ท่านวิทยากรร้องเพลงและให้คณาจารย์ร่วมกิจกรรม
หินเล หินเล หินเล “รถยนต์ไม่ไปฉันจะไป” ตอบหน่อยซิค่ะ “รถเมล์” เอาใหม่นะค่ะ หินเล หินเล หินเล “รถยนต์ไม่ไปฉันจะไป” “รถเมล์” หินเล หินเล หินเล “ละครไม่ดู ฉันจะดู” “ลิเก” หินเล หินเล หินเล “มันเชื่อมฉันไม่กินฉันจะกิน” “ สาเก”
ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปดูเขา เราก็เอามาสอนลูกศิษย์เราได้ เวลาที่จะสอนให้เด็กเล่นคำคล้องจองเป็นพื้นฐานของการประพันธ์ในชั้นประถมฯ เราก็เอาเพลงหินเล นอกจากหินเลๆๆ เรายังมีเพลงเช่นเพลง “ใจหนอใจ เปิดปิดได้เหมือนบานประตู อยากจะรู้หัวใจ แล้วเราจะเอาอะไรใส่ คำแรกนั้นคือคำนาม เช่น ถ้วย เช่น ชาม เช่น โอ่ง เช่น ไห” ก็ได้ หรือ “ลา มะลิลา” อะไรต่างๆ เราเป็นครูภาษาไทยเราเห็นอะไรเราต้องสะดุดใจเอามาใช้ประกอบการสอนได้ เราต้องสนุกกับภาษาไทยด้วยตัวของเราเองด้วย
เสวนากับผู้รู้ไปคุยกับใครก็ซักถาม ถามนู่นถามนี่ ตาดูหูฟังเราก็ฟังวิทยุ ชมโทรทัศน์เขามีการบรรยาย อภิปรายที่ไหนเราก็ไปฟังมันก็ทำให้เราเสริมพลังในการท่องเที่ยว ก็จบลงอย่างนี้ อาจารย์คงสงสัยกันว่าทำไมข้อความมันถึงคล้องจองกันเรื่อยก็มันมีความเป็นมาเป็นไปของมัน หนึ่งล่ะดิฉันก็ชอบคำคล้องจอง ที่สำคัญมากก็คือว่าเวลาที่เขียนหนังสือขึ้นมาอย่างหนังสือการสอนภาษาไทย ดิฉันเป็นหัวหน้าภาคมัธยมก็เป็นการสอนภาษาไทยระดับมัธยมศึกษา ก็ได้รับรางวัลจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปรากฏว่ามีคนขอศาสตราจารย์มีคนเอาของดิฉันไปหมดเลยทั้งเล่มแล้วมาส่งที่เรา คือคนมีตั้งเยอะแยะก็แปลก เขาก็ไม่เลือกเขาก็มาเลือกเจ้าของหนังสือมาอ่าน เขาเรียกว่ากรรมติดจรวดเมื่อก่อนมันก็ไม่ให้ขอภายใน 2 ปี ไม่ผ่าน แล้วก็ลงประวัติ เมื่อเร็วๆ เอาอีก ดิฉันก็ตรวจผลงานฉันก็สงสัยก็ให้ลูกสาวกดอินเตอร์เน็ตให้แม่หน่อยซิ ว่าวิจัยเรื่องนี้มันอยู่ที่ไหน “แม่มันอยู่ที่คณะครุศาสตร์” ค้นไปอีกซิว่ามันอยู่ที่ไหน “ภาควิชาอุดมศึกษา” เอามาขอผู้ช่วยศาสตราจารย์เอามาทั้งหมดเอาทั้งเล่ม ถ้าอย่างนั้นเราก็บอกว่าผ่านไม่ได้หรอก เราได้บอกไปว่าได้เอาของคนนั้น หน้านั้น คือเอาทั้งหมดมา เราไม่ทราบว่าโทษมันเป็นอย่างไร ปรากฏวันที่เลื่อนออกไป เขาเปลี่ยนกฎใหม่จากทบวงมหาวิทยาลัย ขอไม่ได้ภายในห้าปี ไล่ออก ตัดเงินเดือน ลดขั้นสารพัด ทางมหาวิทยาลัยเขาก็ตกใจมากว่าอาจารย์จะเอาอย่างไร ครูไม่รู้ครูรู้แต่เพียงว่าต้องลงโทษเขาสักนิดหน่อยว่าอย่าไปเอาอะไร เขาก็พยายามหาโทษที่มันเบาที่สุด คือลดเงินเดือนหนึ่งขั้นแล้วก็ไม่ให้สอนในระดับปริญญาโทอะไรอย่างนี้ มันก็รู้สึกว่าหนักหนาสาหัสเหมือนกัน มันคงไม่ใช่เขาทำคนเดียว มันทำกันเยอะมากมันมีแหล่ง แหล่งรับจ้าง มันจะเหมือนกันได้อย่างไร คนแถวเชียงใหม่กับคนแถวฉะเชิงเทรา มหาสารคาม รวมทั้งปัตตานี สอนภาษาไทยชั้นนี้เขาบอกว่ามันมีแหล่งที่ทำว่าบอกวิชามากับชั้นมาสวยงามมีตุ๊กตา เพราะว่าอยากได้เงินจากผลงานวิชาการมันหลายพันอยู่ แต่ตอนนี้โทษมันชักจะแรงเพราะว่าพบมากเลย ดิฉันคิดว่าต่อไปนี้จะเขียนหนังสือให้สุโขทัยธรรมาธิราช ในช่วงหลังๆ นี้ดิฉันก็จะเอาหัวข้อให้คล้องจองกันอยากจะรู้ หรือเขียนบทความ หรือออกวิทยุศึกษาของกระทรวงแล้วเขาเอาไปพิมพ์เป็นหลังจากเกษียณแล้วก็มี ‘ศิลปะการใช้ภาษา’ / ‘สอนให้สนุกเป็นสุขกับการเรียน’ / ‘ภูมิปัญญาไทยในภาษา’
โดยดิฉันจะขึ้นด้วยกาพย์หรือกลอน โดยหัวข้อจะคล้องกันอย่างนี้อยากจะรู้ว่าเขาจะลอกไหม อาจารย์เดาซิว่าเขาลอกไหม ลอกแล้วไม่ใส่ชื่อเราด้วยก็อย่างนี้ ก็รู้สึกว่าคนเป็นครูยังเป็นเช่นนี้อนาคตของประเทศจะเป็นเช่นไร ถ้าคิดมากนอนตายตาไม่หลับ ฝากประเทศชาติไว้กับครูแบบนี้มันไม่ไหว มันมากไม่ใช่น้อยๆ ทุกระดับไม่ว่าจะเป็นระดับครูบาอาจารย์ตามโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นระดับมหาวิทยาลัยมันลอกมันโกงกันเยอะพอสมควรเลยที่เดียว บ้างคนก็หลอกตัวเองว่าฉันไม่ได้ทำฉันเป็นซี8 ซี9 ฉันเป็นอะไรยืดๆ อยู่ได้มันก็น่าสงสาร
เราพยายามหาแง่งามจากทางภาษาของเราว่า ในภาษาไทยของเรานั้นมันมีแง่งามขอสอดแทรกเรื่องเนื้อหาเข้าไป ในแง่งามของภาษานี้ถ้าเราต้องการให้มันสนุกให้มันมีแง่งามจริงๆ แค่คำคล้องจองกันคำโต้ตอบของคนสมัยโบราณ เพราะว่าคนไทยเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนแม้แต่เด็กสมัยใหม่ มีหลานอยู่โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ทุกวันเราจะต้องตอบคำถามของเขา เมื่อก่อนเราก็พอรู้ต้นเท่าครกใบปรกดิน เดี๋ยวนี้เขาไม่ได้แล้ว เขาก็แต่งของเขาเอง เราก็ทายไม่ได้ เราก็ต้องยอมแพ้ มันเป็นคำคล้องจองซึ่งทุกวันที่เด็กกลับมาเขาก็จะต้องทาย ไปที่ไหนก็ไปทายผู้หลักผู้ใหญ่ก็แพ้หมด เพราะว่าแต่งเองแล้วใครจะทายถูก ก็แสดงว่าวิญญาณของคนไทย ปฎิภาณของคนไทยมันยังมีอยู่ในเรื่องของการเล่นคำคล้องจองต่อๆ กัน ต่อให้เป็นเด็กรุ่นใหม่ซึ่งมีคอมพิวเตอร์ มีอินเตอร์เน็ต มันน่าเสียดายที่สิ่งเหล่านี้มันแย่งเวลาเด็กไป อย่างเวลาที่ดิฉันเป็นเด็กๆซนมากๆ แม่ก็เรียกให้มาอ่านพระอภัยมณี มาอ่านขุนช้างขุนแผน มาอ่านรามเกียรติ์ บ้านอยู่สวนฝั่งธนเสียงก็ดัง เพราะฉะนั้นเราก็จะรู้เรื่องเหล่านี้ตั้งแต่ชั้นประถม อ่านหมดแล้ว รามเกียรติ์ ขุนช้างขุนแผน นอกจากนั้นยังมีละครแก้บนวัดท่าพระ คนมีอะไรข้องใจก็ไปบนท่าน บนท่านหลวงพ่อเกสร ก็มีละครจักรๆ วงศ์ๆ เราก็ดูละครพวกนั้นแล้วร้องห่มร้องไห้ตอนพระสันถ่วง แล้วก็อยากจะรู้ว่ามันเป็นอย่างไรต่อไป ก็ไปอ่านต่อก็นับว่าเป็นโชคดี ละครโทรทัศน์ยังไม่มี มีแต่ละครของหลวงวิจิตรวาทะการ ‘ห้วงรักเหวลึก’ มันก็เป็นความสุข เด็กก็ไม่ถูกแย่งไปจากเกมส์ คอมพิวเตอร์อะไรต่างๆ เวลาดิฉันเดินทางไปไหนขึ้นเครื่องบินพบภาพจากหนังสือ ‘กินนารี’ ‘สวัสดี’ ก็เก็บมา เพราะรู้ว่าหลานจะต้องทำงานส่งครู แต่หลานก็บอกว่า “ย่าไม่ต้องเก็บมาเดี๋ยวเรียกจากอินเตอร์เน็ตทำได้เลย” ดิฉันก็สงสัยเหมือนกันว่าเด็กเขาตัดต่อจากอินเตอร์เน็ตพิมพ์เสร็จด้วย ได้อ่านอะไรอย่างกว้างขวางหรือเปล่า อันนี้มันก็มีคุณอนันต์ก็มีโทษมหันต์ ก็เป็นห่วงเด็กรุ่นใหม่เหมือนกัน ความรู้เขากว้างขวางจริงอะไรเกิดขึ้นในโลกนี้ทันทีเขารู้หมด แต่ในขณะเดียวกันการอ่านหนังสือของเขาน้อยลง
แต่ก็ดีใจที่ศูนย์นี้มีสถานที่ ที่มหาวิทยาลัยอินเดียน่าเขาก็มีห้องสมุดที่ดีที่สุดในสหรัฐฯ เวลาที่เราไปเรียนปริญญาเอกกันสองคนสามีภรรยาเอาลูกไปด้วย ภายในห้องสมุดนั้นมีกระทั่งเด็กจะเลือกภาพยนตร์อะไรดูก็ได้ มีคนเล่านิทานมันมีเป็นชั้นๆ ขนาดเด็กคลานยังมีเลยอยู่ชั้นล่าง แล้วก็มีคนดูแลเวลาโรงเรียนปิดเราไม่รู้จะเอาลูกไปไว้ที่ไหนก็เอาไปไว้ที่ห้องสมุด เด็กก็สนุกสนานมากจะดูหนังผีหนังจริงอะไร แล้วมีคนเล่านิทาน เพราะฉะนั้นก็ขอ นิยมชมชื่นกับศูนย์นี้ที่เด็กนักเรียนอาจจะมาอ่านหนังสือได้เพราะการอ่านนั้นถือว่าเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดเลยในชีวิต ถ้าหากว่าเด็กรักการอ่านเราไม่ต้องกลัวถ้าเขาอ่านเยอะๆ แล้วเขาจะไปเป็นนักอักษรศาสตร์ ฉันอยากให้ลูกเป็นหมอ ฉันอยากให้ลูกเป็นวิศวกร เดี๋ยวมันอ่านหนังสือเยอะมันจะไปเรียนนักอักษรศาสตร์ ไม่เลย ดิฉันมีลูกสองคน คนหนึ่งก็เป็นวิศวกร อีกคนหนึ่งก็เป็นคอมพิวเตอร์ แต่เขาอ่านทุกอย่างที่ขวางหน้าแม้แต่ถุงกระดาษห่อกล้วยแขก เพราะการปลูกฝังการอ่าน โรงเรียนยุคลธรนี้ดีมากมีครูเล่านิทาน จากนั้นเป็นโรงเรียนสาธิตจุฬารอบๆ ห้องเขาจะมีหนังสือเล่มเล็กๆ แต่ก่อนเล่มละบาทจะยืมเท่าไรก็ได้ ยิ่งไปอยู่ต่างประเทศเขามีห้องสมุดดีๆ เขาจะรักการอ่านมาก รักการอ่านก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องไปเป็นนักอักษรศาสตร์อย่างเดียว เขาก็สามารถที่จะมีลูกของลูกศิษย์เขาได้ออกรายการแฟนพันธ์แท้เขาชื่อเล่นชื่อปลาทู ชื่อจริงเขาชื่อภานุนั่นก็ชอบ คือแม่เขาเป็นลูกศิษย์
“หนูก็ทำตามอย่างอาจารย์อ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่อยู่ในท้องเลย แล้วก็จัดหาอะไรให้เสร็จ ภานุก็ได้รับทุนเรียนฟิสิกส์อยู่ในสหรัฐอเมริกา ได้ด็อกเตอร์ แต่ทำไมเขาถึงเก่งมากฉันดูแล้ว ทำไมปลาทูถึงเก่งอย่างนี้ แค่เปิดแผล็บๆ อย่างนี้ ปลาทูสามารถบอกได้ว่าหนังสือเป็นอย่างไร ถ้าใครดูแฟนพันธ์แท้ที่มันชนะคู่กันสองคน เวลาออกมาชิงชนะเลิศปลาทูเขาไม่มาเพราะเขากำลังสอบอยู่ที่มหาวิทยาลัยต่างประเทศ การอ่านนั้นมันจะเป็นทางแสวงหาความรู้ที่จะไปสู่อนาคตอันก้าวไกล เพราะฉะนั้นขอชื่นชมศูนย์นี้เป็นอย่างยิ่งที่จัดกิจกรรมอย่างนั้น ถ้าได้มีกิจกรรมมากๆ ก็จะช่วยประเทศชาติได้เป็นอย่างมากทีเดียว อย่างน้อยก็จะได้ช่วยดึงเด็กส่วนหนึ่งให้มาจากเซ็นเตอร์พอยต์ที่ไปเดินไปเล่นที่มันเสียเวลาที่สุด ดิฉันเดี๋ยวนี้ก็ยังสอนอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เด็กเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเด็กที่อื่น เข้าจุฬาฯมันก็ยากแสนยากแล้ว ดิฉันก็ให้เด็กปีหนึ่งทำบันทึกอนุทินส่งครู ปรากฏว่าอ่านแล้วใจหาย เราบอกแล้วว่าไม่ให้เขียนตื่นขึ้นมาขี้ เยี่ยว กินข้าวไม่เอา ประทับใจเรื่องอะไร รถมันแน่นเขามีทางแก้ปัญหากับการจราจร เรื่องการเมืองเป็นอย่างไรกระทบใจเรื่องอะไร “วันนี้ไม่มีเรื่องอะไรก็เดินไปกินไอศกรีมที่บัญชีหลังจากนั้นก็ไปเดินเล่นแถวสยามสแควร์”
ตายแล้วประเทศชาติอยู่ในมือไอ้พวกนี้ต้องตายแน่ๆ คนที่เรียนดีและขยันเรียนไม่ขาดด้วยนะเขียนอะไรไม่เป็นสาระเลย แล้วหนังสือที่เขียนมันก็สะท้อนไม่มีสาระหรือถ้าเป็นสาระก็เป็นสาระที่ไม่มีคุณธรรม ฉันเปิดสุภาษิตอะไรต่างๆ อ่านดูเขาเอาคำคมมา แล้วมันก็จบลงเรื่องรวย อย่างนั้นมันก็ได้รวย พลัดที่นาคาที่อยู่ก็อธิบายไป พลัดที่นาคาที่อยู่อย่างไร แล้วก็มีกลอน เสร็จแล้วก็จบลงด้วยรวย รวยไม่เกี่ยวกับพลัดที่นาคาที่อยู่สักหน่อย แต่มันก็สะท้อนออกมาคนในปัจจุบันนี้เห็นเขารวยกันเป็นแสนล้านเป็นหมื่นล้านแล้วมีความสุขไหม แสนล้านหมื่นล้านคุณธรรมมันอยู่ที่ไหน ก็มันน่าจะปลูกฝังคุณธรรมไปด้วย
การหาแง่งามของภาษามันมีเยอะแยะทีเดียว บางทีในคำพูดคำจาหรือแม้แต่ในวรรณคดี จะยกมานะเอาจากอิเหนา “เมื่อนั้นจิตราวาตีมีศักดิ์ ได้ฟังคั่งแค้นฤทัยนัก สะบัดพักตร์ผินหลังไม่บังโคม แล้วว่าน้อยหรือพระทรงฤทธิ์ ช่างประดิษฐ์ข้อความดูงามสม กล่าวแกล้งแสร้งเสเล่ห์ลม คดคมแยบคายหลายชั้น” แล้วก็ต่อไป ลองฟังดู “สะบัดพักตร์ผินหลังไม่บังโคม แล้วว่าน้อยหรือพระทรงฤทธิ์ ช่างประดิษฐ์ข้อความดูงามสม กล่าวแกล้งแสร้งเสเล่ห์ลม คดคมแยบคายหลายชั้น” ที่จริงเราพูดก็คือโกหก โกหก โกหก ฉันไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ถ้าบอกว่าโกหก โกหก โกหก ฉันไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อมันเพราะไหม จะว่าเขาโกหกแต่ว่าใช้คำไม่ซ้ำกันเลย อันนี้คือแง่งามของภาษาไทยแล้วก็เป็นเชาว์ไวไหวพริบของคนไทยที่เขาใช้กันว่าหลากคำ ครูภาษาไทยต้องรู้จักใช้หลากคำมันถึงจะเห็นแง่งาม หรือ ‘ภพนี้’ ของอังคาร ศิลปินแห่งชาติ “ภพนี้ไม่ใช่หล้าหงส์ทองเดียวเลย กาก็เจ้าของครองร่วมด้วย เมาสมมุติจองหองหินชาติ แล้งน้ำมิตรโลกม้วยหมดสิ้นสุขสานติ์”
เป็นโคลงสี่ ที่จริงก็คือเขาไม่ได้ใช้โลกๆๆ ขึ้นต้นด้วยภพ “ภพนี้ไม่ใช่หล้า” หล้าก็โลกเห็นไหมคะ แล้วคำว่าโลกก็ใช้แต่ที่สำคัญก็คือในโคลงสั้นๆนี้ได้แทรกคุณธรรมความดีได้แทรกปรัชญาไว้ โลกนี้ไม่ใช่โลกของผู้ดีมีตระกูลของคนร่ำรวย ของคนมีอำนาจวาสนา กาก็หมายถึงคนสามัญทั่วไปคนยากจนทั้งหลาย กาก็เจ้าของครองร่วมด้วย เมาสมมุติจองหองหินชาติ เดี๋ยวนี้คนเราเมาสมมุติ สมมุติว่าฉันเป็นศาสตราจารย์ ฉันเป็นด็อกเตอร์ ฉันเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยนะ มันก็ไอ้ครูเหมือนกัน ก็ครูภาษาไทยครูผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นแม่คนหนึ่ง เป็นครูคนหนึ่ง จะอะไรกันนักกันหนาแม้แต่มหาวิทยาลัยก็ต้องบอกว่าฉันนี่จุฬานะ ฉันนี้ธรรมศาสตร์นะ ที่จริงแล้วก็เป็นครูเหมือนกันทั้งนั้น ที่สำคัญคือครูประถมศึกษา ที่จะต้องวางแผน ฉันจะต้องกราบครูประถมศึกษาที่ฉันไม่มีโอกาสเป็นครูประถมศึกษา แต่พอเขาเชิญมาพูดเรื่องประถมศึกษาตัวอย่างเดียวก็ต้องเอาเรื่องประถมศึกษามาให้
เพราะว่าครูประถมศึกษาเป็นครูที่วางรากฐาน ลูกของดิฉันโชคดีมากที่ไปเรียนอุบาลยุคลธร ท่านหญิงทั้ง 2 พระองค์นี้ท่านวางแผนไว้ดีมาก มาอยู่โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็วางแผนพื้นฐานได้ดีมากเลย เพราะฉะนั้นต่อให้ไปอยู่ต่างแดนสักเท่าไร ตอนที่ไปเรียนหนังสือลูกก็ไปด้วย กลับมาบ้านพูดภาษาไทยไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่แม่พูดภาษาไทยลูกก็ตอบเป็นภาษาอังกฤษตลอดเวลา แต่ว่าคนหนึ่งกลับมาตอน ป.4 กับ ป.5 ตอนไป ป.1 กับ ป.2 เขาก็มีความสนใจทางภาษา ทางวรรณคดี อ่านอะไรต่ออะไรแต่เวลาที่เขาเข้าเรียนจริงๆ ก็อยากให้เขาเรียนหมอ แต่เขาอยากเรียนวิศวกร ก็ชื่นใจค่ะพอผ่านใบหยก 100 ชั้น นี่ฝีมือลูกเรานะเขาทำงานร่วมกับบริษัทออสเตรเลี่ยน มันไม่จำเป็นว่าจะเป็นอย่างไรจะพูดภาษาฝรั่ง ภาษาอังกฤษก็ตาม กำพืดของคนเราคือคนไทยใช่ไหมค่ะต้องพูดภาษาไทยให้ได้ ต้องมีความรู้มีความเข้าใจอยากจะศึกษาค้นคว้า แง่งามของภาษานั้นมีอีกเยอะ พูดได้ทั้งวันแต่ก็เอาแต่พอสมควร
ต่อมาก็คือมีความศรัทธา เราเป็นครูภาษาไทยเราก็ต้องมีความศรัทธาในความเป็นครูในวิชาชีพครูของเราหมั่นศึกษาค้นคว้า หมั่นเตรียมการสอน เตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ให้เต็มที่ แล้วก็ทำศรัทธาของเราให้เป็นจริง สอนลูกศิษย์ของเราให้เกิดการเรียนรู้ไม่ใช่สอนให้มันผ่านๆ ไป สอนเด็กจนเกิดการเรียนรู้ อย่างเราสอนคำควบกล้ำ ไม่ใช่เราบอกนักเรียนคำควบกล้ำเป็น พยัญชนะสองตัวควบกล้ำกันใช้สระแล้วออกเสียงควบกล้ำกัน ปรับปรุง ครอบครัว เปลี่ยนแปลง เขาเรียกว่าควบแท้ แต่พยัญชนะสองตัวผสมกับสระแล้วออกเสียงเป็นอย่างอื่น สะสม ทรงทรัพย์ ทราบ เขาเรียกว่าควบไม่แท้ ถ้าเป็นเช่นนั้นเด็กก็ไม่เกิดการเรียนรู้ อย่างนั้นเราก็ต้องนำเขาสู้บทเรียนโดยการยกคำอะไรต่างๆ แม้แต่การร้องเพลงเช่นโอ่ง เช่นชาม เช่นไห ก็ได้เราต้องมีการนำเข้าสู่บทเรียนแล้วอะไรที่มันทันสมัยในตอนนั้นเราก็เอามามีอยู่ช่วงหนึ่งเพลงอะไร “ดอกไม้อะไรอยู่ในรูหู” เราจะสอนแม่กง แม่กน แม่กก แม่กบ
วิทยากรร้องเพลงตัวอย่างให้ฟัง
“นั่นแม่อะไรจำได้หรือไม่คุณหนู ฉันอยากจะรู้ว่าคำเหล่านั้น เป็นแม่กง กน กม เกย เกอวหรือไรกัน โอ้คำเหล่านั้นจำให้มั่นจะได้ไหมเธอ จำให้มั่นได้ไหมเธอ นั้นแม่อะไรจำได้หรือไม่คุณหนู ลุงคงลงคู โอ้คำเหล่านั้น เป็นแม่กง กน กม เกย เกอว หรือไรกัน โอ้คำเหล่านั้นจำให้มั่นแม่กง แม่กม แล้วแม่ต่างๆ กุล การ อ่านดู อมดม ชมพู่ เราก็เอาเพลงง่ายๆ มาแล้วนำเข้าสู่บทเรียนแล้วยกเยอะๆ คำนามก็เป็นคำนามทั่วไป มีคำนามเฉพาะที่เป็นชื่อ ดูซิว่ามันต่างกันอย่างไรมีการอภิปราย แล้วบอกให้เด็กสรุปสอนแบบอุปมานวิธีสอนจากตัวอย่าง ตัวอย่างเยอะๆ เต็มกระดานเลย ไม่ใช่ว่าประโยคที่เป็นเหตุผลกัน เดี๋ยวนี้เขาไม่เอาแล้วเหตะวานี เช่น ยุงชุมเพราะน้ำเน่า น้ำเน่าเพราะยุงชุม เด็กก็รู้อยู่แค่นั้น
ดิฉันก็เรียนอย่างนี้ตั้งแต่สมัยก่อน มันก็ไม่แตกฉานใช่ไหมค่ะ ก็ให้เด็กยกตัวอย่างเยอะๆ บนกระดาน จะสอนประโยคหรือแม่ต่างๆ จะสอนคำนาม คำสรรพนามอะไรต่ออะไร แล้วจึงมาสรุปเป็นคำจำกัดความเด็กก็มีความภาคภูมิใจว่าตัวเองได้สร้างบทไวยากรณ์ขึ้นมาเองนะ มันก็แตกฉานอาจจะเสียเวลานิดหน่อย แต่ว่ามันได้อะไรมากมายเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นความศรัทธาของเราที่มีต่อวิชาชีพจะทำให้เรากระตือรือร้น หาข้อมูลมาช่วยประกอบการสอน อย่างชั้นประถมมีเรื่องรามเกียรติ์ ตัวยักษ์ ตัวลิง ชื่ออะไรมันก็ยากเย็นไปหมดเลยแล้วเราจะทำอย่างไรลูกศิษย์เรามันถึงสนุกได้ ตอนนั้นมันมีเพลงของแหวน
วิทยากรร้องเพลงให้ฟัง
“ยึกยักเธอทำไมจึงยึกยัก จำได้ไหมค่ะ ยึกยักทั้งที่ใจก็ยินยอม” เอาละเราลองมาคิดดู “ยักษ์ ยักษ์ ลิงทำไมลิงจึงเยอะแยะ ยักษ์ ยักษ์ ฉันเห็นลิงวิ่งตามมา รบกันทำไม หรือว่าใครใช้ให้มา รบชิงศรีดานั้นยังไง ยักษ์ทศกันฑ์นั่นแหละมันร้ายนัก ยักษ์ตนนั้นมันลักศรีดามา ร้อนถึงพระรามถึงได้ตามมารบรา รบชิงศรีดานั้นยังไง” นี่คือบอกความเป็นมาใช่ไหมคะมันรบกันทำไม แต่ถ้าร้องเพลงเฉยๆ มันก็คงไม่เข้าท่านะ เราต้องแทรกอะไรลงไปในเพลงของเรา ท่อนแยก “คนเราควรมาพูดกัน ดีๆ มีอะไรก็ว่ามา อันยักษ์ลิงต้องให้ความเมตตา อยากรุนแรงนะเจ้า นัก เรียนนั่นแหละ น่ารักนัก เธอจงรักและให้ความเมตตา แม้มีอะไรก็มาพูดกันดีกว่า อย่าโกรธโกรธากันทำไม” ถ้าลูกศิษย์เรียนกับเราแล้วมันจะไม่ตบกัน เด็กเดี๋ยวนี้มันตบกันจากละคร จิกหัวตบแล้วอีกคนก็ถ่ายเอาไว้สนุกจังเลย แทนที่จะเข้าไปห้ามไปปราม เดี๋ยวนี้เขากระทืบกันจนตาย ครูกระทืบนักเรียน นักเรียนกระทืบกันเอง นักเรียนเอาหัวโขก เพราะฉะนั้นเราเป็นครูสอนไม่ว่าจะวิชาอะไร โดยเฉพาะครูภาษาไทยต้องแทรกคุณธรรม แทรกวัฒนธรรม จริยธรรมไทยลงไปด้วย อย่างน้อยมันก็ทำให้บทเรียนเรามีความคึกคักแล้ว แม้ว่าดิฉันจะเกษียณอายุแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังสอนอยู่ที่จุฬาฯ เดี๋ยวนี้เด็กเขาเดินชนที่หัวไหล่เราเปรี้ยงแล้วเฉยเลย