สัจธรรมความขัดแย้งของมนุษย์ จากบทกวีเสียงหัวเราะร่ำไห้ในโลกหล้า : บทวิจารณ์โดย ชาญชัย ขวัญสุด โครงการ อ่าน เขียน เรียนรู้ สู่ งานวิจารณ์ ปีที่ 11

สัจธรรมความขัดแย้งของมนุษย์ จากบทกวีเสียงหัวเราะร่ำไห้ในโลกหล้า

“สัจธรรมความขัดแย้งของมนุษย์ จากบทกวีเสียงหัวเราะร่ำไห้ในโลกหล้า ของศักดิ์สิริ มีสมสืบ
สู่ภาพสังคมแห่งการแย่งชิงและเอาชนะ”

 

      “แมกไม้สูงชูยอดแย่งหาแสงฉันใด คนก็แย่งเด่นเพื่อยศและชื่อเสียงฉันนั้น” นี่คือความจริงที่พบเห็นเป็นปกติในสังคม เมื่อผู้คนต่างแข่งขันกันเพื่อแสดงความเหนือกว่า ไม่ว่าจะในความคิด การงาน หรือสถานะทางสังคมเพื่อได้มาซึ่งยศศักดิ์และชื่อเสียง ตัวอย่างเช่น ในวงการทำงาน แน่นอนว่าในสังคมการทำงาน บุคลากรวัยหนุ่มสาวนับพันคนต่างต้องการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง ในองค์กรชั้นนำ หรือการเป็นผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียง แม้แต่ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง ทุกคนต่างนำเสนอข้อดี แสดงความสามารถและคุณสมบัติที่โดดเด่น แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้รับโอกาสนั้นไป สิ่งเหล่านี้คือเครื่องมือที่ใช้ตอกย้ำ “ความเหนือกว่า” เพื่อให้ได้มาซึ่งยศศักดิ์ตำแหน่งและชื่อเสียงในท้ายที่สุด

 

     เช่นเดียวกับบทกวี “เสียงหัวเราะร่ำไห้ในโลกหล้า” ของ ศักดิ์สิริ มีสมสืบ เป็นผลงานการประพันธ์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ใช้ภาษาอย่างมีพลัง ถ่ายทอดสัจธรรมแห่งความขัดแย้งของมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้งและแยบคายผ่านภาพของ “พี่และน้อง” ที่มิได้เป็นเพียงบุคคลสองคน หากเป็นภาพแทนของ “มนุษย์ทั้งโลก” ที่ต่างฝ่ายต่างยึดมั่นในความคิดของตนเอง แข่งขันกันแม้กระทั่งในอารมณ์ที่ตรงข้าม ทั้งในเสียงหัวเราะซึ่งควรสื่อถึงความสุข และเสียงร่ำไห้ซึ่งควรสื่อความเศร้า ทว่าทั้งสองกลับกลายเป็นสนามประลองของอัตตา ที่ไม่มีใครยอมลดราวาศอกให้ใคร กวีได้ขยายภาพความรุนแรงของการปะทะทางอารมณ์อย่างถึงที่สุด ผ่านบทที่ว่า

“พี่หัวร่อน้องไม่ท้อหัวร่อแข่ง
ถึงท้องคัดท้องแข็งกันงอหาย
สลับร่ำไห้เร่าทุรนทุราย
...แล้วพี่น้องสองฝ่ายก็แตกกัน”
                                                                                                                    (เสียงหัวเราะร่ำไห้ในโลกหล้า)

     นี่คือการใช้ภาพ “เสียงหัวเราะ และเสียงร่ำไห้” เป็นสัญลักษณ์ของสนามประลองทางอัตตา ที่ความสุขและความทุกข์ถูกนำมาเป็นอาวุธในการเอาชนะกัน บทกวีสะท้อนให้เห็นว่า ความขัดแย้งมิได้เกิดจากความแตกต่างของความคิดเท่านั้น แต่เกิดจาก “ความอยากชนะ” ที่ฝังอยู่ในใจมนุษย์โดยธรรมชาติ จนกระทั่งโลกทั้งใบต้องสั่นสะเทือนจากความดื้อรั้น เป็นสัญลักษณ์ของมนุษย์ในสังคมที่ขัดแย้งกันและแสวงหาชัยชนะมากกว่าความเข้าใจ

 

     กวีท่านนี้ใช้ภาพ “เสียงหัวเราะ และ เสียงร่ำไห้” เป็นสิ่งแทนการแข่งขันและการเอาชนะของมนุษย์ การใช้สองอย่างนี้ร่วมกันสะท้อนให้เห็นธรรมชาติขัดแย้งของมนุษย์ เพราะมนุษย์ไม่ได้มีเพียงความสุขหรือความทุกข์เพียงด้านเดียว แต่ทั้งสองด้านสามารถปะปนและผลักดันให้เกิดการแข่งขันกันได้

 

     “เสียงหัวเราะ” คือด้านร่าเริงของมนุษย์ แม้จะแสดงถึงความสนุกสนานและความสุข ก็อาจสุดโต่งจนกลายเป็นความทะเยอทะยาน ความปรารถนาที่จะเหนือกว่า หรือการแสดงตนเพื่อชนะและเป็นใหญ่ ในทางกลับกัน “เสียงร่ำไห้” คือด้านอ่อนแอและอารมณ์ทุกข์ของมนุษย์ แม้โดยธรรมชาติจะสะท้อนความเปราะบาง ความเศร้า หรือความต้องการความเห็นใจ แต่ในสังคมที่แข่งขันกันสูง ความทุกข์เหล่านี้กลับถูกดึงมาเป็นเครื่องมือแสดงตนหรือเวทีแข่งขันทางอารมณ์ ผู้คนมักเปรียบเทียบความเศร้า ความเจ็บปวด หรือความทุกข์ของตนกับผู้อื่น เพื่อชี้ให้เห็นว่า “ความทุกข์ของฉันใหญ่กว่า” ฉะนั้นการแข่งขันนี้จึงมิใช่เกิดจากความร่าเริงหรือความสุขเพียงอย่างเดียว หากเกิดจากการนำด้านอ่อนแอและความทุกข์มาเป็นเวทีประลอง แสดงให้เห็นว่า แม้ความอ่อนแอเองก็ไม่สามารถหลีกพ้นความขัดแย้งและการแข่งขันในสังคมได้

 

     กวีใช้คำว่า “พี่และน้อง” ในบริบทนี้ไม่ได้จำกัดเพียงความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่เป็นภาพแทน “ประชาชนในชาติเดียวกัน” ที่มีความคิดเห็น ความเชื่อ หรือผลประโยชน์แตกต่างกัน นั่นคือภาพสะท้อนสังคมไทยโดยตรง กวีอาจกำลังพูดถึง “ความแตกแยกในสังคม” ที่คนในประเทศเดียวกันแข่งขันกัน ไม่ยอมกัน เหมือนพี่น้องในบ้านทะเลาะกันเอง ต่างแก่งแย่งเอาดีเอาเด่น จนบ้านเมืองเดือดร้อน

 

     การแข่งขันโดยธรรมชาติถือเป็นแรงผลักดันเชิงบวกที่ช่วยให้มนุษย์พัฒนาตนเองและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ แต่ในบทกวี “เสียงหัวเราะร่ำไห้ในโลกหล้า” จะเห็นว่าเมื่อการแข่งขันถูกครอบงำด้วย “ความอยากชนะ” โดยปราศจากความเข้าใจหรือการยอมรับในคุณค่าของผู้อื่น มันจะกลายเป็นพลังทำลายล้างทันที เป้าหมายของพี่น้องคู่แข่งเปลี่ยนจากการพัฒนาตนเองไปสู่การทำให้อีกฝ่ายด้อยลง ความสัมพันธ์ที่เคยมีฐานจากความเป็น “พี่น้อง” จึงถูกแทนที่ด้วยความเป็น “คู่แข่ง” ที่มองอีกฝ่ายเพียงเป็นอุปสรรคต่อความรุ่งโรจน์ของตน

 

     การหัวเราะและร่ำไห้ที่เคยเป็นอารมณ์ส่วนตัว จึงกลายเป็นเวทีแข่งขันเกิดความขัดแย้งที่ลุกลามสู่การทำลายล้าง ทั้งทางความสัมพันธ์ระหว่างคนและสังคมโดยรวม อีกประการหนึ่งคือ “การปฏิเสธการรับฟัง” ต้นตอแห่งความร้าวฉานในบริบทของบทกวีนี้

 

     การรับฟังเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเน้นย้ำ ในบทกวีความขัดแย้งเกิดจากการที่พี่และน้องเลือกที่จะปิดกั้นการรับฟัง และหันไปใช้การเปล่งเสียงเพื่อเอาชนะแทน จากบทกวีที่ว่า “พี่ว่า เสียงหัวร่อสิยิ่งใหญ่ น้องว่า เสียงร่ำให้สิโลกสนั่น” คือจุดเริ่มต้นของการปฏิเสธการรับฟังอย่างมีนัยยะสำคัญ การยึดมั่นในความเชื่อของตนเอง แต่ละฝ่ายไม่ได้เสนอความจริงเพื่อแบ่งปันหรือแลกเปลี่ยน แต่เป็นการประกาศความยิ่งใหญ่ของมุมมองหรืออารมณ์ของตนเอง “พี่ว่า” และ “น้องว่า” แสดงถึงการประกาศจุดยืนที่แข็งกร้าวและไม่ยอมอ่อนข้อ ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างตั้งตนเป็นผู้ให้ความหมายสูงสุดแก่ปรากฏการณ์ที่ตนเชื่อ โดยไม่มีพื้นที่ให้แก่การพิจารณาว่าคุณค่าของเสียงอีกฝ่ายหนึ่งนั้นมีความสำคัญอย่างไร พฤติกรรมที่ว่า “ต่างแผดยั่ว หัวเราะลั่น, ร่ำให้โฮ” คือผลลัพธ์โดยตรงของการปฏิเสธการรับฟัง เมื่อไม่มีใครยอมลดระดับเสียงลงเพื่อเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนที่เข้าใจกันได้ การแสดงออกทางอารมณ์จึงยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเพื่อเรียกร้องความสนใจและเอาชนะ ในสถานการณ์เช่นนี้ การรับฟังจึงถูกบิดเบือนไปสู่ “การรอคอยจังหวะโต้ตอบ” เท่านั้น ไม่ใช่การทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการคลี่คลายความขัดแย้งได้

 

     ในชีวิตประจำวัน เสียงเตือนของผู้ใหญ่หรือผู้มีประสบการณ์มักทำหน้าที่เตือนสติให้ผู้คนรู้จักระงับอารมณ์และพิจารณาการกระทำของตน เช่นเดียวกับบทบาทของแม่ในบทกวีนี้ เพราะกวีได้แทรกเสียงแม่เข้ามาอย่างเด่นชัด บทกวีกล่าวว่า

“อ้ายคนหัวร่อร่า เพียงหน้าจ้อย
อ้ายคนร่ำไห้ละห้อย เพียงหน้าเจื่อน
แล้วความมืดมัวก็มาเยือน
เสียงแม่เตือนแกมเหน็บ ว่าเจ็บคอ”
                                                                                                                (เสียงหัวเราะร่ำไห้ในโลกหล้า)

 

     เสียงแม่ในที่นี้ทำหน้าที่สะท้อนสติและขอบเขตของความเหมาะสม การเตือนว่า “เจ็บคอ” เปรียบเสมือนการเรียกให้พี่น้องหยุดพฤติกรรมแข่งขันกันอย่างสุดโต่ง และกลับมาพิจารณาตัวเองใหม่ การแกมเหน็บในคำพูดของแม่ยังสะท้อนว่า แม้การเตือนจะเข้มงวดหรือแฝงความไม่พอใจ แต่ก็เป็นการชี้แนวทางเพื่อไม่ให้ความขัดแย้งบานปลาย เสียงแม่สามารถมองได้ว่าแทน สถาบันหรือขนบธรรมเนียมของสังคมที่คอยกำกับพฤติกรรมของผู้คน เสียงเตือนนี้สะท้อนบทบาทของสังคมใหญ่ที่พยายามรักษาความสงบและสมดุล ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างฝ่ายที่ขัดแย้ง เพื่อให้การแข่งขันหรือความขัดแย้งไม่ลุกลามจนเกิดความเสียหาย ทว่ามนุษย์มักรับฟังสำนึกเพียงชั่วคราว เมื่อมีโอกาสก็กลับไปทำผิดซ้ำ เช่นเดียวกับภาพในบทกวีตอนสุดท้ายที่พี่น้องหัวเราะและร่ำไห้แข่งขันกันอีกครั้ง เสียงเตือนของแม่ ซึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของสติและขอบเขต กลับแผ่วเบาและคล้ายถูกกลบไปในโลกที่ผู้คนต่างมุ่งแต่จะชนะ การแข่งขันและความอยากเหนือกว่าได้กลืนเสียงเตือนนั้น จนความขัดแย้งและอารมณ์สุดโต่งกลับคืนมาอีกครั้ง

 

     ในบทกวี “เสียงหัวเราะร่ำไห้ในโลกหล้า” นี้ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในหมู่คนทั้งสังคม การแข่งขันที่ไร้ความเข้าใจนี้มักทำให้ความสงบและความสมดุลของสังคมสั่นสะเทือน และเกิดความแตกแยกผิดใจกันในที่สุด การแข่งขัน การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่เมื่อขาดการรับฟัง ความสัมพันธ์กลับกลายเป็นเวทีเอาชนะกัน เสียงหัวเราะและเสียงร่ำไห้ในบทกวีนี้สะท้อนอารมณ์ที่ถูกนำมาแข่งขันแทนการแข่งขันของคนในสังคม สามัญสำนึกและคำเตือนของสังคมมักถูกละเลย ทำให้ความขัดแย้งวนซ้ำไม่จบสิ้น ปรากฏการณ์นี้สะท้อนความขัดแย้งในสังคมที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ทั้งระดับบุคคลไปจนถึงสังคมขนาดใหญ่ เราจึงควรฝึก “การรับฟังและเข้าใจผู้อื่น และคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคม” เพื่อลดการแข่งขันสุดโต่งและสร้างสมดุลร่วมกัน

 

บทวิจารณ์โดย ชาญชัย ขวัญสุด
โครงการ อ่าน เขียน เรียนรู้ สู่ งานวิจารณ์ ปีที่ 11

Writer

The Reader by Praphansarn