You are what you read : ประเด็นน่าสนใจอยู่ตรงประโยคที่ว่า "You are what you read" "คนเราจะพัฒนาไปตามสิ่งที่เราอ่าน" นั่นแหละค่ะ

You are what you read

ได้อ่านบทความ Smart Businessman : อ่านหนังสือวันละ 9 หน้า เพื่อความก้าวหน้า โดย ดร.เกศรา รักชาติ จาก กรุงเทพธุรกิจ BIZ WEEK ประเด็นน่าสนใจอยู่ตรงประโยคที่ว่า "You are what you read" "คนเราจะพัฒนาไปตามสิ่งที่เราอ่าน" นั่นแหละค่ะ

ผู้เขียนได้กล่าวว่าหากไม่อยากล้าหลังในวิชาชีพของตนเอง ให้อ่านหนังสือในวิชาชีพปีละ 20 เล่ม ซึ่งก็ไม่ได้มากมายเลย แค่ตกเดือนละ 1 เล่มครึ่ง หนังสือ 1 เล่ม = 200 หน้าขึ้นไป ก็จะตกแค่วันละ 9 หน้าเท่านั้นเอง หากอยากก้าวหน้าในวิชาชีพ และนอกจากการอ่านหนังสือวิชาชีพแล้ว ยังแนะนำให้อ่านหนังสือที่พัฒนาตนเองจากภายในด้วย เช่นหนังสือที่ขัดเกลาทางด้านอารมณ์ หนังสือเกี่ยวกับการพัฒนาสัมพันธภาพกับคนรอบข้าง เพื่อที่จะไม่เป็นคนเก่งที่มีแต่ I.Q. แต่ไม่มี E.Q. รวมทั้งการอ่านหนังสือที่พัฒนาทางด้านจิตวิญญาณ เช่น หนังสืออัตชีวประวัติบุคคลสำคัญๆ และหนังสือธรรมะ เป็นต้น

นอกจากนั้น ผู้เขียนให้ทดลองฝึกการถ่ายทอดสิ่งที่ได้อ่านให้กับบุคคลรอบข้างด้วย เพราะหลังจากการอ่านแล้วหากได้นำมาถ่ายทอดต่อให้กับคนรอบข้างแล้ว มันจะทำให้สิ่งที่เราได้อ่านมาถูกฝังอยู่ในตัวเราได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ เพราะในระหว่างที่เราถ่ายทอด เราจะเชื่อมโยงเนื้อหา ความรู้ เข้ากับประสบการณ์ส่วนตัว ผู้ที่รับการถ่ายทอดก็จะร่วมเล่าประสบการณ์ส่วนตัวของเขาเข้าไปในเนื้อหาที่เราถ่ายทอดด้วย

สุดท้ายผู้เขียนยังได้ยกคำกล่าวของ Mark Twain ซึ่งเป็นนักเขียนแนวสัจนิยมและธรรมชาตินิยม ไว้ว่า "The man who does not read good books, has no advantage over the man who cannot read them." หรือ "คนที่ไม่อ่านหนังสือก็ไม่ได้เปรียบไปกว่าคนที่อ่านหนังสือไม่ออก"

กว่าคนเราจะพัฒนาไปตามที่เราอ่านได้ คงจะต้องถูกปลูกฝังให้รักการอ่านมาก่อน อ่านทุกอย่าง อ่านอะไรก็ได้ที่อยากอ่าน ฉันมักจะให้คำแนะนำแก่คนรอบข้างว่า หากเด็กอยากอ่านการ์ตูน ก็อย่าไปปิดกั้นเลย อย่างน้อยนั่นก็เป็นการเริ่มต้นของการที่จะเริ่มอ่าน รักที่อ่าน อ่านแล้วเกิดความคิดจินตนาการ สร้างสรรค์ และนั่นจะไปพัฒนาให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น อยากอ่านเพิ่มเติมในสิ่งที่ตนสนใจ เป็นการบ่มเพาะความคิดจากความชอบ เพียงแต่เราต้องเป็นหูเป็นตาบ้างในการเสริมหนังสือที่ควรอ่านให้แก่เด็ก

ประโยคที่ว่า "You are what you read" "คนเราจะพัฒนาไปตามสิ่งที่เราอ่าน" นั้น ถ้ามีเค้าของความจริงอยู่บ้างล่ะก็ แค่เราเปิดกระเป๋าหรือชั้นหนังสือให้ดูหนังสือที่เราต่างมีอยู่ ซึ่งเป็นหนังสือที่มีไว้อ่านจริงๆ มิใช่มีไว้อวด ก็จะรู้ได้ทันทีว่าเราเป็นคนอย่างไร โดยไม่ต้องให้เอ่ยปากบอกว่าเราเป็นคนประเภทใดเลย

ถ้าหากใครนึกสนุกเมื่อไหร่ อาจจะลองส่ง Book Tag กันดูบ้าง คงทำให้ได้เห็นเนื้อในตนของคนถูก Tag และยังจะทำให้คนที่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจต่อการเปิดเผยเรื่องของตนมิต้องอยู่ในภาวะเช่นนั้นอีก เพราะความชอบในหนังสือที่อ่านก็สามารถบ่งบอกได้ถึง "You are what you like" เช่นกัน

ของแถม : สำหรับผู้ที่สะสมหนังสือไว้เป็นจำนวนมาก แนะนำให้หาโปรแกรมห้องสมุดจาก Thaiware.com มาดัดแปลงใช้ค่ะ ฉันได้นำโปรแกรมบริหารระบบงาน ห้องสมุด (Library) มาลองใช้ดู ทำให้การจัดเก็บเป็นระบบระเบียบขึ้นมาก ลองบันทึกหนังสือจากตู้หนังสือไปแค่ชั้นกว่าๆ ได้หนังสือหย่อนร้อยไปไม่กี่เล่มเอง คงใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าจะรวบรวมได้หมด

 

ขอบคุณที่มา : http://www.oknation.net

Writer

Sirirat Soonsakul

นักอยากเขียน ผู้รักการสะสมท้องฟ้าสีวนิลลา และใช้หมูกระทะเยียวยาจิตใจ