เป็นหนุ่มมากความสามารถที่น่าจับตามองอีกคนหนึ่งสำหรับ แคน-อติรุจ กิตติพัฒนะ หนุ่มหล่อเสียงดีที่แจ้งเกิดมาจากเวทีเดอะสตาร์ เขาโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงพักใหญ่ก่อนชีวิตจะพลิกผันให้ต้องโบกมือลาอาชีพในฝันและเลือกเดินบนเส้นทางสายข่าวที่เข้ามาเป็นเหมือนโอกาสใหม่ในชีวิต การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นทำให้เขาต้องปรับชีวิตตัวเองครั้งใหญ่ และต้องเริ่มต้นเรียนรู้งานในสายอาชีพใหม่จากศูนย์ จากวันนั้นถึงวันนี้อะไรที่ทำให้เขาก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ จนสามารถยืนหยัดในฐานะ ‘คนข่าว’ มาได้เกือบเก้าปี และอะไรคือโอกาสครั้งสำคัญที่หนุ่มแคนบอกกับเราว่ามันพลิกชีวิตการเป็นผู้ประกาศข่าวของเขาไปเลย วันนี้คุยนอกรอบมีคำตอบมาให้
จากนักร้องมาเริ่มต้นเป็นผู้ประกาศข่าวได้ยังไง
“มันเกิดจากตอนที่เราเรียนอยู่เลยครับ พอเรียนนิเทศมันก็ต้องหาลู่ทางในการทำงาน มันคือต้องหาการประกวดนี่แหละ ผมก็เลยประกวดร้องเพลง พิธีกรก็ประกวด แล้วมันก็มีหนึ่งงานคือการแข่งขันผู้ประกาศของช่อง 9 อสมท. ตอนนั้นเขาเปิดออดิชั่นเพื่อที่จะหาคนมาทำงานจริง เราก็ไป สรุปได้เป็นตัวแทนภาคมาแข่งขันในกรุงเทพฯ จนในที่สุดคัดมาเหลือ 4 คนที่เขาเลือกทำงานจริงๆ แล้วเราได้ ตอนนั้นก็คือจะได้เป็นผู้ประกาศข่าวที่ช่อง 9 เลยครับ เขาก็ถามว่าสามารถมาอ่านข่าวทุกวันได้ไหม แต่ว่าเราเรียนที่เชียงใหม่ก็เลยปฏิเสธ ก็เลยสุดท้ายต้องสละสิทธิ์ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่มันเริ่มมีความเกี่ยวโยงกับวงการข่าว แล้วหลังจากนั้นปีต่อมาก็ประกวดเดอะสตาร์ คนก็เลยรู้จักเราในฐานะนักร้องจากเวทีประกวด หลังจากนั้นเราก็ใช้ชีวิตเป็นนักร้องอยู่ประมาณหนึ่ง มันก็มีขึ้นมีลงนะ เราก็มีงานบ้างไม่มีงานบ้าง แล้วก็โอกาสที่ผู้ใหญ่มอบให้ก็จะเป็นงานพิธีกรซะมากกว่าการร้องเพลง ตอนนั้นก็มีรายการของ ACT Channel ทางช่อง 5 ที่เราทำอยู่ แต่พอมันเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ทีวีดิจิตอล ตอนนั้นทุกอย่างก็เลยยุบหมดเลย งานพิธีกรก็ถูกยุบ แต่พอดีเขาเปิดช่อง ONE ก็มีการระดมหาทีมข่าว แล้วพี่อุ๋ย ภาคภูมิ พันธุ์สถิต ที่เคยเป็นหัวหน้าดูแลการประกวดผู้ประกาศช่อง 9 ตอนนั้นก็มาชวนว่าแคนยังอยากอ่านข่าวอยู่ไหม เราอยากลอง และมันก็เป็นเหมือนโอกาสที่มาหาเราด้วย ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นเมื่อประมาณ 9 ปีที่แล้วครับ”
ต้องปรับตัวเยอะไหมจากนักร้องนักแสดงมาเป็นผู้ประกาศข่าว
“ปรับตัวเยอะครับ เพราะว่ารูปแบบการทำงานก็ต่างกัน เวลาเราเป็นนักร้องเนี่ย ถ้ามีงานก็คือมีรถตู้มารับไปร้องเพลง ประมาณชั่วโมงหนึ่งเสร็จก็กลับ ก็จบ นอกนั้นก็ซ้อมเอง ออกกำลังกายแล้วก็ดูแลตัวเอง แต่พอมาเป็นงานข่าวกลายเป็นว่ามันต้องทำงานทุกวัน เป็นเวลาประจำและเป็นรายการสด ก็เลยค่อนข้างปรับตัวในการใช้ชีวิตพอสมควร ผมต้องเริ่มศึกษาใหม่ เริ่มนับจากศูนย์เลยครับ เพราะว่าเราไม่เข้าใจวงการข่าว เราไม่รู้วงการข่าวเขาทำงานกันยังไง ข้อมูลต่างๆ วิธีการทำงาน รูปแบบการทำงาน ช่วงแรกก็แค่อ่านได้ พออ่านได้เราก็นึกว่าเราทำได้แล้ว แต่ว่าจริงๆ มันไม่ใช่ เพราะว่าคนข่าวมันมีอะไรมากกว่านั้น มันมีข้อมูลเยอะมากๆ ที่เราต้องศึกษา ไม่มีใครสามารถเป็นคนข่าวที่เก่งได้ภายในปีสองปี มันต้องเป็นสิบปีอัพ มันต้องสะสมทุกอย่าง บางทีเราไม่รู้ ก็ค่อยรู้ บางทีเราไม่เคย ก็ค่อยเคย สะสมไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นครั้งแรกยากมากๆ ในการปรับตัวครับ”
ต้องเตรียมตัวยังไงบ้างกับการทำหน้าที่อ่านข่าวในแต่ละวัน
“ทุกวันทีมงานจะมีสคริปต์มาให้ แล้วจะมีหนังสือพิมพ์ให้ปึกหนึ่ง สิ่งที่เราต้องทำก็คืออ่าน ทีมเรื่องเล่าเช้านี้เป็นทีมที่ให้ความสำคัญกับหนังสือพิมพ์มากๆ ผู้ประกาศจะต้องมีหนังสือพิมพ์เป็นชุดหลายๆ เล่มในแต่ละวันเพื่อที่จะอ่าน เพราะว่าในหนังสือพิมพ์มันเป็นการฝึกจับประเด็น ผู้ประกาศข่าวเก่งๆ จะต้องฝึกจับประเด็นเก่ง จับประเด็นเก่งมันใช้ได้หลายอย่าง เวลาเห็นสคริปต์เยอะๆ สามารถที่จะอธิบายให้คนเข้าใจง่ายๆ อีกอย่างเวลาเราสัมภาษณ์แล้วเราจับประเด็นเก่งมันจะทำให้งานสัมภาษณ์นั้นไม่เสียเวลาและมีคุณภาพ และข้างในหนังสือพิมพ์มันเต็มไปด้วยข้อมูลที่เขาจับประเด็นมาให้แล้ว ซึ่งผมก็ต้องมาฝึกใหม่ที่ช่องสามเลยนะ เมื่อก่อนอ่านหนังสือไม่เป็น คำว่าอ่านไม่เป็นก็คือเราก็แค่อ่านๆ ไป ไม่ได้อ่านเพื่อที่จะได้อะไร แต่ตอนนี้เราเข้าใจแล้วว่าเราต้องการอะไร เราก็จะรู้เลยว่าหนังสือพิมพ์เราเห็นหัวแล้ว เราก็จะตอบได้ว่าเราต้องการเรื่องนี้ๆ นะ มันกลายเป็นว่าเราสามารถจับประเด็นได้ดีขึ้นโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ”
สิ่งที่ยากที่สุดในการเป็นผู้ประกาศข่าวสำหรับแคนคืออะไร
“มันคือข้อมูลเบื้องลึกเบื้องหลังด้านในครับ มันคือความรู้จริงไม่รู้จริง เนื้อข่าวเนี่ยเรามีมาเหมือนกันใช่ไหมครับ แต่ทำไมคนนี้พูดกับคนนั้นพูดถึงไม่เหมือนกัน แล้วทำไมคนเลือกที่จะเชื่อคนนั้นมากกว่า นั่นเป็นเพราะว่าเขาเชื่อในความสามารถและเขาเชื่อในความเก๋า ซึ่งความเก๋าเกมตรงนี้เด็กรุ่นใหม่ที่เพิ่งมามันไม่สามารถทำได้ สิ่งเหล่านี้มันต้องเกิดจากการที่เราอ่านข่าวมานาน ทำมานานจนคนเชื่อมั่น นั่นแหละครับเป็นสิ่งที่ยากที่ผมต้องทำอะไรเยอะมากในการศึกษา ตอนแรกผมก็พยายามอ่านข่าวเพิ่มขึ้นแต่มันก็ยังไม่ดี จนในที่สุดผมตัดสินใจคุยกับช่องเลยว่าต้องมีช่วงที่เป็นของตัวเอง ช่วงนี้เราจะต้องออกกองเพื่อไปเริ่มต้นตั้งแต่เบสิคเลยครับ ไปทำข่าว ไปสัมภาษณ์แหล่งข่าว เขียนบทข่าว มาคุมตัดต่อสกู๊ป เราต้องทำกระบวนการทุกอย่างไปพร้อมกับการอ่านข่าวไปด้วย ช่วงนั้นก็เลยหนักมากๆ ชีวิตเริ่มต้นตั้งตีสามครึ่งยันสองทุ่ม วนอยู่อย่างนี้ไม่หยุด แต่ว่าสิ่งที่ได้มาก็คือ มันเริ่มเข้าใจ มันค่อยๆ ซึมซับ คราวนี้เราก็แค่ทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เพราะว่ายิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไหร่ เราเชื่อว่ามันก็จะยิ่งมีสิ่งอื่นเข้ามาเรื่อยๆ แล้วคนจะเชื่อถือเรามากขึ้น”
คิดว่าการจะเป็นผู้ประกาศข่าวได้ต้องมีคุณสมบัติยังไงบ้าง
“แคนว่ามันหลายๆ อย่างนะครับ อย่างแรกที่คนอาจจะมองว่าไม่เกี่ยวแต่แคนว่าเกี่ยวก็คือเสียง แคนว่าเสียงก็มีส่วนสำคัญ ถ้าเสียงน่าฟังมันมีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว นอกจากนั้นก็เรื่องของจังหวะจะโคน แล้วก็สิ่งสำคัญคือเขาต้องเป็นนักเล่าเรื่อง คนที่เล่าเรื่องแล้วน่าสนใจ อันนี้ผมว่ามีคุณสมบัติหนึ่งที่จะเป็นผู้ประกาศข่าวได้ เพราะถึงแม้ว่าเราจะอ่านข่าวตามสคริปต์ไปเรื่อยๆ แต่ถ้าไม่น่าสนใจคนก็ไม่ฟังอยู่ดี อย่าลืมว่าข่าวทุกช่องเหมือนกัน เราได้แหล่งข่าวมาแหล่งเดียวกัน แต่อยู่ที่ว่าใครจะสามารถนำเสนอได้น่าสนใจยังไง เขามีชั้นเชิงในการนำเสนอยังไงมากกว่า ผมก็มานั่งศึกษาจากพี่สรยุทธ สุทัศนะจินดา ผมก็ดูว่าทำไมเขาถึงเล่าข่าวได้ดูธรรมชาติมากเลย เหมือนเขากลืนทุกอย่างเข้าไปแล้วพูดออกมา นั่นเพราะพี่สรยุทธอ่านเยอะมาก เขาอ่านหนังสือพิมพ์เยอะมากๆ จนเราตกใจ ซึ่งเราเห็นต้นแบบแล้ว เข้าใจแล้วว่าวิธีการเป็นอย่างนี้ เราก็แค่ต้องทำ คือการเป็นผู้ประกาศมันมีความโชคดีคือเราได้อ่านทุกวัน ในการอ่านทุกวันมันก็คือการฝึกทุกวันๆ เป็นการค่อยสะสมไปเรื่อยๆ ครับ”
มีโอกาสได้ไปจัดรายการโหนกระแสแทน ‘หนุ่ม กรรชัย’ ตอนนั้นรู้สึกยังไง
“คือแคนรู้เรื่องนี้ตอนห้าทุ่มนะ แล้วอีกวันต้องมาจัด เพราะว่าโหนกระแสเขาต้องเลือกเรื่องกันกลางคืน เพราะมันต้องวันต่อวัน ตอนนั้นพี่หนุ่มก็ถามคำถามเดียวว่า แคนกล้าจัดโหนกระแสไหม ตอนนั้นผมคิดอยู่สองอย่าง อย่างแรกก็คือไม่เอาดีกว่า เรารู้อยู่แล้วว่าโหนกระแสใครมาจัดก็โดนด่า ใครจะไปแทนพี่หนุ่มได้ เขาสร้างแฟนคลับ สร้างมาตรฐานไว้สูงมาก แล้วตัวรายการก็ไม่ง่ายเลย ผมก็คิดเกือบจะปฏิเสธแล้ว แต่อีกใจก็คิดว่าตั้งแต่เราย้ายมาอยู่ช่องสาม โอกาสต่างๆ มันไม่ได้มาง่ายๆ นะครับ คนที่เป็นผู้ประกาศจะรู้ว่าโอกาสที่คุณจะมาในเวทีข่าวมันยากมากๆ แล้วมันจะมีสักกี่ครั้งในชีวิตที่ผู้ประกาศตัวเล็กๆ อย่างเราจะได้ไปจัดรายการโหนกระแส ซึ่งผมถือว่ามันเป็นรายการทอล์คอันดับหนึ่ง ณ ตอนนี้ ก็เลยคิดว่าโอกาสมันมีแค่ครั้งเดียว ลองก็ได้วะ ก็เลยตัดสินใจบอกว่ากล้าครับ หลังจากนั้นก็เครียดเลย ผมนอนไม่หลับเลยคืนนั้น”
มีเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนเข้ารายการแคนเตรียมตัวยังไงบ้าง
“ผมจดบทไว้เลยว่าผมจะพูดอะไรบ้าง แล้วหลังจากนั้นเราก็เขียนว่าเบรกแรกเราจะถามอะไรบ้าง จดไว้เผื่อเราจะได้เอาไว้ดู นี่คือการเตรียมตัว แต่ว่าก่อนจะเข้ารายการพี่หนุ่มก็บอกว่าอย่าพยายามเป็นพี่ เพราะว่าคนเรามันไม่เหมือนกัน บางอย่างพี่พูดอาจจะแรง แต่คนฟังอาจจะรู้สึกว่าไม่แรงไม่หยาบ แต่บางอย่างแคนพูดเหมือนกัน คนฟังอาจจะรู้สึกว่ามันหยาบก็ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือเป็นตัวเอง แล้วก็จับประเด็นให้ครบแค่นั้นเอง มันก็ค่อนข้างท้าทายพอสมควรนะ แต่พอถึงห้าสี่สามสองหนึ่งจริงๆ ผมไม่ได้ดูไอ้ที่จดมาเลย เพราะว่ามันไม่เป็นตามแผน คนนี้ตอบอย่างนี้ อีกคนตอบอย่างนี้ พอมันไม่ได้เป็นตามแผนมันก็ต้องสดเอาหน้างาน แต่แค่ต้องคีปไว้ว่าเราต้องเป็นตัวเราให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ คือวันจัดจริงไม่ใช่แค่ผมที่เครียด ทีมงานเขาก็เครียดกันด้วย แต่ทุกคนก็ส่งกำลังใจ เอาใจช่วย แล้วพี่หนุ่มก็โทรมาให้กำลังใจด้วย ต้องขอบคุณพี่หนุ่มมากครับ เพราะว่าเขาติดธุระแต่ว่าเขาก็ยังเข้ามาดูไลฟ์ แล้วก็มาช่วยให้กำลังใจ หลังจากวันนั้นมันก็เลยกลายเป็นว่าพลิกชีวิตการเป็นผู้ประกาศของผมไปเลยเหมือนกัน คนส่งกำลังใจกันมาเยอะมากๆ เหมือนกับแจ้งเกิดในวงการข่าวหลังจากที่อ่านข่าวมาประมาณแปดปี เพิ่งแจ้งเกิดตอนนี้เพราะว่าคนได้รู้ว่าเราเป็นผู้ประกาศได้นะ เราทำรายการโหนกระแสรอดนะ”
แคนคิดว่าอาชีพผู้ประกาศข่าวมันให้อะไรกับเรา
“มันให้เยอะมากเลยฮะ แน่นอนอย่างแรกให้เราเลี้ยงชีพได้ อย่างที่สองมันให้ความภูมิใจมากๆ ในการทำงานนี้ เพราะว่ามันเป็นงานที่เราจะเก่งขึ้นทุกวัน หมายความว่าเรามีความรู้ใหม่ๆ เพิ่มทุกวันโดยที่เราไม่ต้องไปขวนขวาย เพราะว่าทุกอย่างมันถูกเรียงมาอยู่แล้วว่าเราจะต้องอ่าน เราจะต้องพูด มันสอนการใช้ชีวิตเพราะเราเห็นเคสต่างๆ จากในข่าวเยอะว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง สร้างความรอบคอบมากขึ้นในการใช้ชีวิตและเรื่องของการวางแผนชีวิต เรื่องของเคสต่างๆ ผมว่ามันเป็นสิ่งที่สอนตัวเราได้ทุกวัน ก็เลยรู้สึกว่าอาชีพนี้มันมีคุณค่ามากๆ กับตัวเรา และเราก็ยังเป็นกระบอกเสียงให้คนอื่นได้ด้วย ตอนแรกที่ผมเรียนสื่อสารมวลชนเนี่ยผมอยากเป็นดารา ผมอยากเป็นศิลปิน มันเป็นความฝันตั้งแต่เด็ก เรื่องของการเป็นคนข่าวไม่เคยอยู่ในหัวเลยในตอนเรียน แต่พอมาทำจริงผมว่าอาชีพนี้แหละคืออาชีพที่มันให้สำหรับเรา เพราะว่าทำแล้วมันมีความสุขครับ”
ทราบมาว่าแคนเคยไม่ชอบภาษาอังกฤษมากๆ แล้วทำไมถึงมาทำพิธีกรภาคภาษาอังกฤษได้
“ต้องเกริ่นให้ฟังก่อนว่าแคนกลัวมากและก็เป็นคนที่ไม่เก่ง ถึงขั้นตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยผมไม่อ่านหนังสือภาษาอังกฤษเลย และก็ไม่ชอบเรียนภาษาอังกฤษเพราะไม่เข้าใจเลย เรารู้สึกว่าคงพูดไม่ได้แน่นอน จนเข้ามาทำงานในสายพิธีกรนี่แหละ เราก็เห็นว่าการใช้ภาษาอังกฤษในการทำงานมันเยอะมากเลยนะ ก็ลองพยายามเรียนภาษาอังกฤษหลายครั้งมากๆ จนมารู้หลักการเรียนภาษาอังกฤษว่าเราไปโฟกัสผิดจุด บางทีการที่เราพูดได้เราแค่ใช้มันแค่นั้นเอง พอเปลี่ยนความคิดประกอบกับตอนนั้นมีแฟน แล้วแฟนผมเป็นคนที่เก่งภาษาอังกฤษมาก เขาบอกว่าภาษาอังกฤษมันสำคัญนะ อยากให้ลองศึกษาดู ช่วงแรกที่คุยก็ลองคุยภาษาอังกฤษกัน จีบกันแรกๆ คือการเอาเพลงภาษาอังกฤษมาแปล เราก็เหมือนสนุกอะ ทำไปทำมาก็ตัดสินใจว่าลองไปเรียนดีกว่า เรียนตั้งแต่พื้นฐานเลยครับ แล้วก็เริ่มเปลี่ยนมายเซ็ตใหม่ว่าจริงๆ แล้วการเรียนภาษาอังกฤษเราไม่ควรจะต้องคิดเป็นภาษาไทย ภาษาอังกฤษก็คือภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้นเราเข้าใจมันเป็นภาษาอังกฤษไปเลย ไม่ต้องมาคอยแปล แค่เข้าใจ ทีนี้พอเราเจอฝรั่งก็บุกเลย คุยไม่รู้เรื่องก็ใช้ภาษามือบ้าง ก็เลยกลายเป็นว่ามันก็ไม่ได้ยากนี่นา แล้วเราก็สนุกในการที่จะคุย หลังจากนั้นผมก็เลยลองรับงานพิธีกรภาษาอังกฤษดู แล้วเป็นงานของกระทรวงต่างประเทศด้วย ซึ่งบทพูดยาวเหยียดเลย วิธีของผมคือท่องไปก่อน ท่องให้สุด แต่แค่ต้องกล้า แล้วไม่น่าเชื่อว่ามันผ่านมาได้ ในภาษาอังกฤษที่สำเนียงอาจจะไม่ได้เนทีฟ ซึ่งผมว่าเรื่องของสำเนียงอย่าไปสนใจมาก เพราะว่าการสื่อสารก็คือการสื่อสาร อังกฤษของสิงคโปร์ก็เป็นแบบหนึ่ง อังกฤษของคนจีนก็เป็นแบบหนึ่ง อังกฤษของคนไทยก็อีกแบบหนึ่ง แต่ละคนก็มีสำเนียงเป็นของตัวเอง เพราะฉะนั้นเรื่องของสำเนียงอย่าไปสนใจ ขอแค่คุณสื่อสารถูกต้องและเข้าใจแค่นี้ก็พอแล้ว มันก็เลยทำให้ผมกล้าพูดมากขึ้น แล้วกลายเป็นว่าพอกล้าพูดมากขึ้นสำเนียงมันก็ดีขึ้นเองครับ”
หลักคิดหรือคติในการทำงานของแคนคืออะไร
“ไม่มี (หัวเราะ) คือแคนรู้สึกว่าเราแค่ต้องทำแต่ละวันแบบไม่ประมาท หมายถึงว่าทุกอย่างมันต้องมีการวางแผนว่าเราจะต้องทำอย่างนี้ให้ได้นะ แต่ว่าแค่ไม่กดดัน แค่รู้ว่าวันนี้เราต้องทำอะไร แล้วลองทุ่มเทกับวันนั้นให้มันจบ แล้วค่อยมาประเมินตัวเองว่าวันนี้โอเคไหม มีอะไรต้องแก้ไหม แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องทำอะไร ก็แค่ต้องวางแผนไปวันต่อวัน แต่ในภาพรวมผมก็จะมองว่าจริงๆ แล้วชีวิตต้องการอะไรกันแน่ คือตอนเด็กๆ ผมอยากจะรวยมากๆ เลย แต่พอมาในวัยนี้ พอเริ่มมีเงิน แล้วเราก็ทำงานเยอะ เงินก็ไม่ได้ใช้ แล้วสุดท้ายพอจะใช้ก็ใช้กับอะไรไร้สาระที่ไม่จำเป็น ก็เลยเริ่มหันมามองว่าเราควรจะต้องบาลานซ์ชีวิตตัวเองขนาดไหน ตอนนี้ผมก็เลยปรับว่าจะต้องแบ่งเวลาให้ชัดเจนทั้งการทำงานและการใช้ชีวิต ถ้าเห็นในโซเชียลของผมคือผมจะกลับบ้าน กลับไปทำกับข้าวกับคุณพ่อคุณแม่ เริ่มให้เวลากันมากขึ้น เพราะถ้านับเวลาจริงๆ ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยผมก็คือออกจากบ้านไปเลยนะ เจอพ่อแม่ปีละสองครั้งตอนปิดเทอม แล้วพอเข้าเดอะสตาร์อยู่กรุงเทพฯ ทำงานทุกวัน กลับบ้านเดือนละครั้ง ผมรู้สึกว่ามันน้อยไปก็เลยเริ่มแบ่งเวลามากขึ้น หรืออย่างเวลาเจอกับแฟนบางทีอาจจะไม่เยอะ แค่ยี่สิบนาทีไปส่งตอนเช้า แต่บางทีการเจอกันทั้งวันอยู่กันทั้งวันแต่เวลาเสียเปล่า กับเวลายี่สิบนาทีแต่เป็นเวลาคุณภาพอาจพอมากกว่าก็ได้ กลายเป็นว่าทุกวันนี้เราเริ่มมองหาความสุขในชีวิตคือการที่ได้ใช้เวลาทำงานที่รักแล้วก็มีเวลากับคนที่เราแคร์ ที่เราให้ความสำคัญ ก็เลยไม่ได้มีวางแผนว่าอนาคตมันจะเป็นยังไง แต่แค่วันนี้มันโอเค เราเชื่อว่าถ้าเกิดทุกวันนี้มันโอเคในอนาคตมันจะโอเคครับ”
เป็นทั้งผู้ประกาศ พิธีกร ดีเจ นักลงเสียงโฆษณา อินฟลูเอนเซอร์ วันนี้มีอะไรที่อยากทำแล้วยังไม่ได้ทำอีกไหม
“พากย์หนังครับ เป็นงานที่ผมว่ามันยากที่สุดที่ผมยังทำไม่ได้ คือเราสนใจการพากย์หนังมาตั้งแต่เด็ก ชอบดูหนังพากย์ไทย ชอบดูเบื้องหลังการพากย์ จนได้มีโอกาสทำรายการหนังกับคุณเฮนรี่ ทราน เขาเป็นบอสของวอเนอร์บราเธอส์ประเทศไทย เขาก็คุมหนังหลายๆ เรื่องที่เราชอบแหละฮะ อย่างแฮร์รี่ พอตเตอร์ แล้วเราก็สนใจเรื่องนักพากย์มากๆ จนไปถึงขั้นเราไปลงเรียนพากย์จริงจัง แล้วเราก็ได้ลองเทสต์ ลองสอบ แต่ว่าไม่ได้สักที คือเราพากย์โฆษณาได้ เราพากย์ลงเสียงในสกู๊ปพวกนี้เราทำงานได้ แต่การพากย์หนังพวกนี้มันคนละฝั่งกัน มันคือการเป็นตัวละครตัวนั้นไปจริงๆ ซึ่งมันยากมากนะ นี่เป็นงานหนึ่งที่ยังไม่ประสบความสำเร็จในการทำ และก็ยังหวังว่าวันหนึ่งจะทำได้ครับ”
คิดว่าวันนี้ชีวิตตัวเองประสบความสำเร็จหรือยัง
“ผมว่าประสบความสำเร็จในด้านความรู้สึกมากกว่า เพราะเรารู้สึกว่าทุกวันนี้เราแฮปปี้กับการใช้ชีวิต ผมเห็นเพื่อนๆ หลายคนเครียดกับการทำงาน แต่ตัวผมรู้สึกว่าไม่ได้เครียด รู้สึกว่าทุกวันนี้เราทำงานแล้วเราค่อนข้างแฮปปี้ อันนี้ผมคิดว่าประสบความสำเร็จนะ แต่ไอ้ตัวรายได้ ไอ้ตัวประสบความสำเร็จในการทำงาน ผมไม่รู้ว่าจุดวัดมันอยู่ตรงไหน แต่ถ้าเอาความสุขในการทำงานและการใช้ชีวิตตอนนี้ผมว่าโอเค ประสบความสำเร็จ ไม่ได้รู้สึกมีอะไรที่มันเป็นความทุกข์มากๆ ครับ”
อยากให้ช่วยแนะนำน้องๆ ที่กำลังจะเข้าสู่วัยทำงานหรือคนที่อยากเป็นผู้ประกาศข่าวเหมือนแคนหน่อย
“เชื่อในความรู้สึกตัวเองครับ ไม่รู้ว่าสมัยนี้โลกเปิดกว้างขนาดไหนนะครับ แต่ว่าในยุคของแคนมันจะฟิกซ์มาว่าเด็กควรจะเป็นอาชีพนี้ๆ ถึงจะมั่นคง โดยเฉพาะเด็กต่างจังหวัดอย่างแคน มันมีอาชีพที่พ่อกับแม่เห็นไม่กี่อาชีพครับ คุณหมอ ข้าราชการ ตำรวจ หรือไม่ก็ทำธุรกิจส่วนตัว มีแค่นั้นจริงๆ ไอ้การที่เราฉีกออกมานิเทศพ่อกับแม่ก็เครียดนะว่ามันจะมีงานทำไหม ทำให้เด็กหลายคนค่อนข้างกดดันว่าฉันต้องทำอาชีพที่มันมั่นคง ฉันต้องเรียนในสายอาชีพที่มันมั่นคง จนมีวันหนึ่งมีคนบอกแคนว่ามันไม่มีอาชีพไหนหรอกที่มั่นคง ทุกอาชีพมันไม่มั่นคงทั้งนั้นแหละ ความมั่นคงอยู่ที่ตัวเรา เพราะฉะนั้นตอนนี้น้องๆ หลายคนที่แอบรู้สึกลึกๆ แล้วว่าตัวเองชอบอะไร ผมว่าจุดนั้นแหละมันเป็นอาชีพได้ ไม่มีอะไรไร้สาระนะ บางคนชอบเล่นเกมยังเป็นอาชีพได้เลย เพราะฉะนั้นตอนนี้ถ้าทำอะไรแล้วมีความสุขลองไปทางนั้นให้สุด แล้วก็ตัดสินใจตามใจตัวเองว่าอะไรที่มันเหมาะกับเรา และถ้าเกิดเราตั้งใจในทางนั้นจริงๆ มันมีลู่ทางทำมาหากินได้หมดแหละครับ ทุกวันนี้อะไรก็ทำมาหากินได้แคนเชื่อ อย่างแคนเห็นคนหนึ่งเขาชอบอ่านหนังสือ ชอบเล่าเรื่อง เขาก็ทำช่อง Youtube แล้วก็มีรายได้ ประสบความสำเร็จ ก็ลองเชื่อใจตัวเองดูว่าสิ่งที่เราชอบมันเป็นอาชีพได้ แล้วก็พุ่งไปทางนั้นมันก็มีทางรอดเองครับ”