วรรณคดีไทย เป็นงานประพันธ์ที่มีคุณค่า คู่ควรแก่การอนุรักษ์เอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้ซึมซับและรับรู้ แต่ผู้ที่เข้าถึงและเข้าใจ ‘แก่น’ ของงานเหล่านั้น มีอยู่ไม่มากนัก เพื่อเป็นการต่อลมหายใจและส่งต่อสาระอันดีงามให้คนรุ่นหลัง สำนักพิมพ์สกายบุ๊กส์จึงได้เป็นสื่อกลาง เปลี่ยน‘ร้อยแก้ว’ ที่เข้าใจยาก ให้กลายเป็น ‘ภาพการ์ตูน’ ที่อ่านสนุก เพลิดเพลิน และได้ความรู้ อีกทั้งยังครองใจเยาวชนนักอ่านมาได้จนถึงทุกวันนี้ สำนักพิมพ์สกายบุ๊กส์ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 ในตอนแรกจับตลาดหนังสือกีฬา มี ‘ขึ้นเตียงแบบ ทอม วัตสัน’ ซึ่งเขียนโดย พิษณุ นิลกลัด เป็นหนังสือเล่มแรก หลังจากนั้นก็ได้ผลิตหนังสือในหมวดช่างอุตสาหกรรมและหนังสือคู่มือเรียน คู่มือสอบ และหนังสือเตรียมสอบปริญญาโท ตามลำดับ
เนื่องจากสถิติการอ่านหนังสือของคนไทยยังอยู่ในอัตราที่ไม่น่าพอใจ สำนักพิมพ์จึงพยายามคิดวิธีเพื่อกระตุ้นให้เกิดนิสัยการรักอ่านในระดับเยาวชน จึงเริ่มผลิตหนังสือวรรณคดีในรูปแบบการ์ตูนขึ้นมา “ความที่บริษัทอยากจะสร้างสรรค์หนังสือและมุ่งหวังให้เด็กรักการอ่าน จึงมีข้อสรุปร่วมกันว่า การพัฒนานิสัยรักการอ่านต้องเริ่มที่เด็ก ตั้งแต่ก่อนนอนไปเลย ให้ฟังนิทานจากพ่อแม่ จนเขารู้สึกชอบ แล้วค่อยให้เลือกอ่านหนังสือที่มีภาพเยอะ ๆ หลังจากนั้นค่อยพัฒนาการอ่านไปตามลำดับของวัย จากที่เราทำหนังสือมาหลายปี เราได้ปรึกษากับนักจิตวิทยา และได้ข้อสรุปว่า การที่หนังสือมีตัวอักษรมาก ๆ เด็กจะไม่ชอบ เขาชอบแบบมีภาพเยอะ ๆ ใหญ่ ๆ ยิ่งถ้าคุณพ่อคุณแม่อ่านให้เขาฟัง แล้วพากย์เสียงให้ดูสมจริง ก็ยิ่งทำให้น่าสนใจมากขึ้น นอกจากนี้ ในหนังสือเราก็อธิบายวิธีและเทคนิคในการอ่านหรือเล่านิทานให้ลูกฟังเข้าไปในหนังสือด้วย” คุณผ่องเพ็ญ อาชาเทวัญ ประธานกรรมการ บริษัทสกายบุ๊กส์จำกัด เล่าให้ฟัง
ในแง่ของการสร้างสรรค์วรรณคดีในรูปแบบการ์ตูน สำนักพิมพ์สกายบุ๊กส์ถือได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกหนังสือแนวนี้เป็นแห่งแรก ก่อนที่สำนักพิมพ์อื่น ๆ จะหันมาผลิตหนังสือความรู้ในรูปแบบการ์ตูนตามมา อีกสิ่งหนึ่งที่สำนักพิมพ์ให้ความสำคัญก็คือ หนังสือทุกเล่มจะมีแผนผังตัวละครอยู่ในหน้าแรก ๆ เพื่อทำให้เด็กที่อ่านรู้จักตัวละคร บทบาท และความสัมพันธ์ในความสัมพันธ์ในเรื่อง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คือเรื่อง ‘สามก๊ก’ ที่มีตัวละครเยอะมาก ๆ ก็ทำให้อ่านได้ง่ายและสนุกมากขึ้น
กว่าจะออกมาเป็นหนังสือที่อ่านสนุก มีสาระ และเข้าใจง่ายอย่างที่เห็นอยู่นี้คงไม่ใช่เรื่องง่าย คุณผ่องเพ็ญบอกกับเราถึงวิธีการทำงานในละเล่มว่า “เริ่มจากการสรุปเรื่อง โดยที่ต้องคงเนื้อหาสาระไว้เหมือนเดิม ต้องไม่ทำให้ผิดเพี้ยนไปจากต้นฉบับ วาดภาพ แล้วกลับมาตรวจทานอีกครั้งว่า รูปที่วาดมาตรงกับเนื้อหา และสามารถอธิบายเนื้อหาได้หรือเปล่า หนังสือของเราเป็นหนังสือภาพ ที่ใช้ภาพขยายเรื่อง และใช้เรื่องขยายภาพ ในส่วนของเนื้อหาก็มีการอ้างอิงมาจากหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการโดยตรง และยังมี ดร.ถนอมวงศ์ ล้ำยอดมรรคผล อาจารย์พิเศษ คณะศิลปศาสตร์ สาขาภาษาไทย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นที่ปรึกษา และตรวจสอบเพื่อให้ไม่ให้เกิดความผิดพลาดอีกด้วย”
หนังสือที่ขายดีมากที่สุดของสำนักพิมพ์ก็คือ ‘รามเกียรติ์’ เพราะเป็นเรื่องที่เรียนกันตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม แม้จะเป็นเรื่องที่มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 หรือกว่า 200 ปี แล้วก็ตาม เรื่องราวของพระราม พระลักษณ์ หนุมาน ทศกัณฐ์ ก็ยังคงความเป็นอมตะอยู่ในใจของใครหลาย ๆ คน เมื่อหนังสือชุดวรรณคดีประสบความสำเร็จและเดินมาถูกทาง สำนักพิมพ์ก็ผลิตงานประเภทอื่น ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นชุดนิทานก่อนนอน, นิทานชาดก, หน้าที่พลเมือง, ประวัติศาสตร์ไทย, ความรู้อาเซียน ซึ่งก็ได้รับความนิยมจากบรรดาแฟนคลับและนักอ่านอย่างล้นหลามอีกเช่นเดียวกัน
“เราพยายามปลูกฝังน้อง ๆ ทีมงานให้คิดว่า ถ้าเขามีลูก เขาอยากให้ลูกได้รับอะไร อยากให้ลูกได้รับสิ่งดี ๆ ได้รับความรู้หรือไม่ ถ้าอยากได้ ก็ทำงานด้วยใจ เคยมีนักวาดอยู่คนหนึ่ง เขาเอางานไปให้ลูกดู ลูกบอกว่า พ่อวาดสวย เขาชอบ มันก็ทำให้นักเขียน นักวาด เกิดความภูมิใจ มีแรงบันดาลใจ และมีพลังที่อยากจะทำ เราพยายามปลูกฝังให้เขารักการอ่านวรรณคดีแล้ว ยังรวมไปถึงการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ต้องให้เด็กเกิดความรักในความเป็นไทย แม้กระทั่งนิทานพื้นบ้านก็บ่งบอกถึงวัฒนธรรม วิถีชีวิตแบบชนบทที่อยู่คู่กับคนไทยมานาน” คุณผ่องเพ็ญอธิบายเพิ่มเติม
สิ่งที่ทำให้สกายบุ๊กส์ประสบความสำเร็จ ผลิตผลงานคุณภาพออกมาอย่างต่อเนื่องก็คือ เนื้อหาที่ดีและการตลาดที่ส่งเสริมกัน มีการประชาสัมพันธ์ที่ดี ปลุกกระแสการอ่านวรรณคดีไทยให้กับเยาชน มีการพัฒนา ปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการเชื่อมความสัมพันธ์กับลูกค้า ที่ขยายฐานออกไปมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ห้องสมุดโรงเรียน โรงพยาบาล เป็นต้น ก่อนจะจากกัน คุณผ่องเพ็ญบอกกับเราถึงการอนุรักษ์ความเป็นไทยด้วยความมุ่งมั่น เธอเชื่อมั่นว่าสำนักพิมพ์และหนังสือที่เธอและทีมงาน ได้ผลิตขึ้นจะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้วรรณคดี ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม คุณค่าความเป็นไทยได้รับการบันทึกไว้ เพื่อเป็นมรดกให้กับคนรุ่นหลังต่อไป
“เราเองต้องรู้รากเหง้าของตัวเอง ว่าเราเป็นคนไทย เกิดจากแผ่นดินไทย ต้องรักแผ่นดินไทย ถ้าวันใดเราไม่รู้คุณค่าของชีวิตตัวเราเอง และรากเหง้าของความเป็นไทยถูกทำลาย แล้วเราจะเหลืออะไรไว้ให้ลูกหลาน?”
ขอบคุณที่มา : www.all-magazine.com