อ.กรหริศ บัวสรวง : “เปิดใจ” นักเขียนหมอดู

อ.กรหริศ  บัวสรวง

อ.กรหริศ บัวสรวง นับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านโหราศาสตร์ในอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย ด้วยความรู้ความสามารถในศาสตร์การพยากรณ์หลายแขนง บวกกับผลงานทางด้านการเขียนอีกจำนวนไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นหนังสือหรือตำราที่เกี่ยวข้องกับโหราศาสตร์ต่าง ๆ หรือการเป็นคอลัมนิสต์ให้หนังสือพิมพ์อีกหลายฉบับ

เริ่มจับปากกา
ชีวิตจะเริ่มต้นจากการเป็นคนที่ชอบทำกิจกรรมมาตลอด ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมที่สวนกุหลาบวิทยาลัย ก็จะอยู่ชมรมต่าง ๆ เช่นชมรมภาษาไทย ชมรมปาฐกถาโต้วาที ชมรมสังคมศึกษา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เริ่มงานเขียนหนังสือ เมื่อก่อนก็จะเขียนกลอน เพราะช่วงนั้นกลอนจะได้รับความนิยมมาก เราก็เริ่มจากการแปลเพลงสากลที่ดังๆ ในยุคนั้น แล้วก็มีการทำหนังสือเล่มเล็กๆ กันในโรงเรียน พอมาเรียนที่จุฬาฯ ก็เข้ามาอยู่ที่ชมรมวรรณศิลป์ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นชมรมที่สร้างนักเขียนดัง ๆ มามาก เลยทำให้ได้รู้จักนักเขียนเยอะ เช่นรงค์ วงษ์สวรรค์ สุจิต วงษ์เทศ ขรรค์ชัย บุญปาน เหล่านี้ก็จะอยู่ในกลุ่มที่เคยสังสรรค์อยู่ จริงๆแล้วก็เรียกได้ว่าเขียนหนังสือมาตลอด แต่พอมาถึงจุดหนึ่งแล้วก็หยุดเขียน ที่หยุดเขียนก็เพราะหันมาทำงานโฆษณา ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์เยอะ จึงทำให้ไม่ค่อยมีเวลาที่จะคิดเขียนอะไรเท่าไหร่นัก

ชีวิตการงานที่ผ่านมา
เมื่อเข้ามาทำงานโฆษณาก็เริ่มต้นในตำแหน่ง copy writer ซึ่งเป็นงานที่ยังต้องเกี่ยวข้องกับการเขียนเช่นเดียวกัน ก็คือจะต้องคิดคำโฆษณาให้สินค้าต่าง ๆ เช่น เครื่องสำอาง เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ แต่งานโฆษณามันทำให้เราได้รู้จักคนเยอะ เพราะจะต้องเชื่อมโยงกับคนหลายวงการ แล้วก็ทำให้ชีวิตค่อนข้างจะโลดแล่น สนุกสนาน มากกว่าที่จะอยู่ในรูปในรอยหรือจะมีแบบแผนอะไรของชีวิตมากมายนัก พอทำงานโฆษณาไปสักพักหนึ่งคือประมาณ 20 ปี ก็รู้สึกว่าเริ่มเบื่อแล้วกับงานตรงนี้ แล้วก็คิดว่าเด็ก ๆ รุ่นใหม่น่าจะมีโอกาสขึ้นมาแทนที่เราบ้าง ก็เลยคิดที่จะเปลี่ยนแนวดู แล้วก็มาทำหนังสือพิมพ์ชาวไทยอยู่เมื่อประมาณปี 2519 ทำอยู่สักพักหนึ่งหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ก็ปิดไปเนื่องจากมีการปฏิวัติเกิดขึ้นในยุคนั้น จากนั้นก็ยังไปทำงานที่อื่นอีกหลายอย่าง เช่นงานประชาสัมพันธ์ งานEven ต่างๆ แล้วก็มาทำรายการทีวีพวกสารคดี แต่จะเป็นกึ่งราชการ เช่น โครงการอีสานเขียวของทหาร แต่สิ่งที่ทำแล้วรู้สึกชอบมากที่สุดก็คือการทำหนังภาพยนตร์ แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำเต็มตัว จะอยู่เบื้องหลังซะมากกว่า ซึ่งงานต่าง ๆ ที่ทำมันก็เชื่อมกันอยู่ระหว่างโฆษณา ภาพยนตร์ ละคร และโปรดักชัน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นชีวิตที่ค่อนข้างมีรสชาติทีเดียว

ก้าวเข้าสู่วงการโหราศาสตร์
พออายุเริ่มมากขึ้นก็เริ่มเบื่อ พอเบื่อแล้วจึงเกิดจุดหักเหเปลี่ยนแปลง เมื่อประมาณปี 2536 ก็เลยไปดูดวงว่าช่วงต่อไปนี้เราควรจะทำอะไรดี ซึ่งหมอดูก็ได้บอกมา 2 อย่างหลังจากที่ได้วิเคราะห์จากดวงดาวแล้ว อย่างแรกก็คือ การไปบวชเป็นพระ ซึ่งเขายืนยันว่าถ้าไปทางนี้แล้วจะได้มีสมณศักดิ์ใหญ่โต ถึงแม้จะบวชตอนอายุมากแล้วก็ตาม ส่วนอีกเรื่องหนึ่งก็คือไปทางโหราศาสตร์ ซึ่งเราก็มาคิดว่าถ้าบวชเป็นพระ แล้วมีตำแหน่งใหญ่โตขึ้นมา แล้วเกิดมีเรื่องมัวหมองมาพัวพัน ก็อาจจะทำให้ศาสนาหรือตัวเราเสื่อมไปด้วย เพราะเราเองก็เป็นปุถุชนคนธรรมดา ก็เกิดความไม่แน่ใจ จึงตัดเรื่องการบวชออกไป ทีนี้ก็เลยมาพิจารณาเรื่องโหราศาสตร์ ซึ่งหมอดูเขาก็ยืนยันเหมือนกันว่าจะประสบความสำเร็จทางนี้ ชีวิตคนเราก็ต้องการประสบความสำเร็จไม่ว่าด้านใดด้านหนึ่ง อย่างน้อยในชีวิตการทำงานที่ผ่านมาก็ถือว่าประสบความสำเร็จไปแล้วขั้นหนึ่ง พอมาถึงเรื่องโหราศาสตร์ เราก็คิดว่าตัวเองพอจะมีพื้นฐานในเรื่องนี้อยู่บ้าง เพราะว่าตอนที่เรียนนิติศาสตร์ เราก็ต้องรู้เรื่องลายมือ ลายนิ้วมือ ลายพิมพ์นิ้วมือ ซึ่งจะบอกได้ว่าเป็นใคร ลักษณะเป็นอย่างไร ซึ่งก็ถือเป็นพื้นฐานอย่างหนึ่ง บวกกับที่ตอนเด็กๆ ชอบอ่านหนังสือ โหราศาสตร์ เช่นตำราพรมชาติ อะไรพวกนี้ แล้วพอดีว่าเป็นช่วงที่ตำราไพ่ยิปซีเริ่มเป็นที่รู้จักในยุคนั้น ก็เลยคิดว่าน่าจะลองจับเรื่องไพ่ดูก่อน เลยไปซื้อหนังสือและไพ่มาจากต่างประเทศมาเริ่มศึกษาด้วยตัวเอง แล้วก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เราสามารถเรียนรู้ได้

เมื่อได้เข้ามาอยู่มนวงการจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคำทำนายที่เราจะให้กับคนที่มาดูนั้น มันมีทั้งผิดและถูก ถูกแล้วเป็นเรื่องดีก็ดีไป แต่ถ้าถูกแล้วเป็นเรื่องร้ายมันก็ไม่ค่อยดีนัก หรือถ้าไม่แม่นยำแล้วไปให้การตัดสินใจกับเขา แล้วเขาเกิดมาเชื่อเรามากงมงายกับเรามากเกินไปจนไม่เอาไปไตร่ตรองให้ดี มันก็จะเป็นผลร้ายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการจะเป็นหมอดูไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีทั้งความแม่นยำ มีจรรยาบรรณ มีจริยธรรม แล้วก็ต้องรู้จริง เราก็เลยต้องมาศึกษาค้นคว้า แต่ว่าการเริ่มต้นของเรามันต่างจากนักพยากรณ์คนอื่น ๆ ที่เขาอาจจะเริ่มด้วยการไต่เต้า อาจจะต้องไปเดินเร่ดู หรือไปเช่าที่สำหรับดู แต่สำหรับเรามันแตกต่างมาก

การเริ่มต้นเป็นหมอดูของเราเป็นการเริ่มต้นที่มีรายได้งดงามมากกว่างานที่เคยทำมาเสียอีก แล้วก็จะมีที่ที่เขาจัดไว้ให้เราไปดูประจำ แล้วก็จะมีคนมาดูเยอะมาก จำได้ว่าวันแรกที่ดูดวงได้มาหลายพันเลยทีเดียว ทั้งที่ความจริงแล้วการเป็นหมอดูมันไม่ได้มีรายได้ดีมากมายขนาดนั้นหรอก แต่บังเอิญที่มันเป็นดวงชะตาของเรา และเมื่อเห็นว่าชักจะเข้าท่าแล้ว ก็เลยคิดว่าน่าจะหาความรู้เรื่องอื่น ๆ เพิ่มเติมนอกจากไพ่ ก็เข้ามาในสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ กะว่าจะเข้าไปเรียน แต่ก็ไม่ได้เรียน เพราะเขาแต่งตั้งให้เราเป็นอาจารย์สอนไพ่ยิปซี ไพ่ทาโร่ ก็เลยสอนเรื่อยมาจนเกือบสิบปีแล้ว ซึ่งก็มีลูกศิษย์ลูกหาอยู่มากพอควร

ผลงานด้านการเขียน
ระหว่างที่สอนลูกศิษย์ เราเองก็ศึกษาค้นคว้าไปด้วย จนกระทั่งคิดค้นสูตรพิเศษขึ้นมาในไพ่ยิปซีเรียกว่าไพ่ยิปซีชั้นสูงในระบบกระแสจิต ก็คือใช้ไพ่มากกว่าที่เขาใช้อยู่ ซึ่งจะสามารถทำให้เจาะลึกในการดูดวงได้แม่นยำขึ้น ซึ่งตอนนั้นนิตยสารดวงเศรษฐีก็เอาเรื่องราวของเราไปลงเลยทำให้คนรู้จักมากขึ้น ก็เลยนำเรื่องนี้มาเขียนเป็นหนังสือเล่มแรก เมื่อประมาณ 3-4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งก็ทำให้เป็นที่รู้จักพอสมควร และจากการที่เราดูดวงคนมามากก็มาคิดว่าทำไมคนเรามีปัญหามากมายทั้ง ๆ ที่บางทีพื้นฐานดวงชะตาก็ดี ก็เลยมาดูเรื่องชื่อคน จึงได้รู้ว่าชื่อนั้นมีความสำคัญมาก จะต้องตั้งให้ถูกต้องตามหลักโหราศาสตร์ แต่ที่ตั้งกันอยู่มันยังเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เราก็เลยมาคิดสูตรของเราที่เรียกว่าวิชานามศาสตร์ ซึ่งจะแย้งกับตำราเลขศาสตร์ที่กำลังนิยมกันอยู่ในเมืองไทยพอสมควร

จะเห็นได้ว่าคนไปเปลี่ยนชื่อกันมากมายเพราะคิดว่าจะทำให้ชีวิตดีขึ้นแต่จริงแล้วก็ยังไม่ใช่ จึงได้เขียนหนังสือขึ้นมาเกี่ยวกับวิชานามศาสตร์เรื่อง “โชคดีหรือร้าย ช่วยได้ด้วยชื่อ ” แล้วก็มีเรื่องที่วางแผงไปไม่นาน คือ “จะเกิดอะไรขึ้นกับคุณในปี 2551” ซึ่งเขียนร่วมกับอาจารย์อีกคนหนึ่ง และผลพวงจากความสำเร็จในวงการโหราศาสตร์ก็ทำให้ได้รับเกียรติไปเป็นคอลัมนิสต์ในหนังสือพิมพ์และนิตยสารอีกหลายฉบับ เช่น woman plus, ทีวีรีวิว, อาทิตย์วิเคราะห์รายวัน และล่าสุดในหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมือง ส่วนเรื่องหนังสือจริง ๆ แล้วมีเรื่องอยากจะเขียนอีกมากแต่เนื่องจากไม่ค่อยมีเวลาจึงเก็บเรื่องทีจะเขียนเอาไว้อีกเยอะ และในปีหน้าก็วางแผนไว้ว่าจะเขียนเรื่อง “จตุรงคโชค โชค 4 ประการ” แล้วก็เรื่องเลขศาสตร์ที่เป็นของไทยไม่ใช่ตำราที่แปลมาจากต่างชาติ แล้วก็อาจจะมีเรื่องไพ่ออกมาอีกครั้งหนึ่ง

กรหริศ บัวสรวง

 

มองภาพรวมหนังสือแนวนี้ในปัจจุบัน
ทุก ๆ ปีพอใกล้ปีใหม่ก็จะมีหนังสือเกี่ยวกับความเชื่อ โหราศาสตร์ โชคชะตาราศีออกมากันมาก แต่มองดูแล้วเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง อย่างเช่นหนังสือที่บอกว่าจะทำให้รวย เป็นเศรษฐี ซึ่งชื่อหนังสือแบบนี้มันหลอกลวง เราต้องมองในสิ่งที่เป็นสัจธรรมว่า การที่เราจะรวยหรือเป็นเศรษฐีได้นั้นอย่างน้อยเราก็ต้องมีช่องทางที่ดี มีอาชีพที่เหมาะสม และปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายอย่าง เพราะฉะนั้นการจะรวยมันไม่ได้รวยเพราะสิ่งที่ในหนังสือเหล่านี้บอกมา เรียกได้ว่าหนังสือพวกนี้เป็นการครอบงำคน เพราะคนขาดที่พึ่ง มีปัญหา หมดความหวัง ก็จะหันมาพึ่งสิ่งเหล่านี้ สังคมในทุกวันนี้มีการแข่งขันมากขึ้น มีความก้าวหน้าทางวิทยาการมากขึ้น ทางโหราศาสตร์เองก็เฟื่องฟูเช่นเดียวกัน แต่มีทั้ง 2 แนว คือแนวที่ค้นคว้าข้อมูลที่เป็นศาสตร์อย่างแท้จริงกับอีกแนวหนึ่งที่ฉวยโอกาสในขณะที่สังคมอ่อนแอ

ฝากผลงาน
ในปี 2551 นี้คิดว่าจะตั้งสมาคมชื่อว่า สมาคมโหราศาสตร์เพื่อชาติและประชาชนขึ้น เพราะบ้านเมืองเรานั้น โหราศาสตร์ถือได้ว่ามีบทบาทสำคัญมาตั้งแต่สมัยเก่าก่อน เช่น เรื่องการดูดวงเมือง การดูฤกษ์งามยามดีต่าง ๆ สำหรับออกรบหรือกระทำการใด ๆ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังคิดว่าโหราศาสตร์น่าจะสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน โดยที่ไม่มีการหลอกลวงแอบแฝง คือถ้าตั้งสมาคมขึ้นมาได้ ก็จะให้มีการรับปรึกษาดวงฟรี เป็นบริการให้ประชาชน หรือถ้าประเทศไทยอยู่ในวิกฤติ ก็จะดูว่าโหราศาสตร์จะเข้าไปช่วยอะไรได้บ้าง ถึงแม้ทางฝ่ายปกครองหรือรัฐบาลจะไม่เชื่อทั้งหมดแต่เอาไปใช้บ้างก็ยังดี เพราะของแบบนี้ต้องบอกว่าไม่ลองก็ไม่รู้ เพราะไม่ได้เสียหายอะไร นอกจากนี้ก็ยังจะมีกิจกรรมการกุศลอีกมากมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่หวังไว้ว่าอยากจะทำให้สำเร็จ

แบ่งเวลาสำหรับพักผ่อนอย่างไร
ตอนหลัง ๆ พอเริ่มอายุมาแล้วก็ชอบร้องเพลงคาราโอเกะ ที่บ้านบ้าง ที่ร้านบ้าง อีกอย่างหนึ่งที่ใช้ในการพักผ่อนคือการกิน กินในที่นี้ไม่ได้หมายถึงกินเยอะ แต่หมายถึงกินของที่กินแล้วสบายใจ หรือสถานที่กินที่สบาย ๆ บรรยากาศดี เพราะการที่มีคนมาปรึกษาเรามาก ๆ บางทีเรื่องเหล่านั้นมันก็หมักหมมอยู่ในสมองเราเช่นกัน ส่วนเรื่องเดินทางคงไม่ค่อยได้ไปไหน เพราะเดี๋ยวนี้ความปลอดภัยในการเดินทางมีน้อย แต่ถ้าเป็นไปได้คิดว่าอีก 2-3 ปี จะไปอยู่ต่างจังหวัดเพื่อเป็นที่สงบ ๆ สำหรับเขียนงาน เพราะการเขียนที่ตั้งเอาไว้คงไม่ใช่เรื่องตำราโหราศาสตร์อย่างเดียว ซึ่งอาจจะเขียนนิยายหรือประสบการณ์ชีวิตบ้าง

มองแนวโน้มตลาดหนังสือด้านความเชื่อและโหราศาสตร์อย่างไร
ถ้าเป็นเรื่องของศาสตร์อย่างที่เรียกว่าคัมภีร์โหราศาสตร์จริง ๆ คาดว่าจะไม่บูมสักเท่าไหร่ หนังสือตำราที่จะออกมาจะเป็นหนังสือแนวแนะนำแก้ไขมากกว่าจะเป็นวิชาการ เพราะวิชาการนั้นนอกจากจำนวนพิมพ์จะน้อยแล้ว คนยังให้ความสนใจน้อยมาก สาเหตุก็เพราะ เดี๋ยวนี้มีสมาคมสอนโหราศาสตร์การพยากรณ์เยอะมาก และยังมีอาจารย์อีกหลายคนที่จะมาถ่ายทอด ซึ่งต่างจากสมัยก่อนที่หนังสือวิชาการจะหายากเพราะสำนักพิมพ์ไม่ได้เจริญรุ่งเรืองเหมือนสมัยนี้ ถ้าพิมพ์หนังสือวิชาการก็จะต้องพิมพ์น้อยแล้วต้นทุนก็จะสูง เพราะฉะนั้นหนังสือที่ออกแนววาไรตี้จะมีมาก เช่นแนวแก้ไข แนะนำ เสริมดวงชะตา ทำอย่างไรให้รวย อะไรประมาณนี้ แต่ว่าจะหาวิชาการแท้ ๆ จากการค้าคว้าคงจะมีน้อย ส่วนหนังสือที่เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องเทพเจ้าต่าง ๆ นั้น ก็ยังมีผู้ให้ความสนใจมากอยู่เพราะเป็นเรื่องที่เรานับถือกันมานาน เพราะฉะนั้นหนังสือแนวนี้ก็ยังน่าอ่านอยู่และยังจะมีออกมาเรื่อย ๆ เช่น การสักการบูชา เทพเจ้าต่าง ซึ่งตรงนี้มองว่าไม่มีพิษมีภัย ตราบใดที่ไม่มีเรื่องที่ทำให้เขาต้องงมงายเสียเงินเสียทองมากมาย ส่วนเรื่องเครื่องรางของขลังนั้น มองว่ามันดูจะมากเกินไปแล้วสำหรับยุคนี้ ผู้คนไปงมงายล่มหลงกันมากเกินไป เราเป็นคนไทยพุทธ สิ่งแรกที่ควรจะนับถือก็ควรจะเป็นพระเจ้า แล้วก็พระธรรม พระสงฆ์มากกว่า

 

Writer

Sirirat Soonsakul

นักอยากเขียน ผู้รักการสะสมท้องฟ้าสีวนิลลา และใช้หมูกระทะเยียวยาจิตใจ