ไพบูลย์ พันธุ์เมือง : ผมรักการเขียนหนังสือมากกว่าสิ่งใดในโลก

ไพบูลย์ พันธุ์เมือง

"คุณเขียนได้เข้าขั้นนักเขียนอาชีพแล้ว" ประโยคหนึ่งจากจดหมายของครูอาจินต์ ปัญจพรรค์ ทำให้ ไพบูลย์ พันธุ์เมือง ตัดสินใจเดินหน้าสร้างผลงานต่อมาในโลกของนักเขียนนับจากวันนั้น… ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในความรู้สึก กับการจะก้าวผ่านกระแสการคัดสรรจนได้ตีพิมพ์สักเล่ม แต่…ถึงอย่างไรตลอดระยะเวลาการเดินทางที่ยาวนานกว่า 15 ปีกับบทพิสูจน์ในผลงาน แสดงให้เห็นแล้วว่า ไพบูลย์ พันธุ์เมือง สามารถก้าวเดินบนถนนสายวรรณกรรมนี้ได้อย่างเต็มภาคภูมิ พร้อมกับตั้งปณิธานที่จะทุ่มเทอุทิศเวลาทั้งหมดสร้างงานบนถนนสายนี้ตราบเท่ายังมีลมหายใจ… คุยนอกรอบสัปดาห์นี้ มีเรื่องราวจากใจคุณไพบูลย์ มาฝากกันค่ะ

อะไรเป็นแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นสร้างสรรค์งานเขียนคะ
แรกสุดมาจากการชอบอ่าน ตอนเป็นเด็กผมอ่านการ์ตูน "หนูเล็ก ลุงโกร่ง" เขียนโดยอดิเรก อ่าน "การ์ตูน ตุ๊กตา" ของพิมล กาฬสี พอวัยรุ่นติดนิยายของ จ.ไตรปิ่น เรื่องลูกคนยาก ขนาดยอมอดข้าว อดก๋วยเตี๋ยวเพื่อสะสมเงินไว้ซื้อ ดูเหมือนจะ 12 เล่มจบ อายุ 20-30 ติดนิยายของ อ.อรรถจินดา เศก ดุสิต (ชอบอินทรีแดง) พนมเทียน (ชอบ "เล็บครุฑ" และ "เพชรพระอุมา" ห้าหกปีกว่าจะจบ ซื้อไว้หมดทุกเล่ม) ผมชอบเรื่องแนวบ้านๆ ชนบทๆ แถมภูตผีปิศาจ

ส่วนการได้มาเขียนนิยายเริ่มแรกมาจาก ผมมาหัดเขียนรูปคนเพื่อจะสอบวาดเขียนเอก จึงลองเขียนเป็นนิยายภาพส่งสำนักพิมพ์…ทำให้ผมมีโอกาสได้เขียนนิยายแต่เป็นนิยายการ์ตูน (ใช้นามปากกา "บูลย์ ตะกั่วป่า") เมื่อผมถูกเรียกตัวไปช่วยราชการที่สำนักงานในตัวจังหวัด ทำให้ต้องถูกตัดขาดจากการเขียน แต่โชคดีที่อ่านฟ้าเมืองไทย ของอาจินต์ ปัญจพรรค์ จึงลองเขียน "สอนลูกให้เป็นนาย" ส่งครูอาจินต์ผมเรียกท่านว่าครู เพราะท่านย้ายข้อความและขัดเกลาสำนวนภาษาให้จนผมจับทางได้ว่า "เรื่องสั้นต้องเขียนแบบนี้" ผมเอาความรู้จากการเขียนนิยายการ์ตูน มาเขียนเรื่องเป็นตอนๆ เรื่อง "จิตรกรเร่" ส่งครูอาจินต์ ปัญจพรรค์ ครูอาจินต์ส่งจดหมายชมว่า "คุณเขียนได้เข้าขั้นนักเขียนอาชีพแล้ว" ผมก็เดินต่อมาในโลกนักเขียนตั้งแต่วันนั้น แต่พอมาเขียนได้แล้ว การเขียนในลำดับต่อๆ มา ปรากฏว่ากว่าที่เรื่องสั้น ยาว จะให้ได้ลงนิตยสารในยุคปัจจุบันสักเรื่องกลับเป็นเรื่องสุดหฤโหด คือยากที่สุด

แล้วชอบหรือถนัดงานเขียนแนวไหนมากที่สุด
ผมชอบนิยาย นิยายเขียนง่าย แต่เรื่องสั้นเขียนยาก ยิ่งปัจจุบันมีศิลปะแนวใหม่ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อผมวาดรูปผมเขียนได้แต่แนวเรียลลิสติก ดังนั้นเมื่อเขียนเรื่อง ผมจึงไม่ชอบพวกแนวใหม่ๆ ที่อ่านแล้วง่วง

ทราบว่าคุณไพบูลย์เคยบำเพ็ญประโยชน์ช่วยเหลือสังคมโดยเป็นช่างเขียนลายข้างโลงศพมานานถึง 16 ปีและส่วนตัวชอบวาดภาพเหมือนบุคคลด้วย จึงอยากทราบว่าระหว่างการวาดรูปกับการเขียนหนังสือในความรู้สึกของคุณไพบูลย์ชอบสิ่งใดมากกว่า และทั้งสองอย่างนี้คิดว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้างคะ
การวาดรูปเหมือน ผมวาดมานานจนเบื่อที่ไม่มีอะไรใหม่ การเขียนลายข้างโลง ปัจจุบันนี้ไม่มีใครมาตามตัวผมไปเขียนลายข้างโลงอีก เพราะโลงสำเร็จเขาทำขายมีลายมาเสร็จ ทำให้ผมได้มีเวลาช่วงบั้นปลายของชีวิตมาทำงานที่ผมรัก ผมรักการเขียนหนังสือมากกว่าสิ่งใดในโลก ผมพร้อมที่จะตายคาแป้นคอมพิวเตอร์ อย่างนักเขียนรุ่นพี่บางคนที่ตายคาเครื่องพิมพ์ดีด ขอให้มีที่ส่ง - ส่งแล้วได้ลง ก็ขนาดบางที่ผมเขียนเขาพาไปพิมพ์รวมเล่มขาย ผมไม่ได้เงินเลยก็มี แต่ผมก็พอใจที่ได้เขียนได้ฝากผลงานไว้ในโลกวรรณกรรม

เคยมีนักเรียนมาขอคำแนะนำเรื่องการเขียนหนังสือกับคุณครูไพบูลย์บ้างหรือเปล่าคะ
มีครับ มีทั้งนักเรียนและพวกครูด้วยกัน นักเรียนไม่ค่อยมีปัญหา ได้รางวัลการเขียนไปแล้วเป็นสิบ ผมตรวจแก้ให้แล้วเขาก็ส่งไปลงหนังสือ "จุดประกายวรรณกรรม" คอลัมน์โรงเรียนนักเขียนน้อย ได้เงินค่าขนม แต่พวกครูและชาวบ้านค่อนข้างลำบาก มีครูผู้หญิงเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับครูผู้ชายข่มขืนนักเรียนมาให้ผมอ่าน ผมอ่านแล้ววิจารณ์ให้ฟังพร้อมชี้แนะว่าให้เขียนอย่างมีข้อคิดและสร้างสรรค์ อย่าเล่าตรงๆ แบบข่าวในหนังสือพิมพ์ เขาโกรธผมไม่เขียนอีกเลย อีกคนเป็นศิษย์แท้ๆ ของผม เคยสอนเขาตอนเป็นนักเรียนในโรงเรียนที่ตะกั่วป่า เขาติดตามงานของผมมาตลอดและสืบรู้ว่าผมอยู่ปะทิว ตอนนี้เขาเป็นพนักงานธนาคารอยู่ในกรุงเทพฯ ส่งเรื่องให้ผมผ่านอีเมล์แนบไฟล์ ฝีมือดีขึ้นเรื่อยๆ ผมกำลังลุ้นเขาอยู่คิดว่าผลงานอาจจะได้ตีพิมพ์ไม่ช้าไม่นาน

มีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเยาวชนไทยในปัจจุบันที่หันไปให้ความสนใจกับวรรณกรรมแปลของต่างชาติกันมาก
ผมคิดว่าเป็นค่านิยมอย่างหนึ่งของคนไทย ที่มักมองต่างชาติ เช่นฝรั่งหรือชาวตะวันตกว่าเลอเลิศ อย่าว่าแต่เยาวชนเลยผู้ใหญ่ก็เป็นด้วย คือนิยมชาวต่างชาติ ไม่ใช่ว่าคนไทยเขียนไม่ดี แต่คนไทยไม่ชอบส่งเสริม หรือยกย่องคนไทยด้วยกัน ยิ่งเป็นนักเขียนหากจะได้รับการยกย่องก็เมื่อตายไปแล้วโน่นแหละ…ผมเองอ่านแทบทุกเรื่องที่ดังๆ แต่อ่านแล้วก็งั้นๆ ไม่ถึงกับหลงใหลอะไร ผมตอบแบบนี้เสี่ยงมากต่อการถูกด่าและวิพากษ์วิจารณ์ แต่ทำไงได้ผมมองของผมอย่างนี้

ทราบว่าในระยะเวลาอันใกล้นี้กำลังจะมีผลงานเรื่องใหม่ออกมา อยากให้ช่วยพูดถึงหนังสือใหม่เล่มนี้ให้ฟังหน่อยค่ะ
"ในวงล้อม" หรือครับ ตัวผมเองมองว่าเรื่องในเล่มคราวนี้ ค่อนข้างจะหลากหลายและสมบูรณ์กว่า "ลายข้างโลง" คือประสบการณ์ของผมมีมากขึ้น มีเวลาให้ทำงานเขียนได้เต็มที่ เพราะลาออกจากครูมาเพื่อเขียนหนังสือโดยเฉพาะ และผมนำเรื่องที่ตีพิมพ์แล้วมาแก้ไขใหม่ มีการตัดความที่ไม่จำเป็นออก ปรับปรุงถ้อยคำสำนวนให้กระชับ บางเรื่องหาที่จบที่น่าคิดกว่ามาปิดท้ายแทนอันเดิม เอาเป็นว่าอาจจะไม่ดีสำหรับคนอื่น แต่สำหรับผมผมพอใจของผมครับ

มีการวางอนาคตหรือตั้งความหวังเกี่ยวกับงานเขียนไว้อย่างไรบ้าง
ไม่หวังมากถึงขนาดซีโรงซีไรท์ หรือรางวัลอะไรทั้งสิ้น ผมแก่แล้วรู้ตัวดีว่ามุมมองไม่ทันสมัย แถมมีทิฐิ คือไม่ชอบเรื่องแนวใหม่หรือแบบที่เขากำลังนิยมกันอยู่ ผมหัวแข็งไม่ค่อยยอมตามกระแสสังคม ผมจึงขอแค่พิมพ์อออกมา 2,000 เล่มแล้วขายหมดภายใน 1-2 ปีผมก็พอใจที่สุดแล้ว ผมอยากเป็นนักเขียนที่ขอแค่ให้มีคนซื้ออ่านเท่านั้น รางวัลไม่สำคัญ ผมเชื่อว่าคนที่อยากอ่านเรื่องที่อ่านง่ายๆ มีอยู่ แต่เขาหาหนังสือไม่เจอเพราะหนังสือคนดังและหนังสือตามกระแสปิดบังไว้หมด ผมเองกว่าจะไปหาซื้องานของตนเองได้สักเล่มยังหาแทบตาย เขาเอาไปวางซุกๆ เอาสันปกออกไว้ในมุมอับหลังร้าน ส่วนของดาราคนดังๆ หรือพวกตามกระแสเขาโชว์หน้าร้านหันปกออก

สุดท้ายออกนอกเรื่องนิดหน่อยนะคะ ทราบว่าคุณไพบูลย์เป็นนักท่องเว็บคนหนึ่ง มีข้อแนะนำอะไรฝากให้เว็บของประพันธ์สาส์นปรับปรุงบ้างมั้ยคะ
ผมว่าตอนนี้เว็บบอร์ดของประพันธ์สาส์น กำลังจะมีคนนิยมเข้ามาท่องมากขึ้นแล้วนะครับ ข้อเสนอแนะของผมก็คือ อยากให้นักเขียนคนอื่นๆ ที่พิมพ์หนังสือกับประพันธ์สาส์นเข้ามาดูแล้วโพสต์ข้อความโต้ตอบกับนักอ่านบ้าง มีความจริงอยู่อย่างหนึ่งสำหรับผมคือ ผมจะอ่านงานของเพื่อนพ้องหรือคนที่ผมรู้จักก่อนก่อนที่จะไปอ่านของคนอื่นๆ ขอสารภาพว่า เมื่อก่อนหนังสือทุกเล่ม ทุกเรื่อง ของสังคม เภสัชมาลา กับ วงเดือน ทองเจียว (ยกเว้นลูกช่างแกะสลักที่อ่านง่ายสนุก) ผมอ่านยากและไม่รู้เรื่อง ทว่าหลังจากคบค้าเป็นเพื่อนต่างวัย ไปมาหาสู่กันทำให้รักกันมาก ผมกลับชอบอ่านงานของเขามากที่สุด และทุกเรื่องของเขากลายเป็นว่าอ่านง่าย ทำไมเป็นอย่างนี้ได้ก็ไม่รู้…(เอาความรู้สึกของตนเองมาตอบ)

เรื่องเว็บบอร์ดของประพันธ์สาส์น ผมว่าหน้าตาดูดีแล้วนะ อย่างที่หรรษาคลับที่คึกคักคับคั่ง จนเขาขึ้นตัวแดงให้ ผมว่ามาจากโดม วุฒิชัย ที่เป็นตัวดึงคนอื่นเข้าไป ตอนนี้โดมมีแฟนคอยอ่านเป็นร้อย(ผมก็คนหนึ่งด้วย) นักเขียนก็เข้าไปคุยกันมากขึ้นทุกที ผมอยากให้นักเขียนที่เคยมีผลงานกับประพันธ์สาส์นสละเวลาเข้ามาเขียนอย่างที่โดมทำกับบอร์ดหรรษาคลับบ้าง

 

Writer

Sirirat Soonsakul

นักอยากเขียน ผู้รักการสะสมท้องฟ้าสีวนิลลา และใช้หมูกระทะเยียวยาจิตใจ