เสถียร ยอดดี นักเขียนรางวัล สุภาว์ เทวกุล คนล่าสุด ประจำปี 2545 นี้ เป็นชาวอำเภอนาวัง จังหวัดหนองบัวลำภู พื้นที่สีแดงในอดีต หลังจบการศึกษาภาคบังคับแล้ว ต้องออกมาช่วยพ่อแม่ทำงาน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เคยผ่านงานมาแล้วหลากหลาย ทั้งชาวนา ชาวไร่ กรรมกรไร่อ้อย กัปตันห้องอาหาร นายตรวจรถเมล์ นักข่าวหนังสือพิมพ์ และอีกสารพัดอาชีพ จนวันหนึ่งมีโอกาสกลับเข้าเรียนหนังสืออีกครั้งในระดับประถมปลายเมื่ออายุ 22 ปี และใช้เวลาเรียนจนจบปริญญาตรีในเวลาแค่ 8 ปีเท่านั้น แล้วผันตัวเองมาเป็นครูเมื่ออายุ 33 ปี
ปัจจุบันสอนอยู่โรงเรียนอะไร ระดับชั้นไหนแล้วคะ
สอนที่โรงเรียนบ้านหนองเต่า ตำบลบึงพะไล อำเภอแก้งสนามนาง จังหวัดนครราชสีมาครับ ชั้นประถมศึกษา ตั้งแต่ประถม 2-6 วิชาภาษาไทย แต่ถ้าเป็นชั้นประถมต้นก็สอนทุกวิชาครับ
ดูจากประวัติที่ผ่านมาช่วยเล่าให้ฟังหน่อยค่ะว่าเริ่มต้นเข้ามาในแวดวงงานเขียนนี้ได้อย่างไร
ผมชอบอ่านหนังสือครับจึงทำให้อยากเขียนบ้าง เมื่ออ่านมาได้ระดับหนึ่งแล้ว อยากเป็นอย่างคนอื่น อยากมีชีวิตอย่างตัวละคร ซึ่งเป็นความฝัน เป็นจินตนาการของนักเขียนทุกคน ผมเริ่มฝึกเขียนตั้งแต่สมัยหนังสือฟ้าเมืองไทย ฟ้าเมืองทองยังเฟื่องฟูอยู่ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากเพิ่งเข้าสู่วงการหนังสือ ไม่ค่อยประสีประสามากนัก ลุงอาจินต์ ปัญจพรรค์เคยตอบจดหมายให้กำลังใจจึงไม่ทอดทิ้งความฝัน เคยตั้งปณิธานว่า แม้ชีวิตนี้ไม่ได้เป็นอะไรขอเป็นนักเขียนก็พอ งานชิ้นแรกที่ได้ตีพิมพ์คือ บทกลอนที่ตีพิมพ์ทางสกุลไทย โดยคุณหญิงกุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ ราวปี 2529 หลังจากนั้นก็ห่างเหินจากหนังสือไปนาน ลืมความใฝ่ฝันที่ตั้งเอาไว้หมดสิ้น จนวันหนึ่งอ่านพบข้อความเชิญชวนให้ส่งเรื่องสั้นเข้าร่วมพิจารณาเพื่อลงในช่อการะเกด จึงใช้เวลาเขียนเรื่องสั้นในคืนนั้นเลยราว 3 ชั่วโมงก็เสร็จ ตอนเช้านำไปให้โชติ ศรีสุวรรณ อ่าน และท่านก็บอกว่าใช้ได้แล้วให้ส่งเลย และเรื่องสั้นเรื่องแรกก็ได้ตีพิมพ์ทางชุมนุมเรื่องสั้นช่อการะเกดของสุชาติ สวัสดิ์ศรี ปี 2536 นับแต่วันนั้นมาก็เริ่มงานเขียนอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง…
ดังที่ได้เห็นผลงาน เรื่องสั้นของคุณเสถียรตีพิมพ์ลงตามหน้านิตยสารต่าง ๆ มาแล้วไม่ต่ำกว่า 100 เรื่อง รวมถึงงานเขียนบทความและบทร้อยกรองอีกมากมาย และล่าสุดผลงานรวมเรื่องสั้นนำเสนอความต่างที่ท้าทาย "คนนอกระบบ" ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นจัดส่งเข้าประกวดรางวัลซีไรต์ในปีนี้ด้วยเช่นกัน
จะเห็นว่างานเขียนที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นลักษณะเสียดสีหรือตีแผ่สังคมวงราชการ และให้เหตุผลว่าเป็นสิ่งใกล้ตัว เคยคิดจะเขียนเกี่ยวกับแวดวงหนังสือ หรือนักเขียนบ้างหรือเปล่าคะในฐานะที่เป็นนักเขียนคนหนึ่งด้วยเหมือนกัน
งานเขียนเรื่องสั้นส่วน ใหญ่ของผมมักจะตีแผ่วงราชการ ผมเคยให้คำตอบว่าเพราะเป็นสิ่งใกล้ตัวและอยากเขียนให้คนอ่านได้รับรู้อยู่ตลอดเวลา แม้บางคนจะว่าผมย้ำคิดย้ำทำไม่ก้าวจากที่ไปไหนเลยก็ตาม แต่ผมคิดว่าเรื่องที่จะเขียนถึงนั้นยังมีอีกมาก แม้เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่มากเหมือนเดิม แม้จะเขียนไปมากมายแล้วก็ตามและคนอ่านที่อยู่นอกวงการไม่อาจรู้ได้ การจะเขียนถึงแวดวงนักเขียนหรือไม่นั้นคงต้องคิดอีกหน่อย เพราะตอนนี้ไม่รู้จะเขียนอะไร นอกจากขอร้องให้นักเขียนบางคนลดอัตตาลง อย่าหลงตัวเองเกินไป
ถามถึงแนวหนังสือที่ชอบอ่านเป็นพิเศษล่ะคะ
ผมก็บอกไม่ได้เหมือนกันเพราะอ่านทุกอย่าง แต่เป็นคนชอบซื้อหนังสือบทกวีมากที่สุด ถ้าเข้าห้องสมุดจะยืมหนังสือปรัชญามากกว่าประเภทอื่น ถ้าอ่านแล้วปลื้มจนน้ำตาไหลก็คือเรื่องราวของผู้คนระดับรากหญ้า
แล้วถ้านักเขียนในดวงใจล่ะมีบ้างหรือเปล่า
นักเขียนในดวงใจมีหลายท่านครับอย่าง ลาว คำหอม, เสนีย์ เสาวพงษ์, ศรีบูรพา, มาลัย ชูพินิจ, อรวรรณ, หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช, หม่อมเจ้าอากาศดำเกิงระพีพัฒน์, ศรี ชัยพฤกษ์, อาจินต์ ปัญจพรรค์, มนัส จรรยงค์, ชาติ กอบจิตติ, คำพูน บุญทวี, อัศศิริ ธรรมโชติ, นิมิต ภูมิถาวร, เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, เสถียรโกเศศ, พนมเทียน, และ ฯลฯ
เมื่อว่างจากการสอนและการเขียนหนังสือแล้ว จะหาเวลาพักผ่อนอย่างไรบ้างคะ
ยามว่างจากการเขียน และสอนหนังสือก็จะอ่านหนังสือ หรือดูหนังซึ่งชอบมากที่สุดครับ
มีการตั้งความหวังกับงานเขียนไว้บ้างหรือเปล่า
ไม่เคยตั้งความหวังกับ งานเขียนไว้อย่างไร แม้แต่เดี๋ยวนี้
คุณเสถียรทิ้งท้ายไว้ว่า
สำหรับผู้ที่อยากเป็นนักเขียน ควรลงมือเขียนทันที อย่างเงื้อปากกาค้าง อย่าแล่นไปหานักเขียนดังแล้วกลับมานอนฝันว่าตัวเองได้รู้จักนักเขียน จนบางครั้งหลงคิดไปว่าตัวเองเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในวงการทั้งที่ไม่เคยลงมือเขียน คนอยากเป็นนักเขียน ถ้าไม่เขียนก็เป็นนักเขียนไม่ได้ อ่านให้มาก สังเกตให้ดี อย่ารีรอ อย่าท้อถอย แล้ววันหนึ่งจะสำเร็จตามปรารถนา…