Clive Staples Lewis : ไคลฟ์ สเตเปิลส์ ลิวอิส

Clive Staples Lewis


     ไคลฟ์ สเตเปิลส์ ลิวอิส (Clive Staples Lewis) 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2441 — 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 หรือรู้จักในนาม ซี.เอส. ลิวอิส เป็นนักเขียนที่เป็นที่รู้จักจากวรรณกรรมชุดตำนานแห่งนาร์เนีย ซึ่งได้แปลเป็นภาษาต่างๆ มากกว่า 30 ภาษา และมียอดขายรวมทั่วโลกไปแล้วมากกว่า 100 ล้านเล่ม
 

     ลิวอิสเกิดที่เบลฟัสต์ ประเทศไอร์แลนด์ สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด และได้เป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยแม็กดาเลน ออกซฟอร์ด เป็นเวลาเกือบสามสิบปี เขาเป็นสหายสนิทของเจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ผู้แต่งเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ด้วย ทั้งสองเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เป็นนักวิชาการรุ่นใหม่ที่มีบทบาทในการปฏิรูปหลักสูตรภาษาอังกฤษในมหาวิทยาลัย และเป็นกลุ่มผู้ก่อตั้งชมรมอิงคลิงส์ในยุคเริ่มต้น ต่อมาเขาจึงได้มาเป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในตำแหน่ง Professor of Medieval and Renaissance Literature (ศาสตราจารย์ด้านวรรณกรรมยุคกลางและยุคเรเนสซองส์) คนแรกของเคมบริดจ์
 

     นอกจากเรื่องชุดนาร์เนียแล้ว ลิวอิสเขียนหนังสือเกี่ยวกับหลักความเชื่อทางศาสนา ผลงานวิชาการ และบทกวีหลายเล่ม เช่น The Pilgrim's Regress (1933) The Allegory of Love (1936) Out of the Silent Planet (1938)


     แรงบันดาลใจ ในวัยเด็กลิวอิสชอบฟังเทพนิยาย นิทานเกี่ยวกับเทพปกรณัมต่างๆ ซึ่งพี่เลี้ยงชาวไอริชของเขาได้เล่าให้ฟัง โดยลิวอิสได้กว่างว่าแรงบันดาลใจในการแต่งนิยายเรื่องตู้พิศวงนั้นเกิดเป็นภาพอยู่ในสมองของเขาตั้งแต่อายุสิบหกปี ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อเด็กในกรุงลอนดอนต้องอพยพลี้ภัยไปยังชนบท มีเด็ก 4 คนได้ถูกจัดให้มาพักอยู่ในบ้านของเขา เขาจึงเริ่มเขียนเรื่องขึ้นเรื่องหนึ่งให้เด็กเหล่านั้นอ่าน เริ่มต้นเรื่องด้วยเด็ก 4 คนชื่อ แอนน์ มาร์ติน โร้ส และปีเต้อร์ ซึ่งถูกส่งออกจากเมืองหลวง เพราะต้องหลบภัยทางอากาศ แต่หลังจากนั้นหลายปีเขาจึงนำมาเขียนใหม่โดยเปลี่ยนชื่อเด็ก 4 คนนั้นเป็น ปีเต้อร์ ซูซาน เอ็ดมันด์ และลูซี่ เด็กทั้ง 4 คนเข้าไปในอีกโลกหนึ่ง ซึ่งเขาตั้งชื่อว่านาร์เนีย

 

     นิยายชุดนาร์เนียของลิวอิสมีทั้งหมด 7 เล่ม เมื่อตีพิมพ์ตอนแรก ตู้พิศวง ในปี ค.ศ. 1950 ก็ได้รับความนิยมอย่างมาก หากภาพยนตร์มหันตภัยแห่งแหวนคือเรื่องราวสำหรับผู้ใหญ่แล้ว นาร์เนียคงเป็นเรื่องราวสนุกสนานสำหรับเด็กอย่างแน่นอน โดยผสมผสานคติทางศาสนาคริสต์ได้ลงตัวสุดแยบยล ต่างจากนิทานชาดกซึ่งมักจะสรุปทุกสิ่งยัดเยียดต่อผู้อ่านและผู้ชมอย่างโจ่งแจ้ง
 

      การสื่อสารเชิงสัญลักษณ์คล้ายใน พ่อมดแห่งออซ โดยแสดงออกถึงความไร้เดียงสาของเด็กซึ่งถูกผู้ใหญ่ทอดทิ้ง ต้องการหลีกหนีโลกแห่งความจริงอันโหดร้ายไปผจญภัยในดินแดนแห่งจินตนาการ และสื่อสารให้เห็น ความดี-ความชั่ว ผ่านตัวละคร,สรรพสัตว์ สุดท้ายพวกเด็กๆ ก็จะสับสนกับการตัดสินใจกลับสู่โลกปัจจุบันอันน่าเบื่อหน่าย หรือจะอยู่ต่อในดินแดนมหัศจรรย์ที่พวกเขากลายเป็นวีรบุรุษ