หนังสือ 22 เล่มนี้เป็นวรรณกรรมคลาสสิก ที่ทุกคนไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง หากมีใครถามว่าเคยอ่านหรือยัง คงเคยมีหลายคนโกหกว่าอ่านแล้วแน่นอน
Great Expectations โดย Charles Dickens
“Great Expectations” ฉบับภาษาอังกฤษได้รับการตีพิมพ์ซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า มีการนำไปสร้างเป็นละครเวที และภาพยนตร์มากกว่า 250 ครั้ง
เรื่องราวของพิพ เด็กชายกำพร้าผู้ต้องอาศัยอยู่กับครอบครัวของพี่สาวในหมู่บ้านเล็กๆ แสนกันดาร เขาพึงพอใจในชีวิตเรียบง่ายและมีความสุขตามฐานะเรื่อยมา กระทั่งโชคชะตานำพาให้เขาพบกับเอสเตลลาสาวงามผู้สูงศักดิ์ พิพจึงเริ่มมองชีวิตเปลี่ยนไป เขารู้สึกอับอายในรากเหง้าของตัวเองและปรารถนาจะไขว่คว้าชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม รวมถึงความคาดหวังลึกๆ ในตัวเอสเตลลาที่ฝังใจมาตั้งแต่วัยเยาว์
นอกจากจะเป็นเรื่องราวความรักที่ลึกล้ำตราตรึงใจผู้คนมากมายแล้ว ชาร์ลส์ ดิกเกนส์ยังเสียดสีการแบ่งแยกชนชั้นในสังคมวิกตอเรียนของประเทศอังกฤษเมื่อร้อยกว่าปีก่อน โดยเฉพาะการตีราคาคนจากภายนอก ความหรูหราร่ำรวย เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย มากกว่าจะประเมินถึงจิตใจและคุณงามความดีในส่วนลึกอย่างแท้จริง
The Hobbit โดย J.R.R. Tolkien
เดอะฮอบบิท เป็นนิยายแฟนตาซีสำหรับเด็ก ประพันธ์โดย เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ในลักษณะกึ่งเทพนิยาย โทลคีนเขียนเรื่องนี้ในราวช่วงปลายทศวรรษที่ 1920 โดยเริ่มแรกเขาเพียงใช้เล่าเป็นนิทานสนุกๆ ให้ลูกฟัง กับใช้เล่นคำในภาษาต่างๆ ที่เขาสนใจ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษเก่า นิยายเรื่องนี้ได้ตีพิมพ์ครั้งแรกในประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1937ฃ
เหตุการณ์ในเรื่อง เดอะฮอบบิท อยู่ในยุคก่อนเกิดเหตุการณ์ในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เนื้อหาเกี่ยวกับการผจญภัยของฮอบบิทที่ชื่อบิลโบ แบ๊กกิ้นส์ ไปยังดินแดนตะวันออกในมิดเดิลเอิร์ธกับเพื่อน ๆ คนแคระ และพ่อมดชื่อแกนดัล์ฟ ระหว่างทางเขาได้พบเรื่องแปลกประหลาดมากมาย จนในท้ายที่สุดได้ต่อสู้กับมังกรสม็อก และได้รับทรัพย์สมบัติจำนวนมากกลับมา
The Holy Bible
หรือพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาคริสต์ นอกจากจะเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดแล้วด้วยตัวเลข 3,900 ล้านเล่มแล้ว ยังเป็นหนังสือที่แปลเป็นภาษาต่างๆมากที่สุดในโลกประมาณ 340 ภาษาอีกด้วย
จะว่าไปก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะหากมองตามสัดส่วนการนับถือศาสนาของประชากรโลกแล้ว ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีคนนับถือมากที่สุดและไม่ว่าจะนิกายใดก็ยึดถือพระคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลักสำคัญตามความเชื่อที่ว่านี่คือพระวจนะจากพระเจ้า
ดังนั้น นอกจากไบเบิลจะเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่มีความเก่าแก่ที่สุดในโลกเล่มหนึ่งแล้วจึงมีความหมายทางจิตใจอย่างยิ่ง และเป็นหนังสือที่ถูกมอบเป็นของขวัญให้กันอยู่เสมอ
Moby-Dick โดย Herman Melville
“โมบี้-ดิ๊ก” คือนวนิยายของ เฮอร์แมน เมลวิลล์ ในปี ค.ศ. 1851 เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางผจญภัยของกะลาสีชื่อ อิชเมล ในเรือล่าวาฬ Pequod และกัปตันเรือชื่อ เอแฮ็บ ไม่นานอิชเมลก็ทราบว่า เอแฮ็บกำลังออกติดตามหาวาฬตัวหนึ่งชื่อ โมบี้ดิ๊ก ซึ่งเป็นวาฬสีขาวขนาดมหึมาที่ดุร้ายมาก ไม่ค่อยมีเรือล่าวาฬลำใดรู้จักโมบี้ดิ๊ก ยิ่งที่เคยได้เจอตัวมันยิ่งน้อยนัก เมื่อเอแฮ็บ เจอมันคราวก่อน วาฬยักษ์ทำลายเรือของเอแฮ็บ และยังกัดขาเขาขาด เอแฮ็บ จึงคิดจะตามแก้แค้น
ในเรื่อง “โมบี้-ดิ๊ก” เมลวิลล์ได้ใช้กลวิธีทางภาษา สัญลักษณ์ และการเปรียบเทียบต่างๆ ในการนำเสนอโครงเรื่องอันซับซ้อน ผ่านทางตัวละครหลัก โดยสื่อถึงเรื่องของชนชั้นและฐานะทางสังคม ความดี ความชั่ว และการมีอยู่ของพระเป็นเจ้า ซึ่งสื่อออกมาด้วยความเชื่อส่วนตัวของอิชเมล และตำแหน่งของเขาในจักรวาล เขาสะท้อนเรื่องราวผ่านวิธีการเล่าของผู้เล่าเรื่อง การบรรยายสภาพชีวิตของกะลาสีบนเรือล่าวาฬ ค่อยๆ ถักทอเรื่องราวไปพร้อมกับการใช้เทคนิคแบบเชกสเปียร์ คือการเล่าเรื่องผ่านมุมมองเหมือนละครเวที และใช้วิธีการรำพึงกับตัวเองของตัวละครเพื่อบอกเล่าความในใจ
The Fountainhead โดย Ayn Rand
สำหรับผู้เขียน Ayn Rand นั้นเป็นนักการเมือง และหนังสือรวมทั้งมุมมองชีวิตของเธอมักถูกนำมาอ้างอิงอยู่เสมอ โดยนักการเมืองฝ่ายขวาและฝ่ายเสรีนิยม The Fountainhead ได้ตีพิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2486 โดยเรื่องราวในหนังสือนั้นจะมุ่งเน้นไปที่ปรัชญาของสถาปนิกหนุ่ม ผู้ต้องต่อสู้กับมาตรฐานเดิมทางการเมืองให้ได้
The Old Man and the Sea โดย Ernest Hemingway
เรื่องราวของชายชราที่ต่อสู้กับปลาใหญ่โดยลำพังอย่างโดดเดี่ยว เปี่ยมข้อคิดในความกล้าหาญแห่งชัยชนะ และความพ่ายแพ้ของมนุษย์ที่มีต่อความเหี้ยมโหดของธรรมชาติ ดังตอนหนึ่งที่ว่า “ฉันปรารถนาเหลือเกินที่จะให้มันเป็นเพียงความฝัน และให้มันกลับกลายเป็นว่าฉันไม่เคยได้จับปลาใหญ่ตัวนี้ และตัวฉันอยู่แต่เพียงลำพัง นอนอยู่บนหนังสือพิมพ์บนเตียงนอน แต่ว่าคนเราไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจะให้พ่ายแพ้ คนเราสามารถจะถูกทำลายได้ แต่จะต้องไม่พ่ายแพ้”
Lolita โดย Vladimir Nabokov
เรื่องราวความรัก (หรือจะเป็นความลุ่มหลง) ของฮัมเบิร์ต ฮัมเบิร์ต ชายชาวยุโรปวัยกลางคนที่มีต่อ ‘โลลิต้า’ เด็กสาวชาวอเมริกันวัยสิบสองที่นาไปสู่โศกนาฏกรรมในชีวิตของทั้งสอง ถึงแม้ฮัมเบิร์ต ฮัมเบิร์ต จะเป็นชายผู้เลวทรามต่าช้าที่ทาลายชีวิตในวัยเยาว์ของ ‘โลลิต้า’ แต่การบรรยายความรู้สึก ความปวดร้าว ความสับสน ความทุกข์ทรมาน และสิ่งที่ ‘โลลิต้า’ กระทาต่อเขา ทาให้เขาเป็นชายที่น่าสงสารและน่ารังเกียจไปพร้อมกัน
Catch – 22 โดย Joseph Heller
ผู้เขียนมีประสบการณ์ตรงกับสงครามโลกครั้งที่สอง เขาเริ่มเขียนหนังสือเล่มนี้หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงไม่เท่าไหร่ ถือว่าเป็นหนังสือสำคัญที่สุดเล่มหนึ่งของศตวรรษที่ 20 เล่าถึงมุมมองของตัวละครที่หลากหลาย แต่อยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และแสดงให้เห็นความ absurd อย่างยิ่งของสงครามและเรื่องราวในกองทัพ
1984 โดย George Orwell
1984 เล่มนี้ นำเสนอให้เห็นถึงสิ่งที่สังคมจะต้องยอมแลก เพื่อให้ได้มาซึ่ง "ความเชื่อที่เสมอภาคกัน" ผ่าน "กระบวนการโฆษณาชวนเชื่อ" ที่ถูกวางโครงเรื่องและรูปแบบเอาไว้อย่างแยบยลโดย "ผู้ชี้นำ" ของแต่ละยุคแต่ละสมัย ... ซึ่งก็จะเป็นเพียง "ความเสมอภาค" ในระดับของ "ความเชื่อ" และ "การรับรู้" ไม่ใช่โดยภววิสัยที่เป็นจริง
To Kill a Mockingbird โดย Harper Lee
เป็นเรื่องราวของอคติ การรังเกียจคนต่างผิว การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม และการสูญเสียความไร้เดียงสาผ่านสายตาของเด็กหญิงคนหนึ่ง บุตรสาวทนายความในเมืองเล็กๆ ในภาคใต้ของสหรัฐฯ ช่วงทศวรรษ 1930 ด้วยภาษาง่ายๆ ของ ฮาร์เปอร์ ลี ซึ่งทั้งสร้างความอบอุ่น แฝงอารมณ์ขัน และในขณะเดียวกันก็บีบคั้นหัวใจ จนต้องหลั่งน้ำตาท่วมท้นใจ
War and Peace โดย Leo Tolstoy
สงครามและสันติภาพ (WAR & PEACH) ผลงานการประพันธ์ชิ้นเอกของนักเขียนชาวรัสเซียนามกระเดื่อง ลีโอ ตอลสตอล หนังสือเล่มนี้แฝงไปด้วยปรัชญา ความเชื่อทางศาสนาและการเมือง แฝงไปด้วยพลังแห่งความหวังถึงสิ่งที่ดีกว่ารวมทั้งศรัทธาในมนุษย์และพระเจ้า หรือที่ในภาษาวรรณคดีเรียกว่าศานติ
อ่านต่อ : 22 หนังสือที่ควรบอกว่าอ่านแล้ว แต่ความจริงยังไม่ได้อ่าน ตอนที่ 2
บทความ : ศิริรัตน์ สุ่นสกุล
อ้างอิง : books-you-pretend-youve-read-but-actually-havent