมค่อย ๆ เข้าไปสู่เส้นทางนี้อย่างไม่รู้ตัว จากความสงสัย กลายเป็นความสนใจ และเมื่อถึงเวลาที่เราเจอทุกข์หรือความสับสนในชีวิต ก็พบว่าตัวเองย้อนกลับไปหาแนวคิดเหล่านี้ เพื่อใช้ทบทวนตัวเองอยู่เสมอ

    ในมุมของผม อาจารย์เสกสรรค์ไม่ใช่แค่นักคิดหรือนักเขียนเท่านั้น แต่อาจารย์คือ “ครู” ที่ทำให้ผมเริ่มต้นการเดินทางเพื่อแสวงหา เข้าใจตัวเอง และมองเห็นคุณค่าของการมีจิตวิญญาณในการใช้ชีวิต

 

 

ผศ.ดร.ทพ. สุธี สุขสุเดช – คณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ :

     อาจารย์เสกสรรค์เป็นคนไข้ที่มีวินัยมาก ถ้านัดไว้เวลาไหน ก็ไม่เคยมาสายเลย ที่สำคัญคือท่านให้ความร่วมมือกับหมออย่างเต็มที่ อดทนและเชื่อฟังคำแนะนำทุกอย่าง เป็นคนไข้ที่หมออยากรักษา เพราะรู้สึกว่าท่านให้เกียรติกันทั้งในแง่ของเวลาและความใส่ใจ

     ตอนที่ผมได้รู้จักอาจารย์เสกสรรค์ครั้งแรก ท่านอายุประมาณหกสิบกลาง ๆ เป็นช่วงที่เริ่มมีปัญหาสุขภาพหลายระบบ ต้องดูแลกันแบบองค์รวม ไม่ใช่แค่เรื่องช่องปากอย่างเดียว เช่น ถ้าจะถอนฟัน ก็ต้องประเมินเรื่องยาต้านเกล็ดเลือด ยาความดัน และการรักษาโรคอื่น ๆ ที่อาจารย์กำลังใช้ยาอยู่ พอเวลาผ่านไป ผมก็ตกกระไดพลอยโจนกลายเป็นเหมือนผู้ดูแลสุขภาพภาพรวมของอาจารย์ในโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ไปโดยปริยาย

     สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นได้ชัดจากการดูแลอาจารย์ คือท่านเป็นคนที่ “เข้าใจร่างกายตัวเอง” อย่างลึกซึ้ง ท่านมักจะพูดว่า “ผมใช้ร่างกายสมบุกสมบันมามาก ถึงเวลาดูแลคืนให้มันบ้าง” คำพูดแบบนี้สะท้อนให้เห็นว่า อาจารย์ไม่ได้เข้าใจแค่เรื่องจิตวิญญาณ แต่ยังเข้าใจความเสื่อมของร่างกายด้วย และยอมรับมันอย่างสงบ

     เราได้พบกันบ่อย ๆ บางครั้งก็มาทำฟัน บางครั้งก็มาหาคุณหมอท่านอื่น แต่ทุกครั้งที่เจอกันมักจะได้มีโอกาสนั่งคุยกัน จิบกาแฟกัน และพูดคุยถึงเรื่องที่ลึกซึ้งมาก เช่น ความจริงคืออะไร ความเป็นไทยคืออะไร… ซึ่งเป็นบทสนทนาที่ผมรู้สึกว่ามีค่ามาก

     นอกจากในฐานะคนไข้ที่มีวินัย อาจารย์ยังเคยมีบทบาทร่วมออกแบบหลักสูตรการเรียนการสอนด้วย โดยนำมุมมองในฐานะ “ผู้ป่วย” เข้ามาช่วยออกแบบระบบการดูแลสุขภาพ ซึ่งทำให้เราเห็นว่าท่านใส่ใจทุกมิติของชีวิต แม้แต่เรื่องที่หลายคนอาจจะมองข้ามอย่าง “การดูแลสุขภาพกาย” ท่านให้ความสำคัญอย่างมาก

     สิ่งที่ผมได้ยินจากอาจารย์เสมอคือ “เตรียมตัวตายทุกวัน” ซึ่งท่านพูดด้วยน้ำเสียงสงบ ไม่ได้หมายถึงความสิ้นหวัง แต่เป็นการเตรียมใจอย่างมีสติ เช่น เวลาผมถามว่าอาจารย์เป็นอย่างไรบ้างช่วงนี้ ก็มักจะตอบว่า “ไปหาหมอบ่อย ร่างกายก็เสื่อมลงทุกวัน เพราะผมใช้มันมาเยอะ แต่ภายในของผมงอกงามขึ้นนะ” เป็นประโยคที่ลึกมาก และสะท้อนแนวคิดเรื่องชีวิตกับความตายได้อย่างงดงาม

     อีกด้านที่หลายคนอาจยังไม่รู้ คืออาจารย์เสกสรรค์เป็นช่างภาพฝีมือดีมาก ภาพที่ท่านถ่ายออกมา ลุ่มลึก คมคาย และมีรายละเอียดละเมียดละไม เหมือนกับงานเขียนของท่านเลย ผมโชคดีที่เคยได้ชมผลงานภาพถ่ายของอาจารย์ผ่านสื่อต่าง ๆ และรู้สึกประทับใจไม่แพ้งานเขียน

     ในความคิดของผม—เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ไม่ใช่แค่นักเขียนหรือนักคิดเท่านั้น แต่เป็นบุคคลที่มีสไตล์ มีจริตของตัวเองที่ชัดเจนทั้งในงานเขียนและในชีวิตจริง และในช่วงปลายของชีวิต ท่านก็กำลัง “เตรียมตัวตายอย่างมีความสุข” ด้วยความเรียบง่าย สงบ และลึกซึ้ง

     ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ผมได้มีโอกาสดูแลชีวิตของท่านในฐานะหมอคนหนึ่ง

 

 

คุณรุ่งมณี เมฆโสภณ – นักเขียนประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทยและนักข่าวอาวุโส

    ผู้ได้รับรางวัลศรีบูรพา ประจำปี 2567 :

    พี่เสกเป็นผู้ชายที่มีตกผลึกภายในแบบที่หาได้ยากจริง ๆ – เรียกได้ว่า one of a kind เลยก็ว่าได้ หลายคนอาจมองท่านในฐานะวีรบุรุษ บางคนมองว่าเป็นวีรชน แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดเจนไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็คือ ความผูกพันของพี่เสกกับแผ่นดินนี้มันลึกมาก ไม่ใช่แค่ในระดับความรู้สึก แต่ฝังอยู่ในทุกชั้นของความคิด

    งานเขียนและการเคลื่อนไหวทางสังคมของพี่เสก ไม่เคยหยุดอยู่แค่เรื่องส่วนตัว ทุกสิ่งที่พี่เสกคิดหรือทำ มักสะท้อนถึงความห่วงใยบ้านเมืองอยู่เสมอ บางอย่างเรายังคาดไม่ถึงด้วยซ้ำ เช่น การเป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนาหลักสูตร หรือการเป็นโปรดิวเซอร์ใหญ่ให้กับรายการ Backpack Journalist ที่คนทั่วไปอาจไม่รู้มาก่อน นี่คืออีกมิติของพี่เสกที่น้อยคนจะได้เห็น และมันก็น่าทึ่งอย่างยิ่ง

    พี่เสกเป็นบุคคลที่น่าศึกษาในแทบทุกด้าน ตั้งแต่ความเป็น “ผู้ชายไทย” ที่เติบโตขึ้นมาจากริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง ผู้ที่ไม่เคยอายที่มาของตัวเอง กลับยืนหยัดกับมันด้วยความภาคภูมิใจ ท่านไม่เคยแต่งเติมเพื่อให้ดูสูงส่งกว่าเดิม แต่กลับเล่าอย่างซื่อสัตย์และหมดจด

    ถ้าเราติดตามงานเขียนของพี่เสกอย่างลึกซึ้ง เราจะเห็นว่าทุกอย่างในชีวิตท่านถูกถ่ายทอดออกมาอยู่แล้ว เพียงแต่มันอยู่ในระดับที่ต้อง “อ่านระหว่างบรรทัด” ให้ได้ และนั่นคือสิ่งที่ท้าทายที่สุด เพราะพี่เสกไม่ใช่คนที่ย่ำอยู่กับที่ ท่านพยายามเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลง ปรับปรุงตัวเองตลอดเวลา เป็นการเดินทางที่ทั้งอ่อนโยนและเด็ดเดี่ยว

    ในชีวิตจริง พี่เสกเป็นคนชอบตกปลา เป็นพฤติกรรมเล็ก ๆ แต่สะท้อนโลกภายในได้ดีมาก ตั้งแต่การอยู่กับหลวงตาในช่วงหนึ่งของชีวิต การค่อย ๆ ศึกษาตกผลึกในตัวเอง การเติบโตภายใน—สิ่งเหล่านี้ถ้าใครมีโอกาสศึกษาจริงจัง จะพบว่าลึกซึ้งและงดงามมาก

    โดยเฉพาะเรื่อง “การเตรียมตัวตาย” และ “วิธีคิดเชิงปรัชญา” ของพี่เสก ไม่ใช่เพียงแนวคิด แต่คือการดำรงอยู่จริง ๆ และแม้บางทีท่านอาจไม่เปิดให้ใครเข้าไปใกล้ชิดนัก แต่สิ่งที่เปิดกว้างเสมอคือ “ตัวหนังสือ” ที่กลั่นมาจากชีวิตทั้งชีวิตของท่าน

    ภาษาของพี่เสกมีเอกลักษณ์ชัดเจน เป็นภาษาที่สวยงามอย่างแท้จริง บทความหรือข้อเขียนหลายชิ้นของท่านมักเริ่มต้นด้วยความโรแมนติก—แสงดาว ผิวน้ำ เสียงลม หรือสิ่งเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนจะไร้สาระสำหรับคนทั่วไป แต่มันกลับเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนที่ “มองเห็น” จริง ๆ

    พี่เสกไม่เคยละทิ้งสิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้เลย เพราะมันคือความงดงามที่แท้จริงของชีวิต และสะท้อนให้เห็นว่า ภายในของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ยังคงเปล่งประกายอยู่เสมอ ไม่ว่าโลกภายนอก

 

 

Writer

Trikid Intarakantee