12 หนังสือ แนะนำโดย Dan Brown
Dan Brown นักเขียนชาวอเมริกัน มีชื่อเสียงกว้างขวางจากผลงานนิยายสืบสวนสอบสวนอิงประวัติศาสตร์อย่าง รหัสลับดาวินชี แต่เขาก็เป็นนักอ่านตัวยงเช่นกัน ลองไปดูหนังสือที่เขาแนะนำให้อ่าน ทั้ง 12 เล่มกันค่ะ
The Bourne Identity โดย Robert Ludlum
เขาฟื้นขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร มีแค่บาดแผลกระสุนปืนที่กลางหลัง และบัญชีธนาคาร ที่ฝังอยู่ในสะโพกของเขา เบาะแสเหล่านี้พาให้เขาขุดลึกลงไปในปริศนาของตัวเอง ทำไมเขาจึงมีทักษะการต่อสู้ขั้นสูง ทำไมเขาจึงมีไหวพริบเฉียบขาดกว่าคนทั่วไป และทำไม ถึงมีเหล่าจารชนทั่วทุกทิศทาง มุ่งมั่นที่จะตามฆ่าเขา แม่จะต้องพลิกแผ่นดินทั้งทวีปก็ตาม เขาจึงต้องฝ่าดงกระสุน ปะฉะดะอ้ายอีทุกตัวที่จะหวังเข้ามากำจัด ภายใต้ชื่อๆเดียวที่ทุกคนเรียกเขาว่า “เจสัน บอร์น”
นวนิยายที่สร้างชื่อให้กับ โรเบิร์ต ลัดลัม ให้กลายเป็นนักเขียนนวนิยายสายลับที่เยี่ยมที่สุด สูสีกับ เอียน เฟรมมิ่ง ผู้รังสรรค์ยอดสายลับรหัส 007 แต่โลกสายลับของโรเบิร์ต ลัดลัม นั่น โหด ดิบ แฝงอันตรายทุกฝีก้าว ท่ามกลางฉากดำเนินเรื่องในยุคสงครามเย็น ไม่มีมาร์ตินี่ ไม่มีรถสปอร์ตแรงๆ มีแค่การเอาตัวรอดชนิดพลาดแม้แต่วินาทีเดียว ก็หมายถึงการลาโลกแบบศพไร้ญาติเลยทีเดียว
Plum Island โดย Nelson DeMille
John Corey ตำรวจ NYPD ซึ่งบาดเจ็บจากการปฏิบัติงาน มาพักฟื้นที่ Long Island
จู่ๆ นักวิทยาศาสตร์สองคนที่ทำงานที่ Plum Island ซึ่งเป็นแล็ปของรัฐบาล ทำการวิจัยเกี่ยวกับโรคทางชีววิทยา อย่างเช่น Ebola และ Anthrax ก็ถูกฆ่า ตำรวจท้องถิ่นเลยขอให้ Corey ช่วยสืบเรื่องนี้ ...
พระเอก John Corey เป็นพระเอกแนว anti-hero ค่ะ ปากร้าย กวนตีน หน้าหม้อ หลงตัวเอง แต่ลึกๆ แล้วก็เป็นคนดี และเก่งสะบัด
การดำเนินเรื่อง ดำเนินจากมุมมองของ Corey ด้วยการบรรยายจากบุคคลเดียวด้วย 'I' เหมือนเป็นการตามรอย ตามความคิด ของตำรวจสืบสวนที่พยายามสืบคดีนี้อย่างละเอียด ... และมันก็ละเอียดดดดมากๆๆๆ เลยค่ะ เพราะผู้เขียนใส่ "ข้อมูล" ไม่ว่าจะเกี่ยวกับ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ลักษณะนิสัย ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร ที่พระเอกเรียนรู้มาจนหมด เกี่ยวข้องกับคดีบ้าง ไม่เกี่ยวข้องบ้าง ปนๆ กันไป เหมือนกับเวลาที่ตำรวจไปสืบคดีจริงๆ
Kane and Abel โดย Jeffrey Archer
นิยายเรื่องนี้ พูดถึงคนสองคนที่มีจุดกำเนินแตกต่างกัน แต่ต้องมาแข่งขันอย่างหักเหลี่ยมเฉือนคมกันในที่สุด นิยายแบบ family saga นี้ เซตติ้งในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 มีตัวละครเด่นอยู่ที่ William Kane ซึ่งเป็นลูกชายนายธนาคารใหญ่อยู่อเมริกา และ Abel Rosnovski (ชื่อเดิมคือ Wladeck Koskiewicz) ชาวโปล ซึ่งเป็นเด็กกำพร้า ถูกเก็บมาเลี้ยงดูโดยชาวบ้านยากจน
Coma โดย Robin Cook
"ร่างกายของซากศพเหล่านี้แข็งทื่อเปลือยเปล่าดูน่ากลัว สีผิวนั้นซีดคล้ายกับกระดาษ มีปนเปกันไปหมด ทั้งผู้หญิงและผู้ชายคาทอลิก ยิว ผิวขาว ผิวดำ ความตายให้ความเสมอภาคกันหมด"
ซูซาน วีลเลอร์ นศ.แพทย์ ชั้นปีที่ 3 ที่มาฝึกงานร่วมกับเพื่อนๆในแผนกศัลยกรรมผ่าตัดของรพ.บอสตัน เมมโมเรียล ภายใต้การดูแลและแนะนำของนายแพทย์ มาร์ค เบลโลวส์
หลังจากเริ่มฝึกงานไปได้สักพัก เธอก็พบกับเคสที่แปลกประหลาด คนไข้บางรายอยู่ในอาการเข้าขั้นโคม่าหลังเข้ารับการผ่าตัด ทั้งๆที่ก่อนเข้ารับการผ่าตัด พวกเขาเหล่านั้นป่วยในระดับที่ธรรมดามากไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงหรือมีอาการรุนแรงจนน่าวิตกแต่อย่างใด
นพ.เบลโลวส์พยายามห้ามเธอ และบอกให้เธอกลับมาเข้าคลาสเรียนเพื่ออนาคตของตัวเธอเอง แต่เธอกลับทิ้งการเรียนเพื่อสืบสวนเชิงลึกและค้นหาสาเหตุคืบหน้าไปเรื่อยๆุ อันตรายต่างๆจากสิ่งที่ไม่ควรรู้ก็กลับเริ่มคืบคลานเข้าหาตัวเธอเสียเอง ทั้งยังต้องหนีหัวซุกหัวซุนกับการถูกตามไล่ล่า เธอไม่แน่ใจว่าสามารถไว้ใจใครได้อีก แม้กระทั่งกับอาจารย์แพทย์ของทาง รพ. เอง เกิดอะไรขึ้นกับโรงพยาบาลอันลึกลับแห่งนี้กับห้องผ่าตัดหมายเลข 8 กันแน่
The Hunt for Red October โดย Tom Clancy
The Hunt For Red October อัดแน่นไปด้วยความตื่นเต้นชวนลุ้นของชายสองคนที่กำหายนะของโลกไว้ในมือ! "ตุลาแดง" เรือดำน้ำนิวเคลียร์เทคโนโลยีล้ำยุคของโซเวียต ได้มุ่งหน้าสู่อเมริกาภายใต้การบังคับบัญชาของกัปตัน มาร์โก รามิอุส (คอนเนรี่) สร้างความหวาดระแวงแก่รัฐบาลอเมริกันที่เชื่อว่ารามิอุสมีแผนจู่โจม ทว่า แจ็ค ไรอัน (บอล์ดวิน) เจ้าหน้าที่หน่วยวิเคราะห์ของ CIA เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่คิดต่าง เขาเชื่อว่ารามิอุสต้องการแปรพักต์ แต่ไรอันมีเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่จะตามหารามิอุสให้เจอและพิสูจน์สิ่งที่เขาเชื่อ เพราะทั้งฝ่ายรัสเซียและอเมริกาต่างก็ตามล่ารามิอุสเช่นกัน เวลาเหลือน้อยเต็มทีและสันติภาพของโลกก็กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย การตามล่าเริ่มต้นแล้ว!
The Firm โดย John Grisham
มิตช์ แม็คเดียร์ คือนักศึกษากฎหมายฮาร์วาร์ดที่ทำคะแนนได้อย่างโดดเด่น จนเขาได้รับการทาบทามจากบริษัทกฎหมายชื่อดังอย่าง เบนดินี่ แลมเบิร์ต แอนด์ ล็อก ด้วยข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธ คือเพียงเขาเซ็นต์สัญญาเข้าทำงาน ทั้งเงินทอง บ้าน รถ และลาภยศจะมาสู่ชีวิตเขาทันที และมิตช์ก็เซ็นต์สัญญา พร้อมพาภรรยา ย้ายมาอยู่เมืองเมมฟิส (ที่ซึ่งบริษัทตั้งอยู่) แล้วการทำงานก็เริ่มต้น เขาได้รับการดูแลจากเอเวอรี่ โทลาร์ พี่เลี้ยงมือโปรที่สอนกลเม็ดในการเป็นทนายให้กับเขา เรียกว่าทุกอย่างดูไปได้สวยมากๆ อนาคตของเขาจะต้องไปได้ไกลแน่ๆ แต่แล้วก็มีเจ้าหน้าที่ของบริษัทประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตกลางทะเลอย่างเป็นปริศนา และในนาทีที่มิตช์ได้ทราบข่าวนั้นเอง เขาพบว่าเพื่อนร่วมงานของมีท่าทีแปลกไป เหมือนหวาดผวาอะไรสักอย่าง แล้วยังมีเจ้าหน้าที่หน่วยสืบของทางการมาติดต่อเขาเพื่อให้เป็นสายในองค์กรนี้ อีกทั้งยังบอกเขาว่า บริษัทที่เขาอยู่มีความลับอยู่มากมาย และการตายที่เกิดนั้นไม่ใช่ครั้งแรก เมื่อเงื่อนงำมีมากขนาดนี้ มิตช์จึงตัดสินใจลองสืบหาความจริง ว่าบริษัทที่เขาทำอยู่นี้มีเบื้องหลังอะไรซ่อนอยู่กันแน่
The Divine Comedy โดย Dante Alighieri
The Divine Comedy เป็นวรรณกรรมเอกของอิตาลีที่ผู้เขียน Dante Alighieri ได้จินตนาการว่าตนได้เดินทางท่อง Inferno Purgatory และ Paradise โดยมี Virgil กวีเอกของโรมันผู้แต่ง The Aeneid เป็นผู้นำทางตามคำขอร้องของ Beatrice คนรักที่จากไปของ Dante ซึ่งก็มีคนมักยกเทียบกับไตรภูมิพระร่วงของไทยอยู่บ่อยครั้ง และมักเรียกล้อเลียน The Divine Comedy ว่า ไตรภูมิดานเต้ ซึ่งความคล้ายคลึงกันนี้ก็คงเป็นธีมเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเป็นหลัก ทำให้ผู้ที่ไม่เคยสัมผัสมักยกไปเปรียบเทียบกันเสมอ
The Divine Comedy เป็นบทกวีกลอนเปล่า 3 บรรทัดที่เรียกว่าแคนโต้ โดยใน The Divine Comedy แต่ละแคนโต้จะมี 136-160 บรรทัด และมีทั้งหมด 100 แค้นโต้ แบ่งเป็น Inferno 34 แคนโต้ Purgatory 33 แคนโต้ และ Paradise 33 แคนโต้
Contact โดย Carl Sagan
คาร์ล เซแกน (Carl Sagan) นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน (ค.ศ. 1934 - 1996) เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับบรรยากาศของดาวเคราะห์ต่าง ๆ เซแกนได้ศึกษาว่าสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นและมีวิวัฒนาการบนโลกอย่างไร สนใจถึงความเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวอื่นเป็นพิเศษ เซแกนเป็นคนริเริ่มความคิดที่จะติดตั้งแผ่นป้ายบนยานสำรวจอวกาศไพโอเนียร์ 10 ที่เป็นเหมือนจดหมายจากโลก ยานไพโอเนียร์ 10 ผ่านเข้าใกล้ดาวพฤหัสบดีใน ค.ศ. 1973 ก่อนที่จะออกไปยังขอบนอกของระบบสุริยะแล้วออกสู่อวกาศ แผ่นป้ายแบบเดียวกันติดไปกับยานสำรวจอวกาศไพโอเนียร์ 11 ในปีต่อมา
นอกจากงานด้านดาราศาสตร์แล้ว เซแกนยังมีชื่อเสียงจากนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง Contact ซึ่งเกี่ยวกับความพยายามของมนุษย์ในการค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญานอกโลก นิยายเรื่องนี้ ภายหลังได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน
Dracula โดย Bram Stoker
แดรกคูลา (Dracula) นวนิยายภาษาอังกฤษแนวสยองขวัญที่มีชื่อเสียงที่สุดของ บราม สโตกเกอร์ เป็นเรื่องราวของแวมไพร์หรือผีดิบดูดเลือดในโรมาเนีย ที่เดินทางมาอังกฤษเพื่อเผยแพร่เผ่าพันธุ์ โดยมีฉากหลังเป็นอังกฤษที่ปกคลุมด้วยบรรยายกาศอึมครึมในยุควิกตอเรีย
A Wrinkle in Time โดย Madeleine L’Engle
เรื่องราวของเด็กหญิงอัจฉริยะกับภารกิจข้ามจักรวาลของเธอเพื่อช่วยพ่อของเธอ
A Wrinkle in Time เป็นหนังสือที่จะพาเราไปรู้จักโลกของฟิสิกส์และทำให้เราตกหลุมรักปรัชญาที่แฝงอยู่ในเรื่อง แลงเกิลคิดว่าความเชื่อทางจิตวิญญาณและควอนตัมฟิสิกส์ไม่ใช่สิ่งที่แตกต่างกัน แต่เป็นสิ่งที่ซ้อนทับกัน หนังสือของเธอเล่มนี้จึงเป็นแรงบันดาลใจในการเรียนรู้เกี่ยวกับโลกและอวกาศที่ห่างไกล แถมยังเป็นแรงบันดาลใจให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นด้วย
Much Ado About Nothing โดย William Shakespeare
เนื้อเรื่องย่อๆ คือการบอกเล่าเรื่องราวความรักของสองคู่ Benedick กับ Beatrice ที่มักชอบใช้วาจาเชือดเฉือนกันและเป็นพวกปากไม่ตรงกับใจ และ Claudio กับ Hero ผู้เยาว์วัยซึ่งต่างอ่อนประสบการณ์ในเรื่องความรัก
Of Mice and Men โดย John Steinbeck
แปลเป็นไทยในชื่อ "เพื่อนยาก" มิได้รายงานเรื่องเศร้าของผองชนผู้ยังมีไฟฝัน หากแต่มันได้ชำแหละเนื้อในเหล่ามนุษย์ผู้ขาดพร่อง จนเราอาจต้องสั่นสะท้าน "จอห์น สไตน์เบ็ค" ไม่เพียงต้องการสะท้อนปรากฎการณ์แห่งความสัมพันธ์ภายนอกทั่วไป หากยังได้กระซิบเตือนไว้อีกว่า เนื้อในมนุษย์ล้วนขาดพร่องด้วยกันทั้งนั้น เช่นนี้แล้วจึงต่างต้องเสาะหาส่วนที่ขาดหายเติมใส่ชีวิตตน เพื่อมิให้แห้งเหี่ยว เปลี่ยวเหงา แต่เอาเข้าจริงแล้วจะไปหามาจากไหน ในเมื่อมนุษย์เราแต่ละคนต่างมีข้อจำกัด ดังนั้นมีก็แต่จำต้องพึ่งพาอาศัยเพื่อนร่วมโลกที่ขาดๆ เกินๆ พอกันแก้ขัด ด้วยอย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่มีใครเอาเสียเลย
---------------------------------------
เรียบเรียงโดย : ศิริรัตน์ สุ่นสกุล
อ้างอิงจาก : https://www.bookbub.com/blog/2017/05/08/dan-brown-book-recommendations