สุนทรกถาของคุณสุทธิชัย หยุ่น : นักเขียนรางวัลศรีบูรพา ปี 2551 ในงานวันนักเขียน 5 พฤษภาคม 2551

สุนทรกถาของคุณสุทธิชัย หยุ่น

กราบเรียนท่านนายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย กราบเรียนคณะกรรมการมูลนิธิศรีบูรพา ขอบคุณคุณสุรพันธ์สำหรับถ้อยคำที่ให้กำลังใจกับผมและคนในวงการสื่อทุกท่านความจริงรางวัลศรีบูรพาวันนี้ควรจะเป็นรางวัลสำหรับคนทุกคนข่าวในประเทศไทยที่กำลังมีภารกิจหน้าที่ที่สลับซับซ้อนกว่ายุคใดๆ ในประวัติศาสตร์ของสื่อมวลชนไทย ดั่งที่คุณสุรพันธ์พูดเมื่อสักครู่ถูกต้องตามความเป็นจริง สมัยศรีบูรพาการต่อสู้ชัดเจน ขาวดำระหว่าง เสรีภาพ การรับรู้ข่าวสารของประชาชนกับเผด็จการ สมัยนั้นคือโซ่ที่มาล่ามแท่นพิมพ์ สมัยนี้นอกจากจะเป็นโซ่เงินโซ่ทองแล้ว ยังเป็นโซ่ที่มองไม่เห็น มีมือที่มองไม่เห็น บางครั้งมีเท้าที่มองไม่เห็นที่คุกคามเสรีภาพของสื่อสารมวลชนอย่างยิ่งด้วย

ผมคิดว่าวันนี้ ผมพูดแทนเพื่อนผู้ร่วมอาชีพสื่อมวลชนได้ทุกคนว่า เป็นจังหวะที่สำคัญยิ่งที่เราจะรำลึกถึงจิตวิญญาณของศรีบูรพา ในการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อหาความจริงให้กับสาธารณชนและสังคมโดยทั่วไป ภารกิจยิ่งสลับซับซ้อน สังคมยิ่งแยกข้าง อย่างเมื่อสักครู่ ที่เราได้ยิน การอภิปรายไปว่าทุกวันนี้สื่อมวลชนทำหน้าที่อย่างไรในเมื่อมีความแตกแยกแบ่งข้างกันจนกระทั่งไม่ทราบว่าอะไรถูกอะไรผิด ผมคิดว่านี่ละครับยิ่งจำเป็นจะต้องนำเอาจิตวิญญาณของศรีบูรพามาใช้เพื่อจะทำหน้าที่ให้ความจริงประจักษ์ ยิ่งมีความขัดแย้งสูง สื่อมวลชนที่รับผิดชอบยิ่งจะต้องทำหน้าที่ที่รอบคอบ ละเอียดรอบด้านและซื่อสัตย์ต่อประชาชนมากยิ่งขึ้น ความจริง ความสลับซับซ้อนของสังคมไทยไม่ได้แปลว่าหมาเฝ้าบ้านจะต้องสลับซับซ้อนไปด้วย หรือว่าหมาเฝ้าบ้านจะต้องแบ่งกลุ่มแบ่งก้อนหรือว่าเห่าผิดเห่าถูก หรือว่าบางครั้งเราเห็นหมาเฝ้าบ้านกัดกันเอง เราก็จะตั้งคำถามว่า ทำไมหมาเฝ้าบ้านจึงไม่กัดคนที่ควรกัดทำไมจึงมากัดกันเอง แต่ ผมคิดว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องท้อใจ หรือว่าละเหี่ยใจ เพราะว่านอกจากสังคมจะแตกแยกกันแล้ว สื่อมวลชนยังแตกแยกกันหรือ ผมเชื่อว่าสื่อมวลชนไม่ได้แตกแยกกัน เพียงแต่ว่าสื่อมวลชนจะต้องมีหน้าที่ที่จะต้องพิสูจน์กับสาธารณชนว่าตัวเองทำหน้าที่อย่างจริงจัง

เมื่อคืนผมนอนคิดว่าถ้าท่านศรีบูรพายังมีชีวิตอยู่ และเรามีคำถามในใจของสื่อมวลชนอย่างที่เราจะถามว่า เราจะพิจารณาบทบาทของสื่อมวลชนในภาวะสังคมไทยวันนี้อย่างไร ถ้าท่านศรีบูรพายังมีชีวิตอยู่ท่านจะมีอายุ 100 กับ 3 ปี แต่ผมเชื่อว่าคำตอบของท่านศรีบูรพาต่อคำถามของเราวันนี้จะไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่คำเดียว ประโยคที่ท่านเคยเขียนไว้ในบทนำบทบรรณาธิการประชามิตรสุภาพบุรุษฉบับแรก 1 ธันวาคม 2487 ผมคิดว่าผมต้องจดเป็นคำคำ ถึงแม้ว่าเป็นหลักการในชีวิตของการทำงานมาตลอดแต่ว่าประโยคนี้เป็นประโยคที่ถือว่าคนในสื่อทุกวันนี้ใครถามและที่จะต้องตอบอ้อมแอ้มไปอ้อนแอ้มมาว่า พูดอย่างกลางๆ ได้ไหมถ้าจะถามว่าสื่อเป็นกลางหรือเปล่า สื่อทุกวันนี้เลือกข้างหรือเปล่า สื่อทุกวันนี้ถูกซื้อไปหรือเปล่า หมาเฝ้าบ้านทุกวันนี้เห่าผิดเห่าถูกหรือเปล่า คำตอบมีนะครับ เพียงแต่ว่าถ้าเราย้อนคิดถึงศรีบูรพาประโยคนี้เราก็จะรู้ว่าคำตอบอยู่ที่ไหน

คุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ เขียนในบทบรรณาธิการที่ท่านเป็น บก.หนังสือพิมพ์ประชามิตรสุภาพบุรุษฉบับนี้ บทนำซึ่งก็แปลว่าเป็นหลักการทำงานของคนทำข่าวในยุคนั้นสมัยนั้นที่ประกาศตัวว่าเป็นผู้อาสาเพื่อที่จะเป็นเสียงเป็นปาก สะท้อนเป็นจิตวิญญาณของประชาชนว่า ในเวลาสงบ ท้องฟ้าโปร่งสว่างจ้าด้วยแสงตะวัน ใครๆ ก็แลเห็นว่าเรายืนอยู่ที่ไหน ชัดเจนนะครับ ไม่ยากเลยใช่ไหมครับ เวลาบ้านเมืองปกติ เวลาที่ประชาชนอยู่สงบ เวลาที่ไม่มีเรื่องที่จะต้องขัดแย้งกัน ทุกอย่างเห็นตรงกัน โดยเฉพาะสังคมไทยเวลามีศึกสงคราม มีศึกเสือ เหนือใต้ มีศึกข้างนอกมาคุกคามเราจะรวมตัวกันได้ และสื่อมวลชนจะทำหน้าที่ได้มาก เพราะว่าท้องฟ้าแจ่มใสทุกคนมองออกว่าใครยืนอยู่ตรงไหน แต่อะไรล่ะครับที่พิสูจน์ว่า เราเป็นสื่อมวลชนที่แท้จริง อะไรล่ะครับ คือคำตอบว่าคุณเป็นสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่ต่อสาธารณชนหรือไม่ ประโยคต่อไปของบทนำที่เขียนโดยศรีบูรพาบอกว่า เวลาพายุกล้าฟ้าคะนอง ผงคลีฟุ้งตลบไปในอากาศ ไม่เห็นตัวกัน ต่อพายุสงบฟ้าสว่าง ใครๆ ก็จะเห็นอีกครั้งหนึ่งว่าเรายืนอยู่ที่เดิมและจะอยู่ที่นั่น ผมคิดว่านี่ตอบคำถามทุกคำถามที่เราได้ยินวันนี้

นี่คือจิตวิญญาณของศรีบูรพาและนี่คือหลักการของการทำข่าวของสื่อทุกคน ถ้าวันนี้เราถามว่า หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ยืนอยู่ตรงไหน คนข่าวคนนี้ยืนอยู่ตรงไหน ในภาวะที่มีสื่อจริงสื่อปลอม สื่อที่เกิดเพื่อภาระเฉพาะกิจ สื่อที่ทำหน้าที่อาชีพมาตลอด และได้พิสูจน์ด้วยกาลเวลาทุกสิ่งทุกอย่างต้องพิสูจน์ด้วยเวลาพายุคะนองครับ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องพิสูจน์ด้วยเวลาที่มีความขัดแย้งสูงสุด เวลามีการท้าทายเต็มที่ที่สุด เวลาสิ่งที่จะมาเร้าให้เราเสียคน สิ่งที่จะมาทำให้เราจะต้องมองกงจักรเป็นดอกบัว อย่างที่คุณอัศศิริพูดมาสักครู่ สิ่งเหล่านี้ได้พิสูจน์ให้กับคนทำสื่อ คนเขียนหนังสือ นักเขียน นักหนังสือพิมพ์เห็นมาตลอด

ไม่ใช่เฉพาะช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมา เป็นระยะเวลาตั้งแต่ยุคสมัยของศรีบูรพาแล้ว และยุคนี้เป็นยุคที่ฟ้าคะนองมากเป็นพิเศษ แต่พิสูจน์ว่าหลังจากที่ฝุ่นตลบหาย พายุสงบ ฟ้าสว่าง เสร็จแล้ว เรามองสิครับว่าเขายังยืนอยู่ที่เดิมหรือไม่ เขายังประพฤติตัวเหมือนที่เขาประกาศว่าจะประพฤติตัว ไม่ใช่เมื่อวานนี้ ไม่ใช่เมื่อคืนนี้ แต่เมื่อปีโน้น เมื่อตอนที่เขาหรือเธอยืนประกาศว่า เขาอาสาจะมาทำหน้าที่เป็นสื่อมวลชนที่ซื่อตรงต่อประชาชน ฉะนั้นผมคิดว่า ถ้าวันนี้เราเพียงแต่จำสิ่งที่ศรีบูรพาเขียนเป็นบทนำวันแรกของหนังสือพิมพ์ที่ประกาศว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์เพื่อประชาชนและบอกว่าเวลาท้องฟ้าโปร่งใสสว่างทุกคนเห็นเรา นั่นไม่ใช่สิ่งท้าทาย แต่สิ่งที่ท้าทายที่สุดก็คือว่า เมื่อพายุคะนอง เมื่อผงคลีฟุ้งตลบไปในอากาศอย่างเช่นที่เราเผชิญอยู่ทุกวันนี้ในสังคมไทย

แล้ววันหนึ่งฟ้าคะนองนี้จะสงบนะครับ แล้ววันหนึ่งฟ้าจะสว่างขึ้นหลังจากฟ้าคะนองหาย เมื่อฟ้าสว่างขึ้นแล้ว พวกเราทุกคนมองไปสิครับว่า เขาคนที่ประกาศอาสาเป็นสื่อมวลชนผู้รับผิดชอบ เป็นนักเขียนผู้รับผิดชอบ เขายังยืนอยู่ที่เดิมหรือเปล่า แล้วเขาจะยังยืนอยู่ที่นั่นต่อไปหรือเปล่า นี่คือสารที่ผมอยากจะส่งให้ทุกท่าน โดยเฉพาะวันนี้ได้รับคำถามจากนักข่าวรุ่นใหม่ๆ ว่า มีอะไรจะฝากถึงนักข่าว คนสื่อข่าวรุ่นใหม่หรือไม่ รุ่นก่อนเราได้ต่อสู้มาขนาดไหน รุ่นศรีบูรพาได้ต่อสู้เพื่อปูทางให้กับนักหนังสือพิมพ์ในยุคก่อนผมยุคนี้ได้เห็นถึงแสงสว่างและหลักยึดขนาดไหน ผมเชื่อว่ายุคต่อไปและที่กำลังเห็นอยู่ก็จะได้บทเรียนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้ก็อย่าได้ตกใจ อย่าแปลกใจ อย่าท้อใจ อย่าฝ่อ และอย่าตกหลุมพรางของนักการเมืองผู้มีผลประโยชน์ที่จะพยายามทำทุกวิถีทางที่พึงจะมีได้ในการที่จะดึงให้เราเข้าไปอยู่ในศึกสงครามนั้น สื่อมวลชนวันนี้ควรจะถอยออกมาหลายก้าว เพื่อให้ฝุ่นที่ตลบนั้นอยู่ไกลจากตัวเรา

เพื่อให้สายตาเราชัดและสว่างเราจะได้สามารถเห่าให้เจ้าของประเทศได้ยินชัดขึ้น ด้วยเสียงที่มั่นคงต่อเนื่องยาวนานมากยิ่งขึ้น ทุกวันนี้คนข่าวของเราตกเป็นเหยื่อของการทำศึกสงครามการแย่งพื้นที่ข่าวโดยนักการเมืองเท่านั้น 80 % ของหน้าหนังสือพิมพ์ของเวลาโทรทัศน์และสถานีวิทยุนั้น ถูกยึดครองโดยนักการเมืองที่รู้ว่า หมาเฝ้าบ้านที่มาทำงานนั้นส่วนใหญ่ยังเป็นหมาเฝ้าบ้านหน้าใหม่ฝึกฝนไม่พอ เห่าง่าย เห็นใบไม้ไหวก็เห่าแล้ว บางตัวโยนชิ้นเนื้อให้ก็หยุดเห่าแล้ว ฉะนั้นเขาสามารถยึดพื้นที่ข่าวโดยใช้วิธีการต่างๆ เพื่อจะหลอกล่อคนข่าวในยุคสมัยนี้ แต่ผมก็ยังดีใจครับว่า นักข่าวจำนวนไม่น้อยพูดแสดงความคิดเห็นในสื่อจำนวนไม่น้อยเป็นหมาเฝ้าบ้านที่ได้ฝึกปรือมาอย่างดีและรู้ทัน ไม่ตกหลุมพรางง่ายๆ

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ยังเข้มข้นอยู่ในสื่อหนังสือพิมพ์ทุกวันนี้ ในจอทีวี โทรทัศน์อาจจะยังเข้มข้นไม่เท่าด้วยเหตุผลและข้อจำกัดบางประการที่เราก็รู้ดีอยู่ แต่ผมก็ยังมีความมั่นใจและภูมิใจในสื่อสิ่งพิมพ์ที่ได้ต่อสู้มาตั้งแต่ยุคสมัยของศรีบูรพามาจนถึงทุกวันนี้ว่ายังเป็นหมาเฝ้าบ้านที่มีคุณภาพ เห่าอย่างมีคุณภาพ เลือกเห่าเฉพาะเมื่อเห็นโจรเข้ามาใกล้บ้านเราเท่านั้น ถ้ากลิ่นดี กลิ่นถูกต้องหมาไม่เห่าครับ ฉะนั้น ผมคิดว่า เมื่อสื่อมวลชนสำนึกถึงจิตวิญญาณของศรีบูรพาที่ว่าเราต้องผ่านการทดสอบ

ทุกคนที่อาสามาเป็นสื่อ ต้องยอมผ่านการทดสอบว่ามันไม่ได้พิสูจน์ตอนฟ้าสว่างแสงแดดจ้า มันพิสูจน์ตอนที่มีพายุหนักพัดเข้ามากระหน่ำอย่างรุนแรงมันผ่านไปแน่ครับ แต่ระวังอย่าให้พายุนี้ทำลายเรา จิตวิญญาณที่ต้องมั่นคงต้องรู้ว่าพายุมาเราต้องทำหน้าที่ของเราอย่างซื่อสัตย์ เชื่อผมเถอะครับ สื่อมวลชนยุคศรีบูรพาก็ผ่านการคุกคามขู่เข็ญ ทำร้ายร่างกายทุกอย่าง สื่อมวลชนรุ่นต่อมาจนกระทั่งถึงรุ่นผมก็ได้ผ่านการถูกคุกคามขู่เข็ญเลวร้ายที่สุดที่บางครั้งเราก็คิดว่า เอ๊ะ เราจะรอดไปไหมนี่ แต่เราก็รู้ว่าถ้าเราจะอยู่ และรอดไปด้วยจิตวิญญาณที่เราสามารถตอบคำถามคนยุคต่อไปได้ว่า เราอยู่ที่นั่น และเราไม่ยอมแพ้ และเราไม่กลัวพายุ และเรารู้ว่าเมื่อพายุผ่านไป วันนั้น เราจะสามารถตอบคนทุกคนเมื่อท้องฟ้าสว่างแล้วเราก็บอกว่า เมื่อวานเรายืนอยู่ตรงนี้ วันนี้เราก็ยังยืนอยู่ตรงนี้ และพรุ่งนี้เราก็จะยังยืนอยู่ตรงนี้ ขอบคุณครับ

Writer

Sirirat Soonsakul

นักอยากเขียน ผู้รักการสะสมท้องฟ้าสีวนิลลา และใช้หมูกระทะเยียวยาจิตใจ