ย้อนไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ไม่มีใครไม่รู้จักนักเขียนดาวรุ่งพุ่งแรงที่ใช้นามปากกาว่า‘Dr.Pop’ กับผลงานสร้างชื่อ ‘เดอะไวท์โรด (The White Road)’ วรรณกรรมเยาวชนแฟนตาซีสุดล้ำที่เป็นหนังสือขายดีแห่งปี และเมื่อความโด่งดังมาเยือน ชีวิตของ ‘ป๊อบ - ฐาวรา สิริพิพัฒน์’เจ้าของนามปากกา Dr.Pop ที่คุณแม่จุรีรัตน์ สิริพิพัฒน์ ตั้งให้ ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเด็กสุภาพอ่อนโยน กลายเป็นเด็กหนุ่มขี้โมโห เกรี้ยวกราด เอาแต่ใจ จนใคร ๆ ไม่อยากเข้าใกล้ แล้วอะไรที่ทำให้ป๊อบกลับมาเป็นคนเดิมที่มองโลกแง่บวก จิตใจดี ให้เกียรติคนอื่น พร้อมจะถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตให้กับน้อง ๆ รุ่นต่อมา ด้วยการเดินทางไปทอล์คโชว์ตามโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพราะไม่อยากให้ใครหลงระเริงไปกับความสำเร็จเหมือนกับเขาในวันนั้น...
all : ก่อนจะมาเป็นนักเขียนโด่งดังนาม Dr.Pop ชีวิตในวัยเด็กของป๊อบเป็นอย่างไร
ดร.ป๊อบ : ตอนเด็ก ๆ ป๊อบเป็นโรคหอบ ทำให้วิ่งเล่นแบบเด็กทั่วไปไม่ได้ แม่ก็เลยซื้อหนังสือมาให้อ่าน หนังสือชุดแรกคือ วอลท์ ดิสนีย์ ซึ่งตรงนี้ทำให้ป๊อบชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็ทำให้ป๊อบเกิดจินตนาการอยากสร้างโลกของตัวเอง พอโตขึ้น ป๊อบไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับไดโนเสาร์ มันสนุกและเป็นสัตว์ที่ป๊อบไม่เคยเห็น รู้สึกว่ามันเจ๋ง ก็เลยทำให้ป๊อบกลายเป็นคนรักเรื่องทางวิทยาศาสตร์ไปด้วย และจากการอ่านหนังสือเยอะ ทำให้ป๊อบเป็นคนชอบพูด ชอบคุย ชอบแสดงออก เวลาในห้องเรียนมีกิจกรรมอะไร ป๊อบจะเป็นเด็กคนแรก ๆ ที่เข้าไปตอบคำถาม ป๊อบชอบเรียงความ ย่อความ ชอบเรียนภาษาไทย พอโตขึ้นมาประมาณ ป.4 ก็ได้มีโอกาสอ่านโคลงตามคุณพ่อ และเริ่มอ่านวรรณกรรม สมัยเด็ก ๆ ป๊อบเป็นหนึ่งในเด็กไม่กี่คนที่อ่านโคลง ซึ่งโตมากสำหรับเด็กประถมศึกษา อาจารย์เขาก็ถามว่าอ่านรู้เรื่องหรอ เราก็ตอบว่ารู้เรื่องเพราะมันก็ไม่ได้ยากอะไร แค่ใช้เวลาในการอ่านนิดหนึ่ง แต่มันก็ทำให้เราจินตนาการตามตัวหนังสือได้ เหมือนเราอยู่ในโลกนั้นไปด้วย นั่นคือเสน่ห์ของวรรณกรรม เลยทำให้เรารู้สึกว่าการอ่านวรรณกรรมมันสนุกนะ พอเรียนมัธยมก็อ่าน ‘แฮร์รี่ พอตเตอร์’ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ป๊อบอยากเป็นนักเขียน
all : เหตุผลที่อยากเป็นนักเขียนคืออะไร
ดร.ป๊อบ : ป๊อบอ่านหนังสือเยอะ เล่นเกมเยอะ ดูหนังก็เยอะ จินตนาการมันเยอะมาก เลยอยากถ่ายทอดออกมาด้วยการเขียน เพราะรู้สึกว่าเราน่าจะพอเขียนได้ เจ.เค. โรว์ลิ่ง ที่เขียนแฮร์รี่ เขาก็เพ้อเจ้อไม่ต่างกับเราหรอก (หัวเราะ) ก็เลยลองเขียน เขียนเสร็จก็ปริ๊นต์ให้เพื่อนอ่าน พอเพื่อนอ่านเขาก็บอกต่อกัน อาจารย์ก็อ่าน อ่านกันหมดเลย จนป๊อบรู้สึกได้ว่าเราเขียนได้ มีคนอ่านแล้วติดใจ ไม่ได้เขียนเก่งนะ แต่เขียนแล้วคนอ่านชอบ ก็เลยเอาไปลงในเว็บไซต์ของโรงเรียน แล้วก็เอาไปลงเว็บ Dek-D.com ในที่สุดสำนักพิมพ์สยามอินเตอร์คอมมิกส์ โดยพี่เอก อัคคี เขาตัดสินใจนำไปรวมเล่ม ปรากฏว่า ด้วยดวง ด้วยจังหวะ ด้วยกระแสของแฟนตาซีที่แรงมากในตอนนั้น ช่วยผลักดันหนังสือ ‘เดอะไวท์โรด’ ให้คนรู้จัก แล้วก็พลอยทำให้คนรู้จักป๊อบไปด้วย ตรงนั้นเป็นจุดแจ้งเกิดของป๊อบจริง ๆ
all : ย้อนกลับไปเมื่อ 13 ปีที่แล้ว ตอนที่ได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือป๊อบรู้สึกยังไง
ดร.ป๊อบ : ตอนนั้นไม่เชื่อเลย งงมาก มันคืออะไร (หัวเราะ) ตอนนั้นยังถามตัวเองอยู่เลยว่า ต้องภูมิใจแค่ไหนที่มีหนังสือเป็นของตัวเอง (หัวเราะ) ตอนนั้นทุกคนรู้จัก ดร.ป๊อบ หมดเลย พอเปิดตัวว่าเราอายุ 17 ปี ยิ่งทำให้ดังมากขึ้นไปอีก แต่ด้วยความที่ป๊อบเป็นเด็กที่ค่อนข้างมั่นใจ ก็เลยเกิดกระแสต่อว่าขึ้นมา ซึ่งป๊อบไม่เคยโดนอะไรแบบนี้มาก่อน ไม่รู้จะรับมือยังไง ช่วงนั้นมีคนปั่นกระแสในทางที่ไม่ดี อวยให้ป๊อบดูเว่อร์ ๆ ไว้ จะได้มีคนหมั่นไส้ เอาป๊อบไปเปรียบเทียบกับนักเขียนคนอื่น ด้วยความเป็นเด็ก ป๊อบหลงทาง รับมือไม่เป็น เลยทำให้คาแร็กเตอร์ของป๊อบแรงขึ้น มั่นอกมั่นใจเกินเหตุ ก้าวร้าว ป๊อบกลายเป็นคนปากจัด สร้างกรอบให้กับตัวเอง ทำให้เกิดฟีดแบ็คว่าทำไม ดร.ป๊อบเป็นคนแบบนี้ กระแสตอนนั้นแย่และแรงมาก ๆ บางคนหาว่าพ่อแม่เลี้ยงป๊อบมาไม่ดี จริง ๆ แล้ว ป๊อบสร้างตัวตนนี้ขึ้นมาด้วยตัวป๊อบเอง อยู่ข้างนอกป๊อบเป็นเด็กแรง แต่พอกลับมาบ้าน ป๊อบนอนร้องไห้เป็นเด็กขี้แยเลยนะ นี่คือจุดที่ป๊อบหลงทางในช่วงนั้น
all : แสดงว่าช่วงนั้นมีทั้งคนชอบและไม่ชอบตัวของป๊อบพอสมควร
ดร.ป๊อบ : บางคนเขาโอเคกับผลงานของป๊อบ แต่เขาไม่โอเคกับตัวป๊อบ มีคนด่าคนว่าเยอะ ป๊อบทั้งโกรธทั้งไม่พอใจ เพราะไม่รู้ว่าทำไมป๊อบต้องโดนอะไรแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือทำอะไรไม่ดีกับใครเขาเลย จากตรงนี้ยิ่งทำให้ป๊อบก้าวร้าวขึ้นไปอีก มันไม่ใช่ความผิดใครเลยนะ เป็นความผิดของป๊อบเองที่รับมือกับตรงนี้ไม่ได้ ถ้าป๊อบมีสติและรับมือได้ ป๊อบก็จะผ่านไปได้ แต่เพราะความอ่อนแอ ก็เลยสร้างตัวตนที่ไม่ดีขึ้นมาเพื่อบดบังความอ่อนแอของตัวเอง พอป๊อบมีนิสัยไม่ดีแบบนี้หลายปีเข้า ทำให้ป๊อบสูญเสียคนดี ๆ ไปเยอะมาก เพราะเขารับเราไม่ได้ ค่อย ๆ หายไปทีละคน จนป๊อบมารู้ตัวอีกที ป๊อบแทบไม่เหลือใครแล้ว (ยิ้มเศร้า)
all : เพราะความสำเร็จที่ได้มาตั้งแต่ยังอายุน้อยด้วยรึเปล่า จึงทำให้ป๊อบรับมือไม่ได้
ดร.ป๊อบ : ก็เป็นส่วนหนึ่งนะครับ เพราะชื่อเสียงและความสำเร็จที่ได้มา ทำให้ป๊อบเหลิง คิดว่าป๊อบดี ป๊อบเจ๋งกว่าเด็กทั่วไป เดินไปไหนมีแต่คนมอง ด้วยความที่ป๊อบยังเด็ก เราจึงรับมือไม่เป็น ป๊อบไม่โทษใคร ป๊อบโทษตัวเอง ถ้าป๊อบฉลาดพอที่จะรับมือกับมัน ก็คงไม่เป็นแบบนี้ มีคนเตือนเยอะ ทั้งเพื่อน พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ เตือนเราหมด แต่ป๊อบไม่ฟัง
all : จุดที่แย่สุด ๆ เกิดอะไรขึ้น
ดร.ป๊อบ : ป๊อบสูญเสียความรักครั้งใหญ่มาก เป็นคนที่ป๊อบรักมาก เขาก็มาทิ้งป๊อบไป ไม่ใช่แค่คนเดียวด้วยนะ ทั้งเพื่อน ทั้งแฟน ที่ป๊อบรัก เขาพร้อมใจกันทิ้งป๊อบ เพราะป๊อบทะเลาะกับคนนี้ แล้วก็ไปอาละวาดใส่คนอื่นต่อ ทำให้คนที่รักป๊อบและคนที่ป๊อบรักหายไปพร้อมหมดกันเลย ทำให้ป๊อบรู้สึกว่าโลกนี้มันแย่มาก ป๊อบมีทุกอย่าง มีเงิน มีชื่อเสียง มาทิ้งป๊อบแบบนี้ได้ยังไง ป๊อบหนีออกจากบ้านไป 7 วัน ปิดโทรศัพท์ไม่ให้มีใครติดต่อได้ ตอนนั้นใช้ชีวิตไร้สาระมาก ใช้เงินแบบล้างผลาญ ฟุ้งซ่านมาก ยิ่งอยู่คนเดียวก็ยิ่งแย่ คิดไปเรื่อย จนถึงสุด ๆ ก็คือ คิดจะฆ่าตัวตาย เขียนจดหมายลาไว้แล้ว ยานอนหลับก็มีแล้ว แต่พอจะทำจริง ๆ เหมือนมีบางอย่างมาทำให้ป๊อบหยุด มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ป๊อบอยากเปิดโทรศัพท์ดูอีกครั้ง ว่ามีใครพูดถึงป๊อบอย่างไรบ้าง ปรากฏว่ามีน้องกลุ่มหนึ่งเขาตามหาป๊อบด้วยความเป็นห่วง ทั้งในเฟซบุ๊ก ทั้งในไลน์ ทำให้ป๊อบเริ่มคิดได้ว่ามีคนที่รักป๊อบจริง ๆ ขนาดป๊อบไม่ได้ติดต่อใครเลย ก็ยังมีคนที่ออกตามหา เลยคิดว่า เอายังไงก็เอากัน ป๊อบจะกลับไป แต่ต้องกลับไปเป็นคนที่ดีกว่าเดิม จะไม่ทำให้คนเหล่านี้ผิดหวังกับป๊อบอีกแล้ว ป๊อบจะยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อคนที่ป๊อบรักอีกครั้ง
all : พอกลับมา ป๊อบทำอะไรบ้าง
ดร.ป๊อบ : ป๊อบกลับไปอยู่ที่โลกเก่าที่ป๊อบเคยจากมา กลับไปหาอาจารย์คนแรกของป๊อบ นั่นคือหนังสือ เพราะรู้ว่าหนังสือจะเปลี่ยนแปลงป๊อบได้ ปกติก็อ่านหนังสือเยอะอยู่แล้ว แต่พอผ่านเรื่องนี้มา ยิ่งอ่านเยอะขึ้นอีก การอ่านหนังสือจิตวิทยามากถึง 200 เล่ม ทำให้ป๊อบมองเห็นความเห็นแก่ตัวของตัวเอง ทำให้พบว่าที่ป๊อบเข้ากับใครไม่ได้ เพราะป๊อบเห็นแก่ตัว ไม่มีความเมตตาหรือให้อภัยคนอื่น ที่ป๊อบเจ็บปวด ก็เพราะความเจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่ปล่อยวาง มีหนังสือเล่มหนึ่งเขียนว่า “คนที่โกรธเกลียด อิจฉาริษยาคนอื่น เพราะชีวิตมีปมด้อย ชีวิตว่าง ขาดความรักความอบอุ่นอย่างแรง อ่อนแอ ไม่มีความมั่นใจหรือภาคภูมิใจในตัวเอง” อ่านแล้วหน้าชาเลย เพราะมันคือป๊อบ มันจี้จุดมาก โดนมาก ทำให้ป๊อบเข้าใจว่า ที่เราตัวเก่ง แข็งกระด้าง ก็เพื่อให้คนเข้ามาหา เพราะเราขาดความรัก ความเมตตา คนใกล้ตัวเขาสัมผัสกับความไม่ดีของเราได้ เขาก็เลยออกจากชีวิตเราไป มันทำให้ป๊อบคิดใหม่ ถ้าอยากให้คนใกล้ตัวรัก ต้องทำตัวดี ๆ เลยเปลี่ยนตัวเองอีกครั้งด้วยการเป็นคนที่ดีกว่าเดิม ตั้งแต่นั้นมาป๊อบไม่เคยเหวี่ยงทีมงานอีกเลย ป๊อบว่า ถ้าป๊อบทำตัวดีกว่านี้ ปัจจุบันป๊อบคงเจริญมากกว่านี้ คงมีคนที่รักเรา และอยู่กับเรามากกว่านี้
all : พอกลับมาเป็นคนใหม่ ป๊อบมองโลกเปลี่ยนไปแค่ไหน
ดร.ป๊อบ : ป๊อบรักเป็นมากขึ้นนะ (ยิ้ม) แต่ก่อนป๊อบจะคิดว่าความรักคือการครอบครอง แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ เราต้องรักอย่างพอดี ความรักคือพร้อมให้อภัยอย่างมีเหตุผล การให้อภัยมากเกินไป ก็คือเราไม่รักตัวเอง เราต้องให้เกียรติ ใส่ใจ ให้ความอบอุ่น ไม่ทำลายเขา เราต้องรักทั้งเขาทั้งเรา คนส่วนใหญ่ที่เจ็บเพราะรักคนอื่นมากเกินไป เอาโลกคนอื่นมาเป็นโลกของตัวเอง เราควรอยู่โดยการแบ่งโลกออกเป็นเสี้ยว ๆ เสี้ยวนี้ให้เรา ให้เขา ให้พ่อแม่ ให้เพื่อน แบ่ง ๆ ไป ถ้าวันหนึ่งเราเสียเสี้ยวไหนไป เรายังเหลืออีกหลายเสี้ยวที่แบ่งไว้ เราต้องค่อยเป็นค่อยไปให้เกิดการเรียนรู้ อย่าทำอะไรที่มันเร็วเกินไป
all : การเจอเรื่องราวแบบนี้ ทำให้ป๊อบเติบโตขึ้นและนำประสบการณ์มาเล่าให้น้อง ๆ ในโรงเรียนต่าง ๆ ฟังได้ด้วยใช่ไหม
ดร.ป๊อบ : ป๊อบรู้สึกดีมากที่รู้ว่าตัวเองไม่ดี แล้วกลับตัวทัน คนที่สมบูรณ์แบบที่สุด คือคนที่เอาความดีกับความไม่ดีมาผสมรวมอยู่ด้วยกันได้อย่างเหมาะสม มีสีขาวอย่างเดียวไม่พอ หรือมีสีดำอย่างเดียวก็ไม่พอ ต้องมีทั้งสองสี พอป๊อบเจอเรื่องแบบนี้มา ป๊อบสามารถเล่าได้แบบไม่อายเลยว่า ป๊อบเคยเลวและไม่ดียังไง เพราะป๊อบไม่อยากให้คนอื่นเป็นอย่างป๊อบ คำว่าเลวของป๊อบไม่ใช่การไประรานคนอื่น แต่ป๊อบไปทำร้ายจิตใจคนอื่นด้วยคำพูดและการกระทำที่แย่ ๆ ซึ่งตรงนี้ ป๊อบอยากให้วัยรุ่นรู้ว่าการทำแบบนั้น มันไม่ดี การเป็นวัยรุ่นไม่จำเป็นต้องก๋ากั่น เที่ยวเตร่ หรือปากจัด (ยิ้ม)
all : หนังสือเล่มล่าสุด ‘Fate Diary บันทึกพลิกโลก’ ก็เขียนถึงประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมาด้วย
ดร.ป๊อบ : ครับ ป๊อบลบเรื่องเก่าที่เคยเขียนไว้ แล้วเขียนใหม่ทั้งหมด คิดอยู่นานว่าจะเขียนอะไร จนมาจบที่บันทึกชะตากรรม เป็นเรื่องราวเสี้ยวหนึ่งของป๊อบ ที่มีทั้งเสี้ยวที่ประสบความสำเร็จ ผิดพลาด สมหวัง ผิดหวัง มีหลากหลายอารมณ์ ป๊อบเอามาเล่าผ่านตัวละครให้คนได้อ่านได้คิด ป๊อบจะไม่ทำแฟนตาซีที่ฆ่ากันฟันเพื่อความสนุกเหมือนก่อนอีกแล้ว เรื่องนี้ให้อะไรกับคนอ่านมากขึ้น เขาอาจเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ตั้ง คำถามกับตัวเองได้ว่า ดีพอหรือยัง สงบหรือยัง ทำอะไรไม่ดีให้คนที่รักเราหรือเปล่า อย่างน้อยคุณจะได้ตั้งคำถามกับตัวเอง เมื่อได้อ่านเรื่องราวของตัวละครเหล่านี้ครับ
all : แสดงว่า หนังสือเล่มนี้แตกต่างจากเล่มที่ผ่าน ๆ มาค่อนข้างเยอะ
ดร.ป๊อบ : ป๊อบว่ามันเป็นมาสเตอร์พีซของป๊อบเลยก็ว่าได้นะ ป๊อบภูมิใจกับมันมาก เพราะรู้สึกว่าได้ให้อะไรบางอย่างกับสังคม ป๊อบโตขึ้นด้วย จึงอยากให้ผู้อ่านได้รับประโยชน์ เล่มนี้อ่านสนุกแล้วก็ให้แง่คิด ภูมิใจมากที่ฟีดแบ็คบนทวิตเตอร์หรือสื่อออนไลน์ต่าง ๆ บอกว่า มีคนอ่านแล้วเสียน้ำตา ได้แง่คิดและสะกิดใจคนอ่าน ผ่านไป 3 เดือนแล้ว ก็ยังมีคนพูดถึงอยู่ ป๊อบย้อนกลับไปอ่านดูแล้วก็พบว่ามันใช่จริง ๆ มันเป็นสิ่งที่ป๊อบไม่เคยทำได้ ป๊อบรู้สึกว่าคนอ่านเขาผูกพันกับหนังสือเล่มนี้ เขาพกไปอ่านที่ต่างประเทศ ไปในหลาย ๆ ที่ เพราะเขารู้สึกว่ามันเป็นเพื่อน (ยิ้ม)
all : อยากจะฝากอะไรถึงน้องๆที่เป็นแฟนคลับบ้าง
ดร.ป๊อบ : ป๊อบ อยากให้คุณยอมรับว่าตัวคุณมีดีอะไร แย่อะไร ส่วนที่ไม่ดีคุณก็ปรับปรุงมันได้ และส่วนที่ดีก็จงดันมันออกมา เวลาเจอเรื่องแย่ ๆ ก็อย่าปล่อยให้มันมาทำร้ายคุณ ถ้าคุณอยากมีชีวิตที่ดี ก็ต้องคิดแต่เรื่องดี ๆ พอคุณคิดดี ทำดี คนดี ๆ จะเข้ามาหาคุณเอง เวลามีปัญหากับเพื่อนหรือคนใกล้ตัว ให้รีบคุยกัน อย่าปล่อยให้ค้างคา พยายามอย่าโกรธเพราะมันไม่มีประโยชน์ การยอม การขอโทษก่อน ไม่ใช่เพราะคุณแพ้ แต่การยอมก่อนคือการแสดงถึงวุฒิภาวะที่ดีกว่า การรักเป็นสำหรับป๊อบ คือการให้ใจ ให้เกียรติ ให้อภัย จงเอา 3 คำนี้ ไปใช้ในชีวิตประจำวัน แล้วชีวิตคุณจะดีขึ้น และจงเชื่อในสิ่งที่คุณทำ มนุษย์หลายคนล้มเหลว เพราะบอกว่าตัวเองทำไม่ได้ เมื่อไหร่ที่พูดคำว่าทำไม่ได้ มันจะทำไม่ได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณบอกว่าเราทำได้ เราจะทำได้ ทุกอย่างเป็นไปได้เสมอครับ (ยิ้ม) นอกจากดร.ป๊อบ จะเขียนหนังสือ เป็นพิธีกร เป็นวิทยากรสร้างแรงบันดาลใจให้เด็ก ๆ ในโรงเรียนมัธยมฯ แล้ว ในโลกออนไลน์ เขายังเป็นผู้ผลักดัน ‘#คนไทยอ่านปีละ50เล่ม’ แฮชแท็กในทวิตเตอร์ที่โด่งดัง เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมการอ่านหนังสือของคนไทย ด้วยมั่นใจว่า หนังสือสามารถเปลี่ยนชีวิต โดยเฉพาะในยามชีวิตพลิกผัน ...ดังที่เขาเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว
ขอบคุณที่มา : http://www.all-magazine.com