การอ่านหนังสือที่ดีเปรียบเสมือนเราได้คุยแลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ให้แง่มุมความคิด บางครั้งเห็นด้วย บางครั้งขัดแย้ง เมื่ออ่านจบ - - สิ่งที่ได้คือความอิ่มใจที่เราได้แง่มุมดี ๆจากประสบการณ์ที่คนเขียนถ่ายทอดออกมา...
ดอกไม้สีขาว... เริ่มต้นงานเขียนหนังสือเล่มแรกจากประสบการณ์ที่ตัวเองมีอยู่
"รักหายไป หัวใจยังอยู่" เป็นการหยิบชีวิตของตัวเองเขียนออกมา เป็นประสบการณ์ชีวิตช่วงหนึ่งที่ตัวเองถามตัวเองว่า - ชีวิตมันบางขนาดนี้เชียวหรือในยามที่รักหายไป เมื่อเราเกิดความเสียใจสิ่งเดียวที่ทำได้คือการโทรศัพท์ไปเล่าให้เพื่อนสนิทฟัง เพื่อนฟังบ่อย ๆเข้า เขาคงเบื่อจึงบอกให้เราเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือ เขาจะช่วยอ่านให้ เราก็เริ่มเขียน เขียนอยู่ประมาณสามเดือนเสร็จ เขียนไปร้องไห้ไป นอนไม่หลับก็ลุกขึ้นมานั่งเขียน ปรากฏว่าเมื่อเพื่อนมาอ่านแล้วชอบ เขาก็บอกว่าจะช่วยหาที่ลงให้ รักหายไป หัวใจยังอยู่จึงเป็นหนังสือเล่มแรกที่เขียนบอกเล่าประสบการณ์เพื่อให้คนอ่านได้เรียนรู้ประสบการณ์จากเรื่องราวของเรา
ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเราจะต้องนำเรื่องราวของตัวเองมาเขียน และไม่เคยคิดว่าจะเขียนหนังสือ ตอนเด็ก ๆก็คิดเพียงแค่เขียนเป็นไดอารี่เท่านั้น จะว่าเราทะเยอทะยานไหม จริง ๆการเขียนหนังสือก็ไม่ใช่เรื่องของความทะเยอทะยาน บางคนดังอยู่แล้ว แต่เขาอยากเขียนหนังสือก็เพราะมีคนอยากรู้เรื่องของเขา แต่บางคนมีความใฝ่ฝันว่าฉันอยากเป็นนักเขียนเพราะรู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่ เนื่องจากมีนักเขียนในดวงใจที่เขาเขียนหนังสือแล้วขายได้เป็นล้านเล่ม ทำให้เป็นแรงบันดาลใจอยากเขียนแล้วขายได้เป็นล้านเล่มอย่างเขาบ้าง ซึ่งคนที่เขียนหนังสือมันก็มีหลายมุม มุมของแต่ละคนมันก็ต่างกัน แต่สำหรับเราไม่ได้คิดตรงนั้น
มีคนบอกว่าเราเป็นดีเจชื่อดังมาก่อน น่าจะใช้ชื่อสมัยเป็นดีจีเลย คือ ต่าย ลัดดาวัลย์ แม่มดจีจี้ หรือดึก ๆ หมึกสีม่วง เพราะจะได้มีคนที่รู้จักเราซื้อ แต่เราคิดว่าไม่เกี่ยวกัน งานเขียนกับงานดีเจมันคนละเรื่องเลย แล้วเราก็ให้เกียรติด้วย เพราะนักเขียนที่เขายิ่งใหญ่มาก่อนก็เยอะแยะ เราก็น่าจะไต่ขึ้นไปตามลำดับอย่างที่ควรจะเป็น เขาเริ่มที่ศูนย์เราก็น่าจะเริ่มที่ศูนย์เหมือนคนอื่นเขา
บังเอิญช่วงที่เริ่มเขียนเป็นช่วงที่กระแสคนดัง ๆ หรือ ดารามาเขียนหนังสือกัน แต่เราไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น เพราะถ้าเราใช้ชื่อดีเจ ก็ต้องมีกลุ่มแฟน ๆ ที่เคยฟังรายการอาจจะมาอุดหนุน แต่เรากลับคิดว่า อยากให้คนอ่านหนังสือเราเพราะตัวหนังสือ เพราะงานเขียนที่เรางานเขียนจริง ๆ ไม่ใช่อยากอ่านเพราะเรื่องของต่าย ลัดดาวัลย์เป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นเมื่อหนังสือออกวางตลาดก็เป็นเหมือนผลพิสูจน์ว่าคนอ่านเรื่องของเราประหนึ่งเป็นเหมือนเรื่องของเขาเอง เนื่องจากหนังสือไม่ได้ทำการประชาสัมพันธ์เลย คนอ่านอ่านแล้วบอกปากต่อปาก
หลังจากหนังสือเล่มนี้ออกวางจำหน่ายได้ไม่นานก็มีหน่วยงานเชิญให้ไปพูดเรื่องนี้ทำอย่างไรให้เราสามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างเข้มแข็ง จะเห็นได้ว่ามีผู้หญิงที่ประสบกับปัญหาชีวิตเยอะมากทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดน้อยลง คนที่เชิญไปพูดเนี่ยเป็นผู้ชาย เชิญให้ไปพูดให้กับพนักงานผู้หญิงฟัง เขาบอกว่า - ผมอ่านหนังสือคุณต่ายแล้ว คิดว่าน่าจะเป็นข้อคิดที่ดีให้กับผู้หญิงอีกหลายคนได้ ดีใจนะที่คนอ่านตอบรับงานเขียน รู้สึกเหมือนเราได้ทำบุญ ทำบุญอะไรก็ไม่เท่ากับทำให้คนตาสว่าง มีปัญญา หรืออยู่ในช่วงเวลาที่เขาคิดไม่ออก หรือกำลังมีปัญหา หนังสือที่เราเขียนจึงเป็นเหมือนการสะท้อนภาพให้เขาได้คิดว่าเขาจะทำอย่างไรกับชีวิตของตัวเองต่อไป เพราะชีวิตคนเรามันมีอยู่ไม่กี่รูปแบบหรอก ถ้าเราจะเรียนรู้ให้กว้างขึ้น จากแง่มุมประสบการณ์ของคนอื่นก็สามารถนำมาเรียนรู้ที่จะใช้กับชีวิตของตัวเราเองได้"
จากหนังสือเล่มแรก ดอกไม้สีขาวก็ถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตออกมาอีกหลายเล่ม เช่น เมื่อรักแสดงตน เมื่อคนบอกว่ารัก จากหัวใจถึงสายสะดือ หากถอยเวลากลับได้ นายฉันชื่อ...ความคิด และไกด์ดีมีความสุข ทุกเรื่องราวที่ปรกกฎเป็นตัวอักษรคือความมีชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เรียนรู้ชีวิตเพื่อที่จะใช้ชีวิต และเพื่อให้คนอื่น ๆ ที่อ่านหนังสือของเธอได้เรียนรู้ชีวิตเพื่อใช้ชีวิตด้วยเช่นกัน