พิธีกร : สวัสดีค่ะ วันนี้เราได้รับเกียรติจากคุณวันชัย ประชาเรืองวิทย์ กรรมการผู้จัดการสำนักพิมพ์ต้นไม้ มาพูดให้หัวข้อเรื่อง “รู้จักบุคลากรในงานสำนักพิมพ์และการบริหาร” คุณวันชัยเรียนจบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยเป็นCoach ไปจัด training ให้กับ MK สุกี้ ไปอบรมพนักงานของนานมี บุ๊คส์ , อมรินทร์ฯ , AIA , AMWAY , Herbal Life เป็นต้น ขอเชิญรับฟังการบรรยายจากคุณวันชัยได้เลยค่ะ
คุณวันชัย : สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมาพูดเกี่ยวกับการบริหารบุคลากรในงานสำนักพิมพ์ สำนักพิมพ์ของผมส่วนใหญ่ทำหนังสือประเภทพัฒนาตนเอง ซึ่งเป็นหนังสือที่จะช่วยให้คนเรามีความคิดที่ดีขึ้น เป็นหนังสือที่ให้กำลังใจตนเอง สร้างแรงบันดาลใจในการทำสิ่งต่างๆ ในการทำหนังสือนั้นโดยภาพรวมนั้นจะต้องทำในสิ่งที่ผู้อ่านต้องการ ไม่ทำตามใจตนเอง นอกจากนั้นแล้วเราก็ต้องมีอุดมการณ์ของตนเองว่าเราต้องการทำหนังสือเล่มหนึ่งๆไปเพื่ออะไร ถ้าคุณตั้งเป้าหมายการผลิตหนังสือไว้เพื่อให้ประโยชน์แก่ผู้อ่าน ผู้อ่านรู้สึกว่าตนอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วสามารถพัฒนาตนเองขึ้นได้ ดังนั้น ยอดขายจึงไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในการผลิตหนังสือของคุณ แต่ถ้าคุณคิดว่าหนังสือเล่มนั้นๆของคุณจะต้องเป็น Bestseller จะทำให้คุณต้องอกหักกับการขายหนังสืออยู่บ่อยๆ เพราะหนังสือทุกเล่มไม่สามารถเป็น Bestseller ได้ทั้งหมด จริงอยู่การที่เราขายได้น้อยทำให้เราขาดทุน แต่ถ้าเราไม่มองที่คุณค่าของหนังสือ ไปมองที่ตัวเงินจนหลงทาง มันจะทำให้ชีวิตของคุณไม่มีความสุข อีกทั้งคนรอบข้างคุณก็จะไม่มีความสุขไปด้วยเมื่ออยู่กับคุณ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การทำธุรกิจสำนักพิมพ์ก็เหมือนกับทำธุรกิจทั่วไปที่ต้องวางแผนการผลิตเพื่อไม่ให้ธุรกิจขาดทุน วิธีการวางแผนนั้นจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ทั้งจำนวนผลิตหนังสือต่อปี จำนวนพนักงานประจำและ Freelance เป็นต้น โดยปัจจัยดังกล่าวต้องมีความสัมพันธ์กัน ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง สมมติว่าปีหนึ่งๆสำนักพิมพ์ต้นไม้ทำหนังสือออกมาประมาณ 20 – 24 ปก เฉลี่ยเดือนละ 2 ปก อีก 10 ปีข้างหน้าถ้าผมยังรักษาอัตราการผลิตหนังสือเช่นนี้ไว้ ก็เท่ากับว่าหนังสือจะออกมาทั้งหมด 240 ปก ถามว่าเยอะไหม ก็เยอะเหมือนกัน ถามว่าน้อยไหม ก็ไม่ถึงกับน้อยมาก ผมพูดมาถึงตรงนี้ คุณคงพอจะเห็นภาพว่า การที่เราจะจ้างพนักงานประจำเข้ามาทำงานเป็นจำนวนมาก ต้องเป็นเรื่องใหญ่โตทีเดียว จำเป็นต้องคิดให้ถี่ถ้วน ดังนั้น การที่จะสามารถจ้างพนักงานประจำได้มากๆ เราจำเป็นต้องมีความพร้อม เพราะมิฉะนั้น เขาทำงานได้ไม่นานเราก็จะต้องเชิญเขาออกไปเพราะไม่มีอะไรให้ทำ เมื่อเราจ้างคนเข้ามามากแต่ไม่มีงานให้เขาทำอย่างต่อเนื่อง เขานั่งว่างเฉยๆ ผมคิดว่าจ้างมาให้ทำหนังสือแค่ เดือนละ 2 ปก ไม่จำเป็นต้องจ้างทั้ง 30 วัน เขาทำงานไม่กี่วันก็เสร็จแล้ว วันที่เหลือนั่งรอเฉยๆว่าเมื่อไรจะส่งงานให้ทำ ดังนั้นเราควรจ้าง Freelance ดีกว่า
Q : ในการจ้าง Freelance สำนักพิมพ์ต้นไม้เคยเจอปัญหาอะไรบ้าง
A : ต้องเจอแน่นอน คือ เนื่องจากทุกสำนักพิมพ์จะมีความกระตือรือร้นที่จะออกหนังสือในช่วงที่ใกล้กับงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ และงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ ซึ่งเราจะจัดประมาณเดือนตุลาคมและเดือนเมษายน ผู้ประกอบการของสำนักพิมพ์อื่นๆเขาจะออกหนังสือในช่วงเดือนนี้เป็นจำนวนมากเหมือนๆกัน เพราะฉะนั้น Freelance เขาอาจจะไม่ได้รับงานของเราคนเดียวก็ได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงมีสิทธิ์ที่จะเกเรได้ เช่นว่าทำไม่ทัน ติดงานอื่นอยู่ด้วย เป็นต้น เราก็อาจต้องหา Freelance หลายๆคน แต่มันก็ยังมีปัญหาอีกเพราะในช่วงที่เราเริ่มจ้างให้เขาทำงาน Freelance ทุกคนก็จะงานล้นมือเหมือนกัน เพราะเขาก็ไปทำสำนักพิมพ์อื่นด้วยอีกเหมือนกัน
ส่วนปัญหาที่ว่าจ้างมาแล้วต้องฝีมือถึงจริง ดูง่ายมาก เราต้องถามเขาก่อนว่าเขามีประสบการณ์มากี่ปี ดูว่าเขามีความรู้อะไรบ้าง เช่น วรรณกรรมต้องใช้ font ของตระกูลนี้ ถ้าหนังสือวิชาการต้องเป็น font ตระกูลนี้ หนังสือแนวพัฒนาให้กำลังใจคนต้องเป็น font ตระกูลนี้ เป็นต้น ถ้าเป็นคนที่ทำงานมาจริงๆเขาจะรู้
เคยมีคนถามสำนักพิมพ์ต้นไม้ว่า ทำไมไม่เพิ่มจำนวนปกจาก 24 ปก เป็น 100 ปก ถ้าเราทำเช่นนั้น เราต้องถามตนเองก่อนว่า เราสามารถจ้างบุคลากรจำนวนมากเข้ามาทำงานจนเสร็จได้หรือไม่ เพราะการที่จะทำอย่างนั้นได้ จำเป็นต้องมีเงินเยอะมากทีเดียว จริงๆปัญหามันก็ไม่ได้อยู่ที่ว่าจะหาเงินมาจากไหน เพราะผมก็พอจะหาได้ แต่มันอยู่ที่ว่าถ้าหนังสือขายไม่ดี มันก็จะไปไม่รอด ผมคิดว่าการที่ผมทำมาเดือนละ 2 ปก ก็พอดีแล้วสำหรับผม ซึ่งก็ไม่ได้น้อยเกินไป บางคนปีหนึ่งๆเขาออกกันเพียง 2 ปก นั่นแสดงว่าหนังสือของเขาต้องขายดีมาก ไม่เช่นนั้นลูกค้าก็จะจำเขาไม่ได้ แต่ข้อเสียของการออกหนังสือน้อยปกเกินไป ก็คือ จะทำให้ประเทศชาติพัฒนาได้ช้า คนไทยอ่านหนังสือปีหนึ่งได้เพียงไม่กี่เล่ม แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ไม่อยากออกหนังสือมากปกเกินไปด้วย เพราะเกรงว่าลูกค้าประจำจะอ่านหนังสือที่ออกมาไม่ทัน นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมไม่อยากออกหนังสือน้อยปกหรือมากปกเกินไป
สำหรับเรื่องจำนวนยอดพิมพ์ในแต่ละครั้ง ผมจะเล่าประสบการณ์การพิมพ์หนังสือให้ฟังว่า ในช่วงแรกๆ สำนักพิมพ์ต้นไม้พิมพ์ First Print ออกมาเยอะ ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่าหนังสือจะขายได้หรือเปล่า แต่ผมมีแรงดลใจให้สั่งพิมพ์ครั้งแรกไปถึง 15,000 เล่ม คนรอบข้างถามผมว่าแน่ใจหรือที่ทำอย่างนี้ ผมบอกว่าขายได้อยู่แล้ว และผลปรากฏว่าขายได้เกินความคาดหมาย แต่ว่าหนังสือที่ออกมาในช่วงแรกของสำนักพิมพ์ต้นไม้ คือ ปีละ 4 ปก
แต่ในปัจจุบัน พฤติกรรมของผมเปลี่ยนไป ผมลดจำนวนพิมพ์ลงเหลือครั้งละ 3,500 เล่มต่อปก แต่เพิ่มจำนวนปกออกมาเป็นปีละ 24 ปก โดยจะเก็บไว้ขายหน้างาน 500 เล่ม อาจจะขายงานละ 2 ครั้ง อีก 3,000 เล่มส่งถึงผู้จัดจำหน่าย เช่น อมรินทร์ฯ ซีเอ็ดฯ สาเหตุที่ผมเปลี่ยนแปลงแผนการผลิตหนังสือ เนื่องจากไม่ต้องการเสี่ยงจนเกินไป คิดว่าถ้าเล่มใดขายดี จะ Reprint ก็ยังไม่สาย ถ้าขายดีแล้ว ผมจะสั่ง Reprint ทันที ถึงแม้ว่าจะมีต้นทุนสูงขึ้นก็ตาม สาเหตุที่ผมเปลี่ยนมาทำเช่นนี้ ก็เนื่องจากเคยได้สัมผัสความรู้สึกที่มีหนังสือค้าง Stock ว่ามันน่ากลัวมาก เดี๋ยวนี้พิมพ์น้อยๆ ประมาณ 2,000-5,000เล่ม แต่ข้อเสียของการพิมพ์จำนวนน้อยต่อครั้งก็มีบ้าง คือ โรงพิมพ์ไม่ลดราคาค่าทำเพลทให้เหมือนเมื่อก่อน
การเปลี่ยนแปลงจำนวนการออกหนังสือ ทำให้ผมลดจำนวนคนงานลงไปตำแหน่งหนึ่ง คือ คนที่ทำหน้าที่ติดต่อขอลิขสิทธิ์ โดยผมจะทำหน้าที่นี้ด้วยตนเอง เนื่องจากการซื้อลิขสิทธิ์ ถ้าเราอยากได้หนังสือเล่มนั้นๆมาขอลิขสิทธิ์แปล การที่เราเดินไปหา Agency ด้วยตนเอง คนที่ Agency ก็จะรู้สึกว่าเราอยากได้จริงๆ และในบางกรณีที่หนังสือเล่มนั้นมีหลายสำนักพิมพ์อยากได้ นั่นหมายความว่าเราอาจต้องประมูลราคาหนังสือเล่มนั้นกัน อันเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณต้องเสียเงินมาก บางครั้งเสียกว่าล้านบาท เพราะว่าต้องประมูลกันหลายครั้ง
ผมขอเล่าประสบการณ์การประมูลหนังสือให้ฟังว่า ครั้งหนึ่ง สำนักพิมพ์ต้นไม้เคยชนะการประมูลหนังสือเล่มหนึ่ง แต่เมื่อทางAgencyที่เราขอลิขสิทธิ์ โทรไปหาเจ้าของลิขสิทธิ์ที่ต่างประเทศ เขาถามกลับมาว่าสำนักพิมพ์ต้นไม้เป็นใครเหรอ แล้วก็ถามด้วยว่าคนที่ประมูลได้อันดับรองลงมาเป็นใคร ตอนนั้นเขาเกือบให้สำนักพิมพ์ที่ประมูลได้เป็นอันดับที่ 2 แล้ว เพราะเขามีชื่อเสียงและใหญ่กว่าเรา จริงอยู่ที่เราให้เงินมากกว่า แต่เจ้าของลิขสิทธิ์เขาคิดว่าความสามารถในการผลิต ทำรูปเล่ม จัดจำหน่าย สำนักพิมพ์ที่ได้อันดับรองลงมาจากเราอาจทำได้ดีกว่าเรา แต่โชคดีว่าครั้งนั้น เงินที่ผมประมูลไปสูงกว่าเงินประมูลของอีกสำนักพิมพ์หนึ่งค่อนข้างมาก ผมจึงได้หนังสือเล่มนั้นมา แต่จริงๆแล้วผมไม่ค่อยชอบวิธีนี้ เพราะมันเหมือนถูกหลอก ทำไปบางครั้งก็รู้สึกว่าทำไมต้องเสียเงินไปมากมายเกินความจำเป็นขนาดนั้น กรณีดังกล่าวนี้ผมอยากเตือนไว้ว่า ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเข้าร่วมเล่นเกมนี้นะครับ
เมื่อไม่กี่วันก่อน ผมถูกให้เข้าร่วมประมูลหนังสือเล่มหนึ่งอีกครั้ง ซึ่งเป็นเล่มที่ผมอยากได้จริงๆ เจ้าของลิขสิทธ์ที่ต่างประเทศเขาบอกให้ประมูล แต่ผมมาคิดเสียดายเงิน กลัวว่าถ้าประมูลด้วยราคาที่สูงมากอีกครั้งจะไม่คุ้ม เพราะไม่แน่ใจว่าพิมพ์หนังสือออกมาขายแล้วจะได้กำไรหรือเปล่า ผมจึงขอเพียงแค่ offer ราคา ถ้าให้ผมก็โอเค ถ้าไม่ให้ผมก็ขอถอนตัวให้คนอื่นเขาไปประมูลกัน ปรากฏว่าเขายอมให้เรา offer ราคาเท่าที่เราต้องการ ผมก็เลยโล่งอก เพราะไม่อยากเปิดซองประมูลถึง 3 รอบ มันไม่ใช่เรื่องสนุกเลย มิหนำซ้ำยังทำให้เกิดความเครียดอีกด้วย
นอกจากนั้น ในเรื่องของการจ้างพนักงานประจำ เราจำเป็นต้องลงทุนซื้อคอมพิวเตอร์ที่คุณภาพดีๆ มีโต๊ะทำงานดีๆให้พนักงานด้วย เพื่อเป็นแรงจูงใจให้เขาทำงานกับเราไปนานๆ และอีกทั้งยังทำให้คุณภาพของงานออกมาดีด้วย รวมถึงการบริหารทรัพยากรบุคคล คุณต้องคิดด้วยว่าคุณจะ motivate ให้พนักงานเขารักเราชอบเราได้อย่างไร ให้เขามีน้ำใจ มีความจริงใจกับเรา ถ้าเขารักเรา เขาก็อยากจะช่วยเรา เราขอร้องอะไรเขา เขาก็จะให้ความร่วมมือกับเรา ที่ผมพูดได้อย่างนี้เพราะผมเคยเจอมาในชีวิต 7 ปีที่ผ่านมา เคยเจอมาว่าบริษัทเล็กๆที่จ้างคนมานั่งทำงานเพียงไม่กี่เดือนแล้วก็ปิด office และหันไปจ้าง freelance แทน ผมเคยเจอมาแล้ว แต่ก็ไม่แปลกถ้ามันต้องเป็นเช่นนี้ แต่คุณต้องตอบให้ได้ว่าปีหนึ่งๆคุณจะออกหนังสือกี่ปก ถ้าคุณตอบได้ ผมก็จะบอกคุณได้ว่าคุณควรจะจ้างพนักงานประจำหรือไม่
เมื่อพูดถึงการบริหารทรัพยากรบุคคลแล้ว ผมก็อยากเข้าหัวข้อเรื่อง “ทำอย่างไรให้พนักงานมี Self-Development” การที่คุณ train พนักงานจนเกือบทำงานเป็นแล้ว หรือทำงานเป็นแล้ว แล้วเขาลาออก เป็นประจำ สำนักพิมพ์ของคุณไม่ว่าจะเป็นองค์กรใหญ่หรือองค์กรเล็กก็เจ๊งเหมือนๆกัน ดังนั้น หลักการการสัมภาษณ์คนเข้ามาทำงาน คุณต้องใช้กฎเลข 3 คือ สัมภาษณ์ 3 ครั้ง ซึ่งกฎในการบริหารทรัพยากรบุคคล เขาบอกว่าจ้างยาก แต่ไล่ออกเร็ว หมายความว่า เมื่อคุณรู้ว่าคนนี้ไม่ใช่ คุณก็ต้องไล่เขาออก เพราะถ้าอยู่ต่อเขาต้องทำให้บริษัทเสียหาย เพราะฉะนั้น กฎที่บอกว่า จ้างยากแล้วไล่ออกเร็ว จึงไม่ควรให้มันเกิดขึ้น เพราะนั่นหมายความว่าเราสัมภาษณ์ไม่ดี เราใจร้อนเกินไป คุณควรหาแหล่งอ้างอิงการผ่านงานหลายๆแห่ง ว่าเขาเคยทำงานที่ไหนมาบ้าง และต้องเช็คให้ดีว่าเขาโกหกเราหรือเปล่า ต้องตรวจสอบข้อมูลให้ละเอียด เมื่อเร็วๆนี้ ผมได้คุยกับคนในบริษัทหนึ่งที่รู้จักกันว่า มีคนไปสมัครงานในตำแหน่งหนึ่งซึ่งสูงมากเลย แต่เป็นจรรยาบรรณครับ ผมบอกไม่ได้ว่าที่ไหน เขาโทรมาถามว่าคนๆนี้บอกว่าเคยทำงานกับคุณในตำแหน่งหนึ่งเขาบอกชื่อ นามสกุล บอกว่าทำงานในตำแหน่งอะไร ผมก็เช็คดูปรากฏว่าไม่มี เพราะฉะนั้น แน่นอนว่าแค่สัมภาษณ์งานก็โกหกแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะได้งานแน่นอน ใครจะเอาคนแบบนั้น
ดังนั้น ในการสัมภาษณ์งานต้องถามให้แน่ใจจริงๆว่าเขามีความตั้งใจจริง เป็นคนดี อยากมาทำงานนี้ด้วยใจรักจริงๆ เพราะว่างานหนังสือเป็นงานที่สร้างสรรค์ สวยงาม การออกแบบหน้าปก การใช้คำ ใช้แบบอักษร ต้องออกมาสวยงาม ถ้าเขาไม่มีใจรักในสิ่งนี้จริงๆ งานก็จะออกมาไม่สวย และถ้ารับเข้ามาแล้ว เขาทำงานเป็นแล้ว จะลาออก คุณก็ต้องมัดใจเขาเอาไว้ให้ได้ เราต้อง motivate ลูกน้องให้ได้ หมายความว่า คุณสอนเขาได้ พัฒนาเขาได้ เช่น ถ้าคุณสามารถให้ความรู้แก่เขา และปลุกกำลังใจเขาได้ แสดงว่าคุณเก่ง สมมติว่าคุณมีลูกทีม 10 คน คุณ motivate เขาบ่อยๆ คุณก็จะได้ทีมที่ยอดเยี่ยมมาก แต่ถ้าคุณไม่คุยกับเขาเลย และไม่ทำให้เขาพัฒนาขึ้นมา เขาก็จะไม่เก่ง วิธีพัฒนาเขา คือ ให้ความรู้ว่าภายในตัวของเขายังมีสิ่งยอดเยี่ยมอีกมาก เพราะฉะนั้น การให้คำชมเชยแก่เขาเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก การใช้พลังคำถามก็เป็นสิ่งสำคัญมาก เช่น คำถามที่ผมชอบใช้ คือ ความคิดสร้างสรรค์คืออะไร
ผมจะขอสาธิตให้ดูตัวอย่าง เช่น บอกว่าโลกภายในของคุณคือสิ่งที่สร้างสรรค์โลกภายนอกของคุณ คุณสามารถอธิบายด้วยการเปรียบเทียบให้เห็นภาพ เช่น นายอ่านหนังสือดีๆไปทำไม ( เพื่อทำให้ความคิดความอ่านดีขึ้น) แล้วนาเข้าวัดทำไม ( เพื่อทำให้โลกภายในของนายดีขึ้น) นายจะมีทัศนคติทางบวกไปทำไม ( เพื่อทำให้โลกภายในของนายดีขึ้น) แล้วโลกภายในเป็นอย่างไร มันไม่มีรูปร่าง ไม่สามารถชั่งน้ำหนัก วัดความยาว ลึกได้ เพราะฉะนั้น ผมจะบอกลูกน้องเสมอว่าสิ่งที่ไร้ขีดจำกัดนั้นไม่ใช่ร่างกายของเรา แต่คือความคิดและจินตนาการของเรา สมมติว่าผมอยากสูงขึ้นอีก 5 ซม. ก็เป็นไปไม่ได้ ผมอยากมองทะลุกระจกได้ ก็เป็นไปไม่ได้ แสดงว่าร่างกายของผมมีข้อจำกัด แต่สภาวะจิต จินตนาการ ความเชื่อ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไม่มีรูปทรง เราสามารถพัฒนา ปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ บริหารจัดการได้ ดังนั้น เราต้องบอกเขาว่า เมื่อนายบริหารโลกภายในของนายให้ดีขึ้นแล้ว มันก็จะทำให้โลกภายนอกของนายดีขึ้นด้วย เพราะฉะนั้น เราต้องให้ความรู้กับลูกน้องเราว่า ภายในตัวของเขามีศักยภาพมหาศาลเลยที่ทำให้ชีวิตดีขึ้นได้ แล้วก็ให้นำออกมาใช้เยอะๆเพื่อพัฒนาตัวของเขาให้เก่งขึ้น ดีขึ้น
ผมจะขอยกตัวอย่างลูกน้องบางคน ผมชมเขาว่าเขาวาดรูปสวย แต่เขากลัว ไม่กล้าออกทีวี เมื่อผมมองเข้าไปในตาของเขา ผมเห็นความเจ็บปวดของเขา สุดท้ายผมก็รู้ความลับของเขาได้ว่า เขาคิดว่าการที่มีชื่อเสียงเป็นเรื่องที่ชั่วร้าย คุณดูสิครับ เขาบอกว่าเงินทำให้เขากลายเป็นคนชั่ว คนเลว ดังนั้น นี่เป็นอุปสรรคที่จะทำให้เขาไม่กล้าที่จะรวย หรือมีชื่อเสียง หลังจากนั้นเมื่อเวลาผ่านไป ผมก็พบว่าความกลัวที่เขาสะสมไว้รุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ คุณต้องอธิบายให้เขาเข้าใจเหตุผล มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาบอกกับผมว่าเงินไม่สำคัญ ผมจึงอธิบายเขาโดยยกตัวอย่างว่า สมมติว่าคุณเป็นภรรยาของผม แต่คุณไม่สำคัญ ลูกชายก็ไม่สำคัญ พ่อแม่ก็ไม่สำคัญ อะไรก็แล้วแต่ที่มันไม่สำคัญ มันก็จะไม่อยู่กับคนที่เขารู้สึกว่าเขาไม่สำคัญ เมื่อคนเหล่านี้ไม่สำคัญ เขาก็จะเลิกเกี่ยวข้องกับคนที่ไม่เห็นว่าเขาสำคัญ เช่นเดียวกัน ถ้าเงินไม่สำคัญ มันก็จะไปอยู่กับคนที่เห็นว่ามันสำคัญ มันคือสิ่งเดียวกัน ผมจึงพยายามอธิบายว่า เงินสำคัญในทุกเรื่องที่ต้องใช้เงิน และไม่สำคัญกับเรื่องที่ไม่ต้องใช้เงิน เช่น เราพยายามนำเงินไปซื้อความลับของใคร อันนี้เป็นการกระทำที่ผิด อีกตัวอย่างหนึ่ง ผมนำดินไปใส่ในกาแฟให้คุณดื่ม ถามว่าใครเลว ก็ผมสิที่เลว ดินมันไม่เลวเพราะมันไม่รู้ตัว ถ้านำดินไปใส่ในต้นไม้มันก็จะเจริญงอกงามดี เพราะฉะนั้น เราใช้ดินไม่ถูกต้อง มันก็จะแสดงผลที่ไม่ดี เหมือนกันกับเงินที่ถ้าใครนำไปใช้เพื่อการกุศล มันก็เป็นการกระทำที่ดี ถ้าคุณเหมารวมว่าเงินเป็นสิ่งชั่วร้าย แล้วคุณก็มาเจ็บปวดกับทัศนคติของตัวเอง มันคงน่าสงสารนะครับ
ดังนั้น การที่คุณมีความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวอย่างถูกต้อง ชีวิตของคุณก็จะดีขึ้น ถ้าคุณรับรู้ว่าโลกภายในของคุณเป็นตัวที่ไปสร้างสรรค์โลกภายนอก และคุณมีวิธีคิดที่ถูกต้อง คุณก็จะสบายใจ ผมจะยกตัวอย่างเรื่องปัจจัยภายในและภายนอกให้ฟัง ตัวอย่างของปัจจัยภายนอก ได้แก่ การกระทำของรัฐบาล การทำสงครามระหว่างประเทศ การที่ราคาทองคำขึ้น-ลง การที่ราคาน้ำมันขึ้น-ลง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยภายนอก ส่วนปัจจัยภายใน คือ คุณรู้สึกอย่างไรกับสิ่งเหล่านี้บ้าง ถ้าคุณเห็นแต่ความโศกเศร้า ความหดหู่ คุณก็จะพบเจอแต่สิ่งเหล่านั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจัยภายนอกมีผลต่อตัวคุณเพียงแค่ 7-8% เท่านั้น แต่ถ้าคุณไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น โลกภายในของคุณจะเป็นไปตามสิ่งที่คุณกำหนดให้มันคิด หรือรู้สึก คุณเป็นคนที่เลือก คุณเป็นผู้ทำให้สิ่งต่างๆมีผลกระทบต่อตัวคุณมากที่สุด
ผมเคยเป็น Coach ไปจัด training ให้ MK สุกี้ ไปอบรมพนักงานของนานมี บุ๊คส์ , อมรินทร์ฯ , AIA , AMWAY , Herbal Life เป็นต้น ผมได้ไปอธิบายว่ากฎของความสำเร็จคืออะไร มีอยู่จริง เราสามารถเปลี่ยนแปลงคนได้ ผมอยากจะบอกว่า การที่ผมจะทำหนังสือออกมาสักเล่มหนึ่ง แน่นอน ผมต้องอ่านหนังสือเล่มนั้นก่อนหลายๆรอบ แล้วผมก็ซื้อเล่มอื่นๆที่ไม่ใช่ของสำนักพิมพ์ของผมด้วย ผมจะแสดงให้คุณเห็นว่าการที่ผมอ่านหนังสือมาเยอะมากนั้น ทำให้ผมสามารถเป็น Coach ได้ คือ สามารถ train คนอื่นๆได้ พูดอย่างนี้คุณอาจจะยังไม่เห็นภาพ ผมจะสาธิตให้คุณดูสมมุติว่าเวลาที่ผมต้องไปทำหน้าที่เป็น Coach ผมจะดึงศักยภาพของคนที่มาเข้าร่วม training ออกมา ผมอยากให้เห็นว่า การทำหนังสือดีๆออกมาขาย เกิดจากการที่ผมอ่านหนังสือมาก จึงทำให้เกิดการ motivate ตัวผมเอง ทำให้รู้สึกว่า ผมทนไม่ได้แล้ว ผมต้องเปลี่ยนแปลง เช่น
การที่ผมมาพูดกับคุณ ผมจริงใจ ไม่ fakeว่าผมจ้างคนมาเยอะมากเลย ผมเป็นบริษัทที่น่าเชื่อถือ เราผลิตงานไม่น้อย แต่ก็ไม่เยอะมาก แต่คุณลองนึกดูสิ ลูกค้าของผมบอกว่าคุณวันชัย ฉันก็ซื้อหนังสือของคุณทุกเล่มนั่นแหละ แต่ก็อ่านไม่ทันสักที เพราะฉันเดินมาที่บู๊ทในงานมหกรรมหนังสือทีไร ก็ซื้อไปหลายๆเล่มทุกที พอ 6 เดือนผ่านไป กลับมาดูที่บู๊ทอีกที คุณก็ออกใหม่แล้วอีก 10 ปก เขาบอกว่าอ่านไม่ทัน