ประวัติส่วนตัว เส้นทางชีวิตก่อนเริ่มต้นงานเขียน
เริ่มต้นงานเขียนตั้งแต่เรียนชั้นมัธยม โดยเขียนเรื่องสั้น ส่งตามนิตยสารวัยรุ่นต่าง ๆ ต่อมาขณะเรียนอยู่ที่คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ได้เข้าร่วมประกวดบทละครสดใสอวอร์ด (การประกวดบทละครเวทีของนักศึกษาทั่วประเทศ) ครั้งที่ 4 และบทละครเรื่อง ‘มายา’ ได้รับรางวัลบทละครดีเด่น
ขณะเรียนชั้นปีที่ 4 ได้เข้าร่วมเทศกาลละครที่ภัทราวดีเธียเตอร์ เขียนบทและกำกับละครเวทีเรื่อง ‘น้ำมันพราย’ เมื่อจบการศึกษาก็ได้สะสมประสบการณ์ทำงานที่หลากหลาย ส่วนมากเป็นงานในแวดวงสื่อสารมวลชน เช่น สคริปต์ไรเตอร์ โปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์ นักข่าว โปรดิวเซอร์ข่าว ต้นฉบับชิ้นนี้ได้ถูกเขียนขึ้นในช่วงที่ทำงานในสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
แรงบันดาลใจในการเขียนเรื่อง 5,929 ไมล์...ระยะฝัน
แรงบันดาลใจมาจากความรู้สึกว่าอยากเขียนงานแนว Coming of age ดี ๆ สักเล่มหนึ่ง เป็นหนังสือที่อ่านสนุกแต่แอบมีสาระ บอกเล่าข้อคิดและเทคนิคการใช้ชีวิตแบบไม่ยัดเยียดมากจนเกินไป เป็นหนังสือแบบที่เราอยากอ่านตอนเป็นวัยรุ่น นอกจากนี้ยังมีหลายสิ่งที่อยากสื่อสารกับผู้อ่าน ซึ่งแทรกอยู่ในเนื้อหาหลาย ๆ ตอนตลอดทั้งเรื่อง
จะทำให้ balance กับสังคมปัจจุบันอย่างไร เพราะมันค่อนข้างมีค่านิยมด้านนี้อยู่พอสมควร
ประมาณว่าจากเรื่องมีข้อคิดอย่างไร สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับสังคมปัจจุบันได้อย่างไร เพราะในสังคมปัจจุบันก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีฝันอยากจะไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนหรือเรียนต่อต่างประเทศค่ะ ถ้าหากพูดถึงประเด็นที่ว่าในปัจจุบันมีหลายคนใฝ่ฝันอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ เรื่องราวในหนังสือเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นแล้วว่า หากมีความตั้งใจจริง ความพยายามและอดทนต่อความยากลำบากมากพอ ทุกคนสามารถมีฝันที่เป็นจริงได้
เรื่องราวไม่ได้เกี่ยวกับแค่การไปทำตามความฝันเท่านั้น แต่มันมีการใช้ชีวิต การเอาตัวรอดของตัวละครรวมถึงมิตรภาพต่าง ๆ ผสมผสานอยู่ด้วย อยากให้เล่าถึงความเป็นมาว่าสิ่งเหล่านี้มีความเกี่ยวพันกันอย่างไร และนำมาปรับใช้อย่างไรได้บ้าง
เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในหนังสือ ทั้งการเดินทางตามความฝัน การใช้ชีวิตเพียงลำพังในต่างแดน การเอาตัวรอดจากสถานการณ์อันยากลำบาก การประยุกต์หลักการวิถีพุทธมาใช้ในการดำเนินชีวิต และเรื่องของมิตรภาพ คือเส้นทางในการเติบโตขึ้นในแง่ความคิดและจิตวิญญาณของตัวละคร
การที่เลือกฉาก หรือโลเคชั่นให้เป็นต่างประเทศ เพราะอยากจะบอกอะไร หรือตั้งใจให้เป็นอย่างไร
เชื่อว่าผู้อ่านหลายคนต่างก็มีจิตวิญญาณของการเป็นนักเดินทาง และใฝ่ฝันที่จะได้ผจญภัยไปในโลกกว้าง การที่เลือกฉากเป็นประเทศอังกฤษ ก็เพื่อช่วยเติมเต็มความฝันของคนที่ยังไม่พร้อมออกไปสัมผัสชีวิตในต่างแดน และสำหรับใครก็ตามที่วางแผนจะเดินทางไปเรียนต่อที่อังกฤษ หนังสือเล่มนี้อาจจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย
ระยะเวลา อุปสรรค และวิธีแก้ปัญหาในการสร้างสรรค์ผลงานเล่มนี้
ต้นฉบับชิ้นนี้ใช้เวลาเขียนค่อนข้างนาน ผ่านการปรับแก้และพัฒนามาหลายร่าง อันที่จริงต้นฉบับดั้งเดิมมีความยาวเกือบ 200 หน้า แต่เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของโครงการ จึงตัดทอนความยาวออกจนเหลือแค่ 150 หน้า
ปกติอ่านหรือเขียนงานแนวไหนบ้าง
ชอบอ่านหนังสือประเภทที่เสริมสร้างจินตนาการ ช่วยยกระดับสติปัญญา คุณธรรม ศีลธรรม ที่เพิ่งอ่านจบเช่น วรรณกรรมเยาวชนทุกเล่มในชุดบ้านเล็กในป่าใหญ่ / หนังสือแปลเรื่อง แท็กซี่มีแมว / หนังสือธรรมะ เรื่องล่าสุดคือ ลำธารริมลานธรรม เล่มที่ 1
บางครั้งอ่านตามอารมณ์ และความสนใจ เช่น หนังสือคำสารภาพสุดท้ายของนักโทษประหาร / Pleased to meet me / How Children Succeed เป็นต้น
เล่มที่อ่านซ้ำบ่อยคือ The Little Prince / The Alchemist ปัจจุบันนี้นอกจากเขียนข่าวและคอลัมน์สำหรับ Thai PBS World ก็กำลังสนใจเขียนบทความแนว how to เกี่ยวกับมารยาท และการวางตัวในสังคมการทำงาน
แนวอื่น ๆ ที่เคยเขียนก่อนหน้านี้ มีอะไรบ้าง
นิยายแนว chit lit เรื่อง “เรื่องลับของเลิฟลี่” นามปากกา จีบี้ (สำนักพิมพ์ 1168)
ความคาดหวังในการประกวดรางวัลชมนาด ครั้งที่ 11
การได้เข้ารอบเป็น 1 ใน 9 เรื่อง จากทั้งหมด 30 เรื่อง เป็นสิ่งที่เกินความคาดหมาย เพราะคิดว่าต้นฉบับเรื่องนี้ ไม่เหมือนแนวที่ส่งเข้าประกวดทั่วไป ทั้งรูปแบบการเขียน การเล่าเรื่อง และการใช้ภาษา ดีใจมากที่ได้เข้ารอบ 9 เรื่อง แต่เอาจริง ๆ แล้ว ความคาดหวังของผู้เขียนคือ การได้ส่งต่อแรงบันดาลใจไปสู่ผู้อ่าน
และคาดหวังว่าจะได้รับคำวิจารณ์ผลงาน เพื่อนำกลับไปพัฒนางานเขียนชิ้นต่อ ๆ ไป ซึ่งเป็นประโยชน์ในการก้าวไปสู่การเป็นนักเขียนอาชีพ
ในยุคที่วงการวรรณกรรมเมืองไทยค่อนข้างเงียบเหงา ซบเซา คิดว่าเป็นเรื่องดีอย่างยิ่งที่โครงการชมนาดสามารถจัดการประกวดต่อเนื่องยาวนานได้เป็นปีที่ 11 แล้ว อยากให้จัดต่อไป โดยอาจขยายช่องทางการประชาสัมพันธ์มากขึ้น
ข้อเสนอแนะอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการชมนาดในครั้งนี้และครั้งต่อ ๆ ไป
มีข้อเสนอแนะนิดหน่อยสำหรับหนังสือที่ได้รับรางวัลในแต่ละปี การออกแบบหน้าปกหนังสือควรน่าดึงดูดใจมากกว่านี้ หากในการประกวดครั้งนี้และครั้งต่อ ๆ ไป มีการปรับเปลี่ยนสไตล์การออกแบบหน้าปกใหม่ ให้ดูสวยงาม และโดดเด่นมากขึ้นเมื่อวางอยู่บนแผงปะปนกับเล่มอื่น ๆ ในร้านหนังสือ อาจทำให้คนอยากหยิบขึ้นมาดูและมีโอกาสซื้อสูงขึ้น