ม.ล.ชัยวัฒน์ ชยางกูร ประธานบริหารบริษัท C.E. Enterprise Consulting Co.,Ltd ในแวดวงธุรกิจนี้น้อยคนนักจะไม่รู้จัก เนื่องจากได้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาธุรกิจทางด้านการขายและการตลาด และที่ปรึกษาทางด้านธุรกิจ E-Comerce ในหลายบริษัทจึงถือเป็นนักบริหารที่ประสบความสำเร็จในระดับแนวหน้าของประเทศ มีรางวัลการันตีความเป็นหนึ่งมากมาย เช่น รางวัลนักธุรกิจดีเด่น จาก Promotion Headway Business ปี 2538 รางวัลบุคคลแห่งความสำเร็จ จากมูลนิธิเพื่อสังคมไทย ปี 2540
ขณะเดียวกัน ม.ล.ชัยวัฒน์ ยังมีผลงานเขียนอีกหลายเล่ม เช่น นวัตกรรมสู่วิสัยทัศน์ : การบริหารธุรกิจ, นวตกรรมสู่วิสัยทัศน์ : ทุนมนุษย์ และล่าสุดได้เขียนหนังสือ จอมยุทธ์การตลาด ให้กับนักบริหารรุ่นใหม่ได้ศึกษาที่จะนำไปปรับใช้กับการบริหารงาน และแม้ว่าจะใช้กลยุทธ์ทุกๆ ด้านในการบริหารธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ ม.ล.ชัยวัฒน์ บอกว่ามีความสำคัญไม่น้อยยิ่งกว่ากัน คือ การอ่านถือว่าเป็นขุมทรัพย์ที่ใช้ไม่มีวันหมด
ม.ล.ชัยวัฒน์ เล่าว่า พ่อ(ม.ร.ว.ทวีชัย ชยางกูร) เป็นทหาร จึงเป็นคนที่เคร่งครัด เจ้าระเบียบ ที่สำคัญดุมาก ทั้งนี้ท่านจะมีกฎรระเบียบวางไว้ ซึ่งลูกๆ ทุกคนต้องปฏิบัติตาม ถ้าทำไม่ได้ก็จะถูกทำโทษ
ท่านพ่อบอกว่าจะเรียนยังไงก็ได้แต่ต้องได้ที่ 1 นั่นคือกฎข้อแรก ส่วนกฎข้อที่สองก็คือ ถ้าไม่ได้ที่ 1 ก็ต้องถูกตีตามผลต่างของลำดับที่ที่สอบได้ลบกับลำดับที่ 1 เช่น ถ้าสอบได้ที่ 3 ก็จะต้องถูกตี 2 ที แต่ถ้าได้ที่ 2 ก็จะต้องถูกตี 1 ที ตรงนี้จำได้ว่าถ้าผลสอบได้ที่ 2 หรือที่ 3 ตนเองจะไม่ยิ้มเลย เพราะรู้ชะตากรรมว่ากลับบ้านไปต้องถูกตี และยังมีการตรวจกระเป๋าถ้าเห็นลายมือเขียนหนังสือไม่สวยก็จะโดนอีกเหมือนกัน
นอกจากนี้แล้วคำสอนของพ่อ เป็นแนวคิดที่จะเรียกได้ว่า แตกต่างจากคนในสมัยนั้นจริงๆ คือ ถ้าคนที่เป็นพ่อเป็นแม่คน ณ เวลานั้น เขามักจะสอนลูกตัวเองให้ตั้งใจเรียนหนังสือ โตขึ้นจะได้เป็นเจ้าคนนายคน ได้รับราชการ มีคนนับหน้าถือตา ในขณะที่ท่านพ่อไม่ทำอย่างนั้น กลับมีแนวคิดตรงกันข้าม และถือว่าเป็น จุดหักเหที่ทำให้รู้จักตนเองมากขึ้น และมีประสบการณ์ที่ไมเคยลืมเลย
เรื่องมันมีอยู่ว่า ช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอม กอรปกับการที่คุณพ่อเป็นสารวัตรทหารที่ดูแลทหารอเมริกัน คือ หน่วยงานจัสแมกที่อยู่ในประเทศไทย จึงได้รับขนมกองโตจากเมืองนอก ที่ไม่มีขายในเมืองไทยจากคุณพ่อ แต่ตรงนี้ไม่ใช่เลย พ่อไม่ได้เอามาให้ตนเองกิน แต่ท่านบอกว่าเอ้าเอาไปทำธุรกิจ แรกๆ ก็เอาไปขายให้กับเพื่อนๆ แล้วก็คิดต่อว่าเราเอาไปขายให้เงินมากกว่านี้ เราจะทำอย่างไร
“ผมเลยเกิดไอเดีย ลงทุนทำธุรกิจแรกในชีวิต เปิดร้านยิงเป้าที่หน้าบ้าน เก็บตังค์ลูกค้าเด็กๆ เพื่อนๆ แถวบ้าน เวลามาเล่นเกมละสลึง ถ้ายิงถูกกระต่ายก็จะได้ขนมเพิ่ม ผมจำได้แม่นว่าได้กำไรประมาณ 200 บาท เลยเอาไปซื้อของ ตอนนั้นรู้สึกภูมิใจเล็กๆ เอ๊.... เราก็ทำอะไรได้เหมือนกันนะนี่ ที่สำคัญต้องขอบคุณหุ้นส่วนใหญ่ของผม คือคุณพ่อที่เริ่มต้นจุดประกายความเป็นนักขายให้ผม” ม.ล.ชัยวัฒน์ ชยางกูร กล่าวอย่างภาคภูมิใจ
ความประทับใจของหนังสือนั้น ม.ล.ชัยวัฒน์ บอกว่า ตั้งแต่เด็กจนโตก็คงเป็นหนังสือวิชาการด้านธุรกิจ การตลาด แล้วก็จุดเริ่มต้นของนักขาย จนมีอยู่วันหนึ่งอายุประมาณ 12 ปี ได้ไปขายหนังสือให้กับนักเขียนที่อยู่ใกล้บ้าน ที่เขียนเป็นหนังสือผีรวมเล่ม เราได้ประสบการณ์งานขายแล้ว ยังได้เป็นนักอ่านไปด้วย ประสบการณ์ของนักขายในวันนั้น ก็ทำให้เราต่อยอดมาเป็นนักขายในทุกวันนี้
หลังจากนั้นชีวิตในวัยเด็กก็มีความสนใจอ่านหนังสือเกี่ยวกับการตลาดมาตั้งแต่บัดนั้น ไม่รู้ว่าทำไมถึงชอบ มีความรู้สึกว่าอยากเรียนรู้เองโดยไม่มีใครสอนให้อ่านเลย แต่บอกได้เลยว่าหนังสือเหล่านี้ เราสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตการทำงานของเราได้ ยิ่งโตขึ้นมา หนังสือที่เราอ่านมันก็ทำให้เรารู้ เข้าใจในหลายเรื่องของการตลาด ที่สำคัญการอ่านยังทำให้เราฉลาดขึ้น การอ่านสอนให้คิดต่อยอดธุรกิจได้หลากหลาย มีไอเดียเกิดขึ้นมากมาย
“ผมอยากจะบอกกับเยาวชนทุกคนว่าการอ่านคือการสร้างอนาคต เพราะว่าความรู้ของเรามาจากในห้องเรียนและนอกห้องเรียน อย่าคิดว่าความรู้ในห้องเรียนมีความหมาย แต่ความรู้นอกห้องเรียนก็มีความหมาย ความรู้ในห้องเรียนก็คือการอ่านหนังสือ ดังนั้น การอ่านที่ให้ความรู้ก็นำพาทุกคนไปสู่การทำงานที่ดี การอ่านจึงเป็นเหมือนขุมทรัพย์อย่างหนึ่งให้กับเราด้วย”