สวนสาธาระ ณ ประชาธิปไตย...
สวนสาธารณประชาธิปไตย คือพื้นที่แห่งความทรงจำและการเรียนรู้ ที่ถูกสร้างขึ้นบริเวณโดยรอบ อนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทย—เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของสังคมไทยในการยืนยันว่า “นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน” และไม่อาจรับรองอำนาจที่มาจากปลายกระบอกปืน สวนแห่งนี้จึงไม่ได้มีเพียงบทบาทในการจัดงานรำลึกเหตุการณ์วันที่ 17 พฤษภาคมของทุกปีเท่านั้น แต่ยังถูกออกแบบให้เป็น พื้นที่สาธารณะสำหรับประชาชน ใช้งานได้ตลอดทั้งปี เพื่อให้การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไม่กลายเป็นเพียงอดีตที่เงียบเหงาในหนังสือประวัติศาสตร์
เมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมานำทีมโดย ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล หนุ่มเมืองจันท์ สรกล อดุลยานนท์ ติ่งข่าว สมภพ รัตนวลี และจอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ ได้จัดทอล์คประชาธิปไตย เพื่อถอดบทเรียนการเมืองไทยเพื่อหาทางออกให้ประชาธิปไตยได้ไปต่อ โดยมี ส.ศิวลักษณ์ เป็นแขกพิเศษที่จะมายืนยันความหวังของคำว่าประชาธิปไตย
แต่ละท่านดังกล่าวล้วนมีบทเรียนจากเหตุการณ์พฤษภา 35 อันเป็นบทเรียนแห่งการเติบโตทางการเมืองที่มีบทบาทต่างกัน แต่เมื่อมองย้อนกลับไปประชาธิปไตยในปัจจุบันก็ดูเหมือนจะไม่เดินหน้าไปถึงไหน แต่กลับเหมือนว่ายังอยู่ในปีพศ.2534 ก่อนพฤษภาทมิฬเสียด้วยซ้ำ
ดังเช่น ติ่งข่าว สมภพ รัตนวลี กล่าวว่า เหตุการณ์พฤษภาทมิฬไม่ใช่เพียงการเมืองระดับชาติเท่านั้น แต่เป็นบทเรียนในระดับชีวิตจริง เป็นจุดเปลี่ยนจากความเฉยชาไปสู่ความตื่นรู้ เสียงปราศรัยของหมอเหวงในวันนั้น ยังฝังอยู่ในใจเขาเสมอ โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง "การกระจายอำนาจ" ซึ่งกลายเป็นเป้าหมายที่เขาเฝ้าติดตามมาทั้งชีวิต
“มันต้องเลือกตั้งผู้ว่าทุกจังหวัด! มันควรจะต้องทำให้ได้!”
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาได้เพียงพบกับความเงียบ...สุดท้ายเรื่องนี้ก็หายไป... ยังไม่เห็นนักการเมืองหรือรัฐบาลไหนทำเลย
ส่วนหนุ่มเมืองจันท์ สรกล อดุลยานนท์ กล่าว่าเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535 ไม่ได้เป็นเพียงบันทึกหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย หากแต่เป็นบทเรียนที่มีชีวิต มีลมหายใจ และยังคงส่งเสียงเตือนถึงสังคมไทยจนปัจจุบัน หลังเหตุการณ์ เขาได้จัดทำสกู๊ปสรุปภาพรวมของการต่อสู้ครั้งนั้น มองย้อนกลับไป นั่นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการบันทึก “ประวัติศาสตร์ที่ยังสด” ในวันนั้น วันที่ประชาธิปไตยดูเหมือนจะชนะ มีความรู้สึกชัดเจนว่า “ประชาธิปไตยชนะแล้ว” ทหารดูเหมือนจะยอมถอย ไม่ออกมาแทรกแซงอย่างเดิมอีกต่อไป สิ่งนี้นำไปสู่รัฐธรรมนูญปี 2540 — ซึ่งถือเป็นหมุดหมายของประชาธิปไตยไทยอย่างแท้จริง ขนาดที่ว่า “เสถียร จันทิมาธร” นักข่าวผู้จดการโยกย้ายตำแหน่งในกองทัพทุกปี ถึงกับหยุดจด เพราะเชื่อว่าทหารจะไม่แทรกแซงการเมืองอีกแล้ว แต่แล้ว... ก็มีรัฐประหารอีกครั้ง
บทเรียนสำคัญที่ควรจะถอด คือ "ความต้องการเรียนลัดของประชาชน" ในตอนนั้น พวกเรารณรงค์ว่าต้องการนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง ต่อต้าน พลเอกสุจินดา คราประยูร แต่เมื่อเขาลาออก กลับได้ คุณอนันต์ ปันยารชุน ขึ้นมาแทน แม้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่ทุกคนก็ “เฮ!” พอใจ
นี่คือจุดสะท้อนว่า เรา “พอใจกับผลลัพธ์” โดยละเลย “กระบวนการ” เหมือนกับในปัจจุบันที่หลายคนเลือกฝ่ายตามความชอบส่วนตัว โดยไม่สนว่ามันยึดโยงกับประชาชนหรือไม่
ประชาธิปไตย: อำนาจของราษฎร และความหวังที่จะไม่สิ้นสุด
ทั้ง ส.ศิวลักษณ์ และผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล กลับมองว่า ในห้วงยามที่สังคมไทยยังถกเถียงถึงหนทางของประชาธิปไตย คำถามที่ว่า “ประชาธิปไตยจะเดินต่อไปอย่างไร” ยังคงเป็นคำถามใหญ่ที่เราทุกคนต้องช่วยกันตอบ และก่อนที่เราจะเดินต่อไปได้ เราต้องหันกลับมาทบทวนให้ชัดเจนเสียก่อนว่า “ประชาธิปไตยคืออะไร”
ประชาธิปไตยไม่ใช่เพียงการอ้างรัฐธรรมนูญหรือการเลือกตั้งตามวาระ หากแต่ต้องเริ่มต้นที่การ ยอมรับว่า อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎร อย่างแท้จริง ซึ่งในประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญไทย มีเพียง ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม พ.ศ. 2475 เท่านั้น ที่ประกาศไว้อย่างตรงไปตรงมาว่า "อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎรสยาม" ประชาธิปไตยจึงไม่ใช่แค่โครงสร้างทางการเมือง แต่คือคุณค่าพื้นฐานที่ทุกคนต้องได้รับอย่างเสมอภาค ทั้งทางกฎหมาย เศรษฐกิจ และเสรีภาพในการแสดงออก
การมีสิทธิ์เลือกตั้งจึงไม่เพียงพอ หากประชาชนยังไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้อย่างเท่าเทียม ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจจึงเป็นหัวใจสำคัญของประชาธิปไตย ไม่ใช่เพียงการได้หย่อนบัตร แต่ต้องมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเต็มที่ด้วย และที่สำคัญ ประชาธิปไตยไม่ควรสร้างบนความทะยานอยาก ไม่ใช่ความอยากรวย อยากมีอำนาจ หากแต่ต้องตั้งอยู่บนหลักของ ความสันโดษ ความเสียสละ และการกระจายอำนาจ คนที่จะนำประชาธิปไตยได้ต้องมีจิตใจที่อุทิศให้คนส่วนใหญ่ ไม่ใช่เพื่อตนเอง ผู้นำประชาธิปไตยที่แท้จึงไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่หรือโดดเด่น แต่ต้องมี "สันโดษเป็นเจ้าเรือน" นี่คือคำกล่าวของส.ศิวลักษณ์
ในประเด็นของการหยุดวงจรรัฐประหาร ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญของประชาธิปไตยไทย ส.ศิวลักษณ์มองเห็นความเป็นไปได้ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงจากภายใน โดยเฉพาะกับ "ทหาร" ที่มีความคิดประชาธิปไตย ทหารที่ไม่ปรารถนายศถาบรรดาศักดิ์ แต่พร้อมจะยืนอยู่ข้างประชาชน ทหารเช่นนี้มีอยู่ แม้จะไม่มาก แต่ก็เพียงพอที่จะเป็นพลังในการเปลี่ยนแปลง เพราะประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าความสำเร็จยิ่งใหญ่ของโลกบ่อยครั้งเริ่มต้นจาก คนส่วนน้อย
ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ได้สรุปสาระสำคัญไว้ว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่เพียง "ประชาธิปไตยทางการเมือง" แต่ต้องเป็น "ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ" ควบคู่กัน คนเราจะเท่ากันในการลงคะแนนได้ก็เมื่อพวกเขามีฐานะความเป็นอยู่ที่เท่าเทียมกันพอสมควร การได้สิทธิเลือกตั้งจึงต้องมาพร้อมกับสิทธิในความอยู่รอด สิทธิในการเข้าถึงทรัพยากร และคุณภาพชีวิตที่ดี
ท้ายที่สุด ส.ศิวลักษณ์ ฝากความหวังไว้ว่า ประชาธิปไตยในประเทศไทยไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้
“ผมไม่อยากให้ท่านทั้งหลายผิดหวังนะครับ ผมเชื่อว่า ประชาธิปไตยจะเป็นไปได้ที่บ้านนี้เมืองนี้ จะช้าหรือเร็ว ผมเชื่อว่าประชาธิปไตยจะเบ่งบานก่อนผมอายุ 100 ปี”
บทเรียนของประชาชน และแนวทางการป้องกันรัฐประหาร
ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ได้กล่าวว่า "เราทุกคนต้องช่วยกัน อย่าให้เขาฉีกอีก" การป้องกันรัฐประหารไม่ใช่เรื่องที่จะทำหลังรถถังออกมาแล้ว เพราะเมื่อนั้นมันจะสายเกินไป สิ่งสำคัญคือ การไม่เปิดโอกาสให้ทหารมีเหตุผลในการออกมา ไม่เรียกให้ทหารเข้ามาในทางอ้อม เช่น การล้อมหน่วยเลือกตั้ง หรือการปลุกปั่นจนทำให้ประชาธิปไตยล้มเหลวในสายตาสาธารณะ
"เรามีวีรชนมากเกินไปแล้ว" ประโยคนี้เตือนใจอย่างลึกซึ้งว่า การสูญเสียชีวิตเพื่อประชาธิปไตยเกิดขึ้นบ่อยครั้งเกินไป และไม่ควรเกิดขึ้นอีก เพราะฉะนั้น สิ่งที่ควรทำคือ ป้องกันตั้งแต่ต้นทาง ไม่ให้มีรัฐประหาร ไม่ให้มีการฉีกรัฐธรรมนูญอีก
ในท้ายที่สุด หากเราทุกคน ไม่ว่าจะมีความคิดทางการเมืองแบบใด สามารถยืนอยู่บนหลักการร่วมกันว่า "แตกต่างได้ภายใต้รัฐธรรมนูญ" พลังของภาคประชาชนก็อาจกลับมาเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้ง และเมื่อถึงวันนั้น เราอาจไม่ต้องพูดถึง "วีรชนคนใหม่" อีกต่อไป เพราะประชาธิปไตยจะมั่นคงอยู่ได้ โดยไม่ต้องแลกมาด้วยชีวิตของใคร