เปิดเล่มโปรด วิชุดา ราชพิทักษ์ หรือ ดารัช : โมโม่ - เวลาคือชีวิต และชีวิตสถิตอยู่ในหัวใจ

เปิดเล่มโปรด วิชุดา ราชพิทักษ์ หรือ ดารัช

        ในชีวิตประจำวันที่วุ่นวายและเร่งรีบ เราอาจรู้สึกเหมือนถูกกระแสเวลาไหลพาไปไม่สิ้นสุด ชีวิตกลายเป็นการวิ่งไล่ตามเป้าหมายที่ดูเหมือนไม่มีวันจบสิ้น และเรากลับหลงลืมสิ่งสำคัญที่ซ่อนอยู่ในแต่ละวินาทีของชีวิต หนังสือ โมโม่ โดย มิชาเอ็ล เอ็นเด้ เป็นวรรณกรรมเยาวชนที่เชื้อเชิญให้เราหยุดนิ่ง ทบทวน และตั้งคำถามถึงความหมายของเวลา ผ่านเรื่องราวอันเรียบง่ายแต่แฝงปรัชญาลึกซึ้ง

        สำหรับ 'ดารัช' หรือ วิชุดา ราชพิทักษ์ ผู้หลงใหลในวรรณกรรมเล่มนี้ การอ่าน โมโม่ ไม่เพียงสร้างแรงบันดาลใจ แต่ยังช่วยเขาหยุดพักจากความวุ่นวายของชีวิต เพื่อหันมารักตัวเองและมองเห็นคุณค่าในความไม่สมบูรณ์แบบของทุกสิ่งในโลกใบนี้

 

โมโม่

 

บ่อยครั้ง ฉันรู้สึกว่าอะไรต่อมิอะไรเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนมีแค่ฉันที่ไล่หลัง พอคิดแบบนั้นก็ร้อนใจ แล้วทุกอย่างที่ต้องทำก็ถาโถมเข้ามา จนแทบจะจมหายไปในบรรดาเรื่องที่ต้องทำเหล่านั้น เป้าหมายอันห่างไกล และความเกลียดชังตัวเองที่ไม่ได้ดั่งใจ แม่น้ำที่ชื่อว่า “เวลา” มักเหือดแห้งอยู่เสมอ

 

ในช่วงเวลาแบบนี้ เรามักพบสันติสุขในใจ เป็นทางที่ทำให้เรายังมีชีวิตรอดด้วยวิธีที่ต่างกัน

 

สำหรับฉัน ข้อความหน้าหนึ่งจากวรรณกรรมเยาวชนเรื่องโมโม่เป็นสิ่งที่ช่วยให้ฉันตั้งสติได้หลายต่อหลายครั้ง

          “รู้ไหม โมโม่ มันคืออย่างนี้ บางครั้งเรามีระยะทางอันยาวไกลอยู่ข้างหน้า แล้วคิดว่ามันช่างยากเย็นเหลือเกิน ไม่มีวันที่จะกวาดให้เสร็จได้ เราเริ่มรีบเร่ง แต่ทุกครั้งที่มองออกไปก็ไม่เห็นว่าทางเบื้องหน้ามันจะสั้นลง ยิ่งตรากตรำพยายามมากขึ้นไปอีกจนเกิดหวั่นใจ และในที่สุดแทบจะขาดใจทำต่อไปไม่ไหว แต่ทางก็ยังอยู่เบื้องหน้า เราจะทำอย่างนั้นไม่ได้ เราต้องไม่คิดถึงถนนทั้งสายในครั้งเดียว เข้าใจฉันไหม จะต้องคิดถึงแต่ก้าวต่อไป ลมหายใจต่อไป การกวาดครั้งต่อไป แล้วจึงคิดถึงครั้งต่อไปอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วจะมีความสุขใจ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ และการงานจะดีเอง มันควรจะเป็นเช่นนั้น แล้วในทันใดเราก็จะเห็นว่า ด้วยการเดินเพียงทีละก้าวๆ ถนนที่ว่ายาวได้ถูกเดินผ่านไปแล้วโดยไม่ทันสังเกตว่าทำได้อย่างไร ทั้งยังไม่รู้สึกว่าได้ตรากตรำ นั่นคือแก่นสารของมันละ” (เบ๊ปโป้, คนกวาดถนน : หน้า 32)

1.เด็กหญิงโมโมและความสามารถพิเศษในการฟัง

 

นาน นานมาแล้วในสมัยโบราณ บรรดาเมืองใหญ่สวยงามอร่ามตา ต่างมีโรงละครกลางแปลงที่มีเวทีตรงกลาง รอบเวทีเป็นที่นั่งของผู้ชมที่ชื่นชอบการดูละคร

 

เมื่อพวกเขาดูละคร ไม่ว่าจะเป็นบทเศร้าบทโศกหรือบทตลกก็เหมือนกับว่าได้ดูชีวิตจริง แต่ชีวิตบนเวทีดูเหมือนว่าจะเป็นความจริงยิ่งไปกว่าชีวิตประจำวัน มันเป็นความจริงอีกระดับหนึ่งซึ่งเขาทั้งหลายใคร่ได้เห็นได้ยิน (หน้า 4)

 

นับพันปีผ่านไป ทุกอย่างเสื่อมสลายตามกาลเวลา ผู้คนต่างพูดถึง “โมโม่” เด็กหญิงตัวเล็กที่มาอยู่ที่โรงละครโบราณ ชาวบ้านละแวกนั้นมักมาเยี่ยมเยียนโมโม่ เด็กหญิงไม่ได้เก่งกาจกว่าใครๆ แต่เธอมีความสามารถพิเศษคือการฟังเป็น ซึ่งแท้จริงแล้ว มีคนจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่ฟังเป็นจริงๆ โมโม่ฟังทุกอย่าง ทั้งผู้คน หมา แมว ลมในป่า รวมไปถึงความเงียบสงัดของยามค่ำคืนท่ามกลางหมู่ดาว

 

และฉันก็คือหนึ่งในบรรดาผู้คนที่ตกหลุมรักเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ ในตอนที่พลิกหน้ากระดาษ ไล่อ่านเรื่องราวของโมโม่และเพื่อนๆ ของเธอ ฉันรู้สึกราวเสียงต่างๆ รอบตัวชัดขึ้น และฉันกลายเป็นนักฟังฝึกหัดที่พอใช้ได้คนหนึ่ง

 

2.ผู้ชายสีเทาและการอดออมเวลา

ผู้ชายสีเทาปรากฏตัวขึ้นในเมือง เขาถือกระเป๋าสีเทาตะกั่ว สวมหมวกโครงแข็ง ผู้ชายสีเทาตำหนิเหล่าชาวเมืองที่ “ใช้เวลาสิ้นเปลืองไปโดยไม่รับผิดชอบ” ชายสีเทาเรียกร้องให้ผู้คนทำงานให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เวลาเป็นสิ่งมีค่า อย่าปล่อยให้มันเสียไป! เวลาเป็นเช่นทรัพย์สมบัติ ต้องประหยัดและเก็บออม! การจะมีให้มากขึ้นอีกต้องประหยัดเวลา ละทิ้งสิ่งที่ดูเหมือนไม่มีประโยชน์

“สิ่งเดียวซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายในชีวิตนี้ก็คือ เราต้องเป็นหลักเป็นฐาน ต้องตั้งเนื้อตั้งตัวได้ ต้องมีอะไรบ้าง ใครก้าวหน้ากว่า ใครมีหน้ามีตามากกว่า ใครมีอันจะกินมากกว่า สิ่งอื่นๆ จะตามมาเอง ไม่ว่าจะเป็นมิตรภาพ ความรัก หรือเกียรติยศ และอีกหลายๆ อย่าง” (ชายสีเทา : หน้า 90)

 

โมโม่ สังเกตว่าเพื่อนๆ ที่เคยมาเยี่ยมเธอหายไป พวกเขาต่างยุ่งอยู่ตลอดเวลา เหน็ดเหนื่อย เศร้า และเจ็บปวดอยู่เสมอ แต่พวกเขาไม่ว่างมานั่งคิดว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กหญิงจึงไปเยี่ยมเพื่อนๆ ของเธอ และต่อกรกับชายสีเทา

 

“เมื่อก่อนนี้ ผู้คนชอบมาหาโมโม่เพื่อให้เธอฟังพวกเขา แล้วพวกนั้นก็ได้ค้นพบตัวเขาเอง ถ้าพวกเธอเข้าใจว่าฉันหมายความว่าอย่างไร แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครถามหาสิ่งนั้นอีกแล้ว เมื่อก่อนนี้มีคนชอบมาทีนี่เพื่อจะมาฟังฉัน แล้วพวกเขาก็ลืมตัวเขาเองในชีวิตจริงได้ชั่วขณะหนึ่ง ทุกวันนี้ไม่มีใครต้องการเช่นนั้นแล้ว พวกเขาว่ากันว่าไม่มีเวลาสำหรับสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป และสำหรับพวกเธอ พวกเขาก็ไม่มีเวลาให้เหมือนกัน พวกเธอรู้สึกอะไรไหม มันแปลกนะ ไม่ว่าจะสำหรับอะไรๆ พวกเขาไม่มีเวลาเหลืออยู่เลย” (จีจี้ : หน้า 75-76)

 

3. เวลาคือชีวิต และชีวิตสถิตอยู่ในหัวใจ

 

“โมโม่” เป็นวรรณกรรมเยาวชนที่เสนอมุมมองต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว มุ่งเน้นให้เรา Productive ให้มากที่สุด ใช้ทุกเศษเสี้ยววินาทีเพื่อเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้น ดีขึ้น รวดเร็วขึ้น มากขึ้นอีก ดีขึ้นอีก รวดเร็วขึ้นอีก วนเวียนไม่รู้จบ

 

ตัวละครขั้วตรงข้ามในเรื่องคือชายสีเทาและโมโม่ ชายสีเทาเป็นตัวแทนของคนที่อุทิศชีวิตให้กับเวลา ขณะเดียวกัน โมโม่ก็เป็นตัวแทนของชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง ที่รักอิสระ และมองเห็นแง่งามในทุกอย่าง

 

แม้ “มิชาเอ็ล เอ็นเด้” จะเขียนเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2516 แต่เรื่องราวของโมโม่และชายสีเทากลับสะท้อนถึงยุคสมัยปัจจุบันได้อย่างแจ่มชัด

 

            เราต่างตั้งใจใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างเต็มที่ วิ่งสุดกำลังเพื่อเป้าหมายที่วางไว้ เร็วขึ้น มากขึ้น ดีขึ้น ในแต่ละเข็มวินาทีที่เคลื่อนผ่านไป จู่ๆ เรากลับติดอยู่ในกรงขังของเวลา เค้นทุกเสี้ยววินาทีเพื่อให้ตัวเอง Productive ขึ้น พลางสงสัยว่าน้ำตาที่ไหลอาบแก้มนี้มาจากไหน ทำไมแต่ละโมงยามจึงเหนื่อยนัก เราสั่งอาหารเลิศหรูที่สุด สวมเสื้อผ้าราคาแพง พลางสงสัยว่าทำไมจึงรู้สึกเศร้า ไม่มีความสุข ในใจมีช่องโหว่ที่ถมอย่างไรก็ไม่เต็ม และไม่อาจรักความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองได้ เราประหยัดเวลาโดยลืมตั้งคำถามว่า จริงๆ แล้วเราอยากใช้เวลากับอะไรกันแน่

 

            ในโลกที่ตะโกนบอกเราให้รีบวิ่งไปข้างหน้า เราชื่นชมดอกไม้ริมทาง สนุกกับนิทานก้อนเมฆบนท้องฟ้า มอบรอยยิ้มและรับฟังคนตรงหน้าอย่างตั้งใจครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กันแน่?

 

12 ธันวาคม 2567

ดารัช ผู้ชื่นชอบการแอบอู้งานมายืนเหม่อมองท้องฟ้า

Writer

The Reader by Praphansarn