10 หนังสือสะเทือนใจ : จากปลายปากกาฆาตกร ตอนที่ 2

10 หนังสือสะเทือนใจ

มาต่ออันที่หนังสือจากปลายปากกาฆาตกรเล่มที่ 6 กันเลยนะคะ

The Making Of A Serial Killer

 

The Making Of A Serial Killer ค.ศ. 1996
ฆาตกรต่อเนื่องที่โหดร้ายที่สุดในฟลอริด้า เท็ด บันดี้ (หรือ แดนนี่ โรลลิ่ง) คนที่ เบรดี้ เขียนถึงในหนังสือเล่มก่อนหน้า ผลงานของเขาคือฆ่านักศึกษาห้ารายในปี ค.ศ. 1990

เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นที่ บันดี้ย้ายมาที่เกนส์กิลล์ และเข้าสมัครเรียนต่อมหาวิทยาลัยฟลอริด้า เขาตั้งเต้นท์ในป่าใกล้กับมหาวิทยาลัย ต่อมาเขาแทงผู้หญิงสี่คน ผู้ชายหนึ่งคน และยังข่มขืนเหยื่อด้วย คริสต้า ฮอยท์ ถูกพบเป็นศพแรกในท่านั่ง ศีรษะของเธอถูกตัดออกมาวางบนชั้นข้างๆ ในปี ค.ศ. 1994 บันดี้ถูกจับข้อหาทำร้ายและฆ่าเหยื่อห้าราย เขายังสารภาพเพิ่มเติมด้วยว่าฆ่าเหยื่ออีกสามรายที่ลุยเซียน่าบ้านเกิดในปี ค.ศ. 1989 ความอุกอาจของเขาทำให้ศาลตัดสินใจลงโทษด้วยการฉีดยาให้ตาย ก่อนเจ้าหน้าที่ฉีดยาฆาตกรรายนี้ยังฮัมเพลงอารมณ์ดีเสียอีก

หนังสือของฆาตกร The Making Of A Serial Killerเขียนโดยบันดี้ (หรืออีกชื่อคือโรลลิ่ง) โดยเล่าเรื่องระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ในคุก ผู้ช่วยเหลือทำให้ผลงานได้ตีพิมพ์ไม่ใช่ใครที่ไหน อดีตคู่หมั้นของเขา ซอนดร้า ลอนดอน หนังสือตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1996 เนื่องจากเนื้อหาหลายตอนล่อแหลม และยังพูดถึงการข่มขืนเหยื่อ ในปีต่อมา ศาลจึงสั่งฟ้องคนทั้งคู่ว่าหากำไรจากเรื่องของฆาตกร ปี ค.ศ. 1999 ลอนดอนต้องจ่ายเงินให้กับครอบครัวของเหยื่อรายละ 15,000 เหรียญสหรัฐฯ (ราวๆ 825,000 บาท) โดยครอบครัวเหยื่อเองก็ไม่อยากได้รับเงินก้อนนี้ และเรียกมันว่า “เงินเปื้อนเลือด”

 

A Question Of Doubt

 

A Question Of Doubt ค.ศ. 1993
หนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องที่โด่งดังมาก จอห์น เวย์น เกซี่ (ที่เบรดี้เขียนถึงในหนัสือของเขา เหยื่อที่ถูกเขาฆ่า รวมแล้วมากถึง 33 คน ช่วงอายุคือ 9 – 20 ปี ค.ศ. 1968 เกซี่ถูกจับข้อหาข่มขืนทางทวารหนักเขาติดคุกแค่ 18 เดือนเท่านั้น เพราะประพฤติดี หลังถูกปล่อยตัวเกซี่ย้ายไปที่ชิคาโก้ และประสบความสำเร็จในอาชีพผู้รับเหมาก่อสร้าง เขากลายเป็นคนดังที่ใครๆ ก็รัก นิยมจัดปาร์ตี้ และชอบเข้าสังคม รวมถึงเข้าร่วมการกุศลสม่ำเสมอ ทว่ามันก็แค่ภาพลักษณ์จอมปลอม และต่อมาเขาก็เริ่มฆ่าคน

เกซี่เลือกวิธีค้นหาเหยื่อตามท้องถนน หลอกล่อให้เข้ามาที่บ้านด้วยเหตุผลเรื่องงาน บางครั้งเขาสวมรอยปลอมตัวเป็นตำรวจ แล้วจับเหยื่อเข้ามาฆ่าในบ้าน เหยื่อบางคนก็ถูกหลอกด้วยการชวนเข้ามา “ดื่มอะไรสักนิดสักหน่อย” พอเหยื่อเข้ามาในบ้าน เกซี่จะใสกุญแจมือ จากนั้นก็ทรมานและข่มขืนพวกเขา สุดท้ายก็บีบคอฆ่าแล้วนำศพไปฝังไว้ในสวนหลังบ้าน หลายปีต่อมาเมื่อพื้นดินที่บ้านเต็มจนไม่มีที่จะฝัง เขาก็เอาศพไปทิ้งที่แม่น้ำแทน

คดีที่ทำให้เกซี่ถูกจับตัวในที่สุดคือ คดีการหายตัวไปของ โรเบิร์ต ไพรซท์ วัย 15 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจได้กลิ่นเหม็นเน่าลอยออกมาจากสวนหลังบ้านของเกซี่ และหลังจากตรวจสอบ พวกเขาค้นพบศพมากถึง 28 ศพ ต่อมาก็พบเพิ่มอีก 5 ศพที่ริมแม่น้ำ ในปี ค.ศ. 1994 เกซี่ถูกตัดสินให้ประหารชีวิตด้วยการฉีดยา

หนังสือเรื่อง A Question Of Doubt ออกวางจำหน่ายในปี ค.ศ. 1993 เป็นผลงานของเกซี่เอง เกซี่อธิบายไว้ตอนต้นเรื่องว่า “หนังสือเล่มนี้ไม่ได้บอกเล่าถึงประวัติชีวิตทั้งหมดของผม แต่จะเล่าถึงฝันร้ายที่ผมได้พบเจอตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1978 ไปจนถึง 13 มีนาคม ค.ศ. 1980 ผมอยากเล่าความจริงที่ตำรวจและสื่อต่างๆ ไม่เคยพูดถึง...”

 

Final Truth

 

Final Truth ค.ศ.1993
ฆาตกรคนนี้มีนามแฝงว่า Pee Wee Gaskinsเขาตัวเล็กมาก สูงแค่ 163 ซม. เท่านั้น ชื่อจริงของเขาคือ โดนัลด์ แกสคินส์ เป็นหนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องในตำนาน เขาสารภาพว่าฆาตกรรมเหยื่อ 13 ราย ด้วยวิธีหลากหลาย ทั้งกดให้จมน้ำ แทงให้ตาย หรือยิงด้วยปืน หลังฆ่าเสร็จ ก็นำศพไปฝังไว้ยังสุสานแถวๆ เซาธ์คาโรไลน่า จำนวนเหยื่อที่เจ้าหน้าที่ค้นพบมีแค่ 13 ราย ทว่าในหนังสือชีวประวัติที่แกสคินส์เขียน เจ้าตัวอ้างว่าฆ่าคนไปมากถึง 110 คน เหยื่อหลายคนก็ยังเป็นเด็กวัยเตาะแตะ ซึ่งเขาข่มขืนก่อน จากนั้นก็ฆ่าอย่างทารุณ...

ในปี ค.ศ.1991 เขาถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยวิธีนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า ข้อหาฆาตกรรมรูดอล์ฟ ไทเนอร์ แกสคินส์ เปิดเผยว่าลูกชายของไทเนอร์ เป็นผู้ว่าจ้างให้เขาฆ่าพ่อของตัวเอง วิธีของแกสคินส์คือ ส่งวิทยุที่ข้างในใส่ระเบิดไว้ให้เหยื่อในหนังสือ Final Truth พูดถึงความรู้สึกและวิธีการที่เขาใช้ในการฆาตกรรม

 

Killer Fiction

 

Killer Fiction ค.ศ. 1990
แม้ว่าจำนวนเหยื่อที่ถูกค้นพบจะมีแค่สองราย แต่ จี. เจ. เชฟเฟอร์ คือฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดอย่างไม่ต้องสงสัย ฆาตกรรายนี้ให้สารภาพว่า ฆ่าผู้หญิงมากถึง 80 คน แต่ไม่ยอมเปิดเผยชื่อของเหยื่อ เชฟเฟอร์ตายในคุกเมื่อปี ค.ศ. 1995 สาเหตุคือถูกเพื่อนนักโทษอีกคนฆ่า วิธีการคือปาดคอและแทงมีดเข้าที่ดวงตา

ในปี ค.ศ. 1973 เชฟเฟอร์ถูกจับข้อหาฆ่าและทรมานซูซาน เพลส วัย 17 ปี และจอร์เจีย เจสอัพ วัย 16 ปี ทว่าหลังจากสอบสวน ตำรวจพบว่า ฆาตรกรรายนี้ไม่ได้ฆ่าคนแค่สองคน แต่ยังมีเหยื่อรายอื่นๆ อีกมาก ตำรวจตามไปถึงบ้านของแม่เชฟเฟอร์และสำรวจห้องนอนของเขา ก็พบทรัพย์สมบัติของผู้หญิงมากมาย เนื่องจากไม่อาจสืบค้นได้ จึงไม่สามารถตั้งข้อหาเพิ่มเติม

ในปี ค.ศ. 1990 ซอนดร้า ลอนดอน ตีพิมพ์ผลงานของเชฟเฟอร์ หนังสือของเชฟเฟอร์ชื่อว่า Killer Fictionซอนดร้าให้คำจำกัดความผลงานของเชฟเฟอร์ว่า “เป็นงานศิลปะ” แต่ตำรวจและคนอื่นๆ ไม่เห็นด้วย เพราะในงานหนังสือพูดถึงความจริงมากเกินไป สุดท้ายเชฟเฟอร์เขียนจดหมายชี้แจง ในวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1991 ใจความส่วนหนึ่งบอกไว้ว่า “จะให้เขียนถึงอะไรดี คิดว่าฆาตรกรจะเขียนอะไรได้ อยากได้คำสารภาพแต่ก็ไม่สนใจเอง ทั้งที่ก็อุตส่าห์เอามายื่นให้ตรงหน้า นี่เราเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นนะ...”

 

Killer, A journal of Murder

 

Killer, A journal of Murder ค.ศ. 1970
หนังสือเล่มสุดท้ายเล่าเรื่องของ คาร์ล แพนซ์แรม ฆาตกรสุดโหดที่ฆ่าเหยื่อไปมากถึง 21 ราย (อันนี้เท่าที่ตำรวจตรวจพบ แต่ของจริงไม่มีใครรู้จำนวนแน่ชัด) เมื่อเป็นเล่มสุดท้ายมันต้องเข้มข้นสุดๆ ประวัติของฆาตรกรรายนี้เป็นทั้ง โจรปล้น ย่องเบา ลอบวางเพลิง ว่ากันว่าเขาเคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายมามากกว่า 1,000 คน เมื่ออายุ 11 ปี เขาถูกส่งเข้าสถานดัดสันดาน เพราะปล้นบ้านพื่อนและที่นี่เป็นที่ที่แพนซ์ถูกข่มขืนทางประตูหลัง และทำให้เขามีจิตใจวิปริตตั้งแต่นั้นมา เขาหนีออกจากสถานดัดสันดานไปเร่ร่อนอยู่กลางถนน และถูกข่มขืนอีก หลังจากนั้นแพนซ์เรมก่อคดีอีกมากมาย และใช้ชีวิตเข้าๆ ออกๆ อยู่ในคุก

หลังปล้นหลายครั้ง แพนซ์เรมก็มีเงินมากพอจะซื้อเรือยอชต์ ซึ่งเขาตั้งชื่อว่าAkistaบนเรือนี้เอง เป็นจุดเกิดเหตุสะเทือนขวัญ เขาฆ่าผู้โดยสาร 10 คนรวด หลังจากฆ่าและข่มขืนพวกเขาทางประตูหลัง แพนซ์เรมเคยจ้างกะลาสีมาทำงานด้วย และต่อมาก็ข่มขืนทุกคนทางประตูหลังเช่นเคย หลังข่มขืนเขายิงหัวเหยื่อด้วยปืนโคลท์ .45 แล้วนำศพทิ้งทะเล การเดินทางล่องเรือทำให้การฆ่าคนของเขาสะดวกมากขึ้น ฆ่าตาย ทิ้งทะเล แล้วหนีไปประเทศอื่นๆ

ทั้งๆ ที่โหดร้ายฆ่าคนมากมาย แต่แพนซ์เรมกลับถูกจับด้วยคดีย่องเบา หลังเข้าคุกเขาเผลอก่อคดีฟาดกระบองใส่ผู้คุมจนตาย และทำให้เขาถูกตัดสินประหารชีวิต ก่อนตาย เฮรี่ เลสเซอร์ ผู้คุมคุกคนหนึ่ง ชักชวนให้เขาเขียนหนังสือ แพนซ์เรมใช้เวลาคิดไม่นานก็เลือกที่จะเขียนเล่าเรื่องของตนส่งให้เลสเซอร์ไปเรียบเรียง ต่อมาได้ตีพิมพ์เป็นเล่ม เรื่องเล่าทิ้งท้ายของแพนซ์เรมคือ ก่อนจะถูกประหารชีวิต เขาตะคอกเพชรฆาตด้วยถ้อยคำหยาบคายชนิดไม่เกรงกลัว พร้อมเร่งให้สังหารเขาเร็วๆ ถ้อยคำในประวัติศาสตร์นั้นคือ “Harry up you Hoosier Bastard, I could kill ten men while you are fooling around”คำแปล คือ รีบๆ เข้าสิ ไอ้งี่เง่าเอ๊ย ระหว่างที่แกชักช้านี่ ฉันฆ่าคนตายไปสิบคนแล้ว

หนังสือแต่ละเล่ม ไม่ธรรมดาเลยใช่ไหมคะ ถ้าใครอยากอ่านก็ไปหามาอ่านได้นะคะ แต่ยังไม่มีฉบับแปลเป็นภาษาไทยนะ....

 

ขอบคุณที่มา : http://www.dek-d.com/writer/39024/

Writer

Sirirat Soonsakul

นักอยากเขียน ผู้รักการสะสมท้องฟ้าสีวนิลลา และใช้หมูกระทะเยียวยาจิตใจ