หลายคนอาจคิดว่าการลงทุนในตลาดหุ้นดูเป็นเรื่องง่าย แต่ความจริงมีความเสี่ยงสูงมาก ต้องอาศัยทั้งจังหวะและประสบการณ์ วันนี้จะมาขอแนะนำหนังสือที่นักลงทุนหลายท่านยอมรับแล้วว่าเป็นสุดยอดหนังสือที่ต้องหามาอ่านก่อนที่จะตัดสินใจเป็นนักลงทุน
1.The Essays of Warren Buffett โดย Lawrence Cunningham
เล่มนี้มีแปลเป็นไทยแล้วว่า คมปัญญา ของ วอร์เร็น บัฟเฟตต์ เขาได้ชื่อว่าเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลกและได้รับการจัดอันดับให้ติด 1 ใน 5 มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกทุกปี บัฟเฟตต์เกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 1930 ที่โอมาฮา ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่และซีอีโอของบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ เล่นหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 แต่รู้จักค้าขายตั้งแต่เล็กๆ แล้ว หนังสือเล่มนี้คือจุดเริ่มต้นของหนังสือเกี่ยวกับ วอเร็น บัฟเฟตต์ ทั้งปวง หลายสิบปีมาแล้วที่บัฟเฟตต์จะเขียนรายงานประจำปีของ เบิร์กไชร์ฮาธาเวย์ ส่งให้กับผู้ถือหุ้นของเขา ซึ่งในรายงานนั้นนอกเหนือจากรายงานปกติทั่วไปแล้วยังประกอบไปด้วยปรัชญาและแนวความคิดการลงทุนต่างๆ มากมายของเขา และที่นี่เองคือจุดเริ่มต้นของการศึกษาแนวทางการลงทุนของบัฟเฟตต์
2.Poor Charlie's Almanack โดย Charlie Munger
เป็นหนังสือที่เขียนถึงชีวะประวัติและปรัชญาการดำเนินชีวิตและการลงทุนของชาร์ลี มังเกอร์ผู้เป็นคู่คิดด้านการลงทุนของวอร์เร็น บัฟเฟตต์แห่ง Berkshire Hathaway เป็นแนวทางเพื่อการลงทุนที่ดีขึ้นการตัดสินใจและการคิดเกี่ยวกับโลกและชีวิตโดยทั่วไป มุมมองที่ไม่เหมือนใครของชาร์ลีสิ่งที่เขาเรียกว่า "สหสาขาวิชาชีพ" เป็นรูปแบบการพัฒนาตนเองสำหรับความคิดที่ชัดเจนและเรียบง่าย
3.One up on Wall Street โดย Peter Lynch
หนังสือเล่มนี้จะพาคุณไปรู้จักกับหลักการลงทุนของ "ปีเตอร์ ลินซ์" ที่เน้นหาหุ้น "สิบเด้ง" หรือหุ้นที่จะขึ้นไป 10 เท่าตัว ด้วยการนำสิ่งที่คุณรู้อยู่แล้วมาใช้ให้เป็นประโยชน์ โดยสำรวจการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจและตั้งข้อสังเกตในสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน และนำมันมาเป็นข้อได้เปรียบในการลงทุน "ลินซ์" จะบอกถึงวิธีการดูงบการเงิน ตัวเลขที่สำคัญต่าง และที่สำคัญที่สุด เขาได้แบ่งหุ้นออกเป็น 6 ประเภท ไม่ว่าจะเป็นหุ้นโตช้า หุ้นแข็งแกร่ง หุ้นโตเร็ว หุ้นวัฏจักร หุ้นฟื้นตัว และหุ้นทรัพย์สินมาก โดยลินซ์บอกว่าถ้าคุณเข้าใจว่าหุ้นที่คุณจะลงทุนนั้นธรรมชาติของมันเป็นหุ้นประเภทใด คุณจะสามารถทำเงินได้มหาศาลจากมัน โดยเฉพาะในหุ้นโตเร็วและหุ้นวัฏจักรถ้าคุณลงทุนได้ถูกจังหวะ หลักการของลินซ์นั้นได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าใช้ได้ผลและได้ทำให้...เหนือกว่าวอลสตรีท...เป็นหนังสือคลาสสิคที่ทรงคุณค่า ทั้งในปัจจุบัน... และในอนาคต!
4.Reminiscences of a Stock Operator โดย Edwin Lefevre
เรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อต้นยุค 1900 ที่อเมริกา แต่เรื่องจริงที่น่าสนใจกว่านั้นคืออ่ะไรน่ะหรือ ? …. มันก็คือหนังสือหุ้นเล่มนี้ Reminiscences of stock operator เขียนโดย Edwin lefevre ผู้ที่เป็นนักหนังสือพิมพ์ที่มีความสนิทสนมกับ ตำนานแห่งตลาดหุ้น อย่าง Jesse livermore คนนี้ครับ โดยหนังสือหุ้นเล่มนี้มีลักษณะเป็นเหมือนบทสัมภาณ์และชีวประวัติที่อัดแน่นเต็มไปด้วยสุดยอดแนวคิดการเก็งกำไรและการลงทุนของ Livermore ครับ ถ้าจะให้เปรียบเปรยความล้ำค่าของ มันก็คงต้องบอกว่าถ้า The inteligence investor ของ Benjamin Graham เป็นเหมือน bible ของนักลงทุนสาย Fundamental แล้ว หนังสือหุ้นเล่มนี้ก็คงเปรียบเหมือน “พิชัยสงครามซุนวู” ของ โลกการเก็งกำไร ผู้อ่านหลายคนบอกว่า ครบเครื่องมาก ไม่ว่าจะเป็น หลักการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค , เทคนิคการเล่นหุ้น , การบริหารเงินทุน ( Money management ) แต่ที่คิดว่าทุกคนจะซาบซึ้งได้ก็คงจะเป็นแง่คิดทาง จิตวิทยาการลงทุน ( Psychology of trading )
5.Common Stocks and Uncommon Profits โดย Philip Fisher
"บิดาแห่งหุ้นเติบโต" คือฉายาที่สังคมการเงินมอบให้กับ "ฟิลลิป ฟิชเชอร์" ผู้ซึ่งเขียนหนังสือเล่มนี้ และได้รับการยกย่องว่าเป็นหนังสือการลงทุนที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งของโลก และยังเป็นหนังสือการลงทุนเล่มแรกที่ติดอันดับหนังสือขายดีของ New York Times อีกด้วย เป้าหมายของหนังสือเล่มนี้คือแนะนำวิธีในการหาหุ้นเติบโต (Growth Stock) โดยจะเน้นไปที่ " กฎ 15 ข้อ ของฟิชเชอร์ และ คำนินทา (Scuttlebutt) " ซึ่งจะอธิบายให้เราเข้าใจว่าบริษัทที่ควรจะลงทุนนั้นต้องมีคุณสมบัติอย่างไร บริษัทอย่างไรที่เราไม่ควรลงทุน เราควรจะซื้อหุ้นเมื่อไร เราควรจะขายหุ้นเมื่อไร และเมื่อไรที่ไม่ควรขาย
6.Security Analysis โดย Benjamin Graham and David L. Dodd
หนังสืออมตะของบรรดานักลงทุนทั่วโลก และยังถือได้ว่าเป็นคัมภีร์ไบเบิลสำหรับวงการนักลงทุน ซึ่งเขียนโดยกูรูการลงทุนทั้งสองท่าน Benjamin Graham เป็นนักลงทุนและเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่ Columbia University และเป็นอาจารย์ของ Warren Buffett ด้วย ส่วน David Dodd ก็เป็นอาจารย์และเพื่อนร่วมงานของ Graham โดยหนังสือได้ให้ความคิดที่ว่านักลงทุนตัวจริงจะต้องมีสัญชาตญาณของ นักสืบ มากกว่า นักสถิติ หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นเพื่อช่วยแนะนำแนวทางในการลงทุน หลังจากเกิดมหาวิกฤติเศรษฐกิจของโลกซึ่งมีต้นเหตุมาจากการเก็งกำไรครั้งใหญ่ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก
7.The most important thing illuminated โดย Howard Marks
The Most Important Thing Illuminated โดย "โฮเวิร์ด มาร์ค" ผู้เขียน เป็นประธานกรรมการและผู้ก่อตั้งบริษัท Oaktree Capital Management ซึ่งเป็นบริษัทการลงทุนที่บริหารเงินทุนกว่า 75,000 ล้านดอลลาร์ เขาเป็นนักการลงทุนแบบเน้นคุณค่าที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง กระทั้งวอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนเบอร์หนึ่งของโลก ก็ยังติดตามอ่านข้อเขียนของมาร์คเป็นประจำ โฮเวิร์ด มาร์ค ได้คั้นสิ่งที่สำคัญที่สุด หรือ "แก่น" ของการลงทุนแบบเน้นคุณค่ามานำเสนอแก่ผู้อ่าน โดยนำบันทึกของเขาซึ่งเขียนถึงนักลงทุนมาร้อยเรียง พร้อมเพิ่มเนื้อหาเพื่ออธิบายประเด็นต่างๆ ให้กระจ่างชัดขึ้นไปอีก นอกจากนี้ ตลอดทั้งเล่มยังมีนักลงทุนชั้นเซียนอีกสี่คนมาให้ความคิดเห็นเพิ่มเติม ซึ่งทำให้หนังสือเล่มนี้มีความพิเศษมากยิ่งขึ้น ผู้อ่านจะได้เรียนรู้หลักคิดและปรัชญาการลงทุนที่กลั่นออกมาจากประสบการจริงและได้รับการพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผล!
8.You can be a stock market genius โดย Joel Greenblatt
หลักการลงทุนจากหนังสือ คุณก็เป็นเซียนหุ้นได้ 1. ให้ทำการบ้านเอง (Do your own work) 2. อย่าเชื่อคนอายุเกิน 30 (Don’t trust anyone over thirty) 3. อย่าเชื่อคนอายุ 30 หรือต่ำกว่า (Dont’s trust anyone thirty or under) 4. เลือกตำแหน่งของตัวเอง (Pick your spots) 5. อย่าซื้อหุ้นมากตัว ให้เก็บเงินไว้ในธนาคารบ้าง (Don’t buy more stocks; put money in the bank) 6. ให้มองที่ Downside เป็นหลัก (Look down, not up) 7. มีหลายหนทางในการลงทุนให้ประสบความสำเร็จ (There’s more than one road to investment heaven)
9.The intelligent investor โดย Benjamin Graham
หนังสือเล่มนี้ได้รับการยกย่องจาก วอร์เรน บัฟเฟตต์ ให้เป็นหนังสือที่ดีที่สุดทางด้านการลงทุน และ Benjamin Graham ก็ได้รับการยกย่องให้เป็น บิดาแห่งการลงทุน หนังสือได้แนะนำเทคนิคในการค้นหาราคาหุ้นที่แท้จริง (Intrinsic Value) ของหุ้นนั้นๆ หากราคาหุ้นตกลงมาต่ำกว่าราคาหุ้นที่แท้จริงอย่างมีนัยสำคัญแล้ว ก็จะเป็นโอกาสอันงามของนักลงทุนที่จะเข้าไปเก็บหุ้นดังกล่าว
10.Margin of Safety by Seth Klarman Seth Klarman
ผู้จัดการกองทุนบริหารความเสี่ยงขนาด 29 พันล้านเหรียญ โดยใช้แนวการลงทุนเน้นคุณค่าเป็นหลัก ด้วยพื้นฐานปริญญาตรีทางเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Cornell และ MBA จาก Harvard ทำให้เขาเข้าสู่โลกของการบริหารกองทุน ด้วยการก่อตั้ง Baupost Group ในปี 1982 ซึ่งในเวลานั้น เขาอายุเพียง 25 ปี ผ่านถึงปัจจุบัน มีการประเมินกันว่ากองทุนของ Seth สามารถทำผล ตอบแทนทบต้นราว 17% ตั้งแต่ก่อตั้งมา ถึงแม้ว่ายังไม่เทียบเท่า Warren Buffett แต่ก็นับว่าชนะคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันแบบขาดลอย การลงุทนไม่ใช่ เรื่องง่ายๆที่จะได้กำไร แม้แต่ระดับมืออาชีพที่มีการศึกษาอย่างดี มีประสบการณ์ที่ยาวนานก็ไม่สามารถที่จะชนะตลาดได้เสมอไป การลงทุนนั้นมักมีการแพ้การชนะเกิด ขึ้นอยู่ตลอดเป็นธรรมดา การตัดสินใจถูกและผิดเป็นเรื่องปกติ ดังที่ George Soros นักลงทุนในตำนาน ได้เคยกล่าวไว้ว่า “ (ในเรื่องการลงทุนนั้น) มันไม่ใช่เรื่องถูกหรือผิดที่สำคัญ หากแต่เป็นเรื่องถ้าคุณถูก คุณทำเงินได้เท่าไหร่ และเมื่อคุณผิดคุณจะเสียเงินเท่าไหร่ นั่นแหละที่สำคัญ” ดังนั้นเรื่อง “ส่วนเผื่อความ ปลอดภัย (Margin of Safety)” ซึ่งเป็นหลักสำคัญของการลงทุนเน้นคุณค่า จึงมีส่วนช่วยให้นักลงทุน อยู่รอดปลอดภัย ถึงแม้เขาอาจจะตัดสินใจผิดไปบ้างก็ตาม
อ้างอิงจาก : http://www.businessinsider.com/business-books-recommendations-2017-5/#the-intelligent-investor-by-benjamin-graham-9