หลังจากผมได้ตระเวนร้านหนังสือในกรุงเทพมาบ้างแล้ว วันนี้ผมจึงตั้งใจหนีความแออัดจากเมืองกรุงมุ่งสู่ดินแดนพระธาตุขามแก่น เสียงแคนดอกคูณ โดยใช้บริการของการรถไฟแห่งประเทศไทยมาลงยังตัวเมืองจังหวัดขอนแก่น หลังจากนั้นจึงโบกรถต่อไปยังถนนประชาสโมสรเป้าหมายอยู่ที่ร้านศึกษาภัณฑ์ขอนแก่น จนในที่สุดผมก็มาถึงตึกแถว 3 คูหา ที่มีป้ายติดไว้หน้าร้านให้เห็นเด่นชัด "ศึกษาภัณฑ์ขอนแก่น"
เมื่อผมมาถึงพี่ประสม ประคุณสุขใจ ก็ออกมาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มถามถึงการเดินทางมาในวันนี้ของผมก่อนที่เราจะเริ่มพูดคุยกัน พี่ประสมได้พาผมเดินชมรอบร้านพร้อมเล่าให้ฟังว่า ร้านแห่งนี้เริ่มก่อตั้งแต่ พ.ศ. 2509 เดิมเป็นเพียงตึกแถว 2 คูหา อยที่ถนนหน้าเมือง ต่อมาปี 2528 จึงได้ย้ายร้านมาตั้งอยู่ที่นี้เพื่อทำการขยายกิจการจนถึงปัจจุบันนี้
ระหว่างทางที่เราเดินคุยกันไปพี่ประสมหยิบหนังสือออกมาเล่มหนึ่งแล้วกล่าวว่า "หนังสือทุกเล่มที่เข้ามาในร้านแห่งนี้จะต้องทำผ่านการแยกหมวดหมู่ตามแนวเรื่อง และประเภทการหนังสือไม่ใช่ไปอยู่ผิดที่ผิดทางซึ่งตรงจุดนี้ผมของรับประกันถึงความพิถีพิถันในการจัดเก็บหนังสือได้อย่างเป็นระเบียบทุกชั้น
หัวใจอีกอย่างของร้านที่อดจะกล่าวถึงไม่ได้คงเป็นบรรยายภายในร้านที่ถูกเติมสีสันอยู่ตลอดเวลาด้วยการตกแต่งและการจัดกิจกรรมภายในร้าน อย่างทุกต้นปีและกลางปี ทางร้านจะจัดมุมหนังสือลดราคา ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่ผมมาไม่ถูกจังหวะจึงไม่ได้ซื้อหนังสือดี ๆ ราคาถูก ๆ ติดไม้ติดมือกลับบ้าน
ระหว่างที่เรากำลังคุยกันเพลิน ๆ ก็ต้องมีเหตุให้ต้องหยุดการสนทนา เพราะพี่ประสมเดินไปช่วยลูกน้องขนหนังสือเข้าร้าน ผมก็หลุดปากถาม "ไปรับหนังสือจากสายส่งมาหรือครับ"
พี่ประสมกับตอบว่า "อ้อ...เปล่าครับ เราไปออกบู๊ธนอกพื้นที่มาเพื่อเป็นการให้บริการลูกค้าที่ไกลออกไปลูกค้าจะได้ไม่ต้องนั่งรถมาซึ้อหนังสือที่ร้านให้ลำบาก ทุกคนในร้านจะคิดเสมอว่า ลูกค้าคือ ผู้มีพระคุณ เราจึงตอบแทนลูกค้าด้วยการบริการทุกระดับต้องประทับใจไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น" นอกจากการให้บริการแก่ลูกค้าให้เกิดความพึงพอใจแล้ว ในส่วนทางสำนักพิมพ์ที่นำหนังสือมาฝากขาย ผมก็จะผลักดันให้หนังสือทุกเล่มขายได้ นอกเสียจากว่าหนังสือนั้นไม่มีเนื้อหาดีในตัวของมันเอง ถึงอย่างไร เมื่อสินค้ามาอยู่ในร้านเราขายได้ก็คือดีแก่ร้านเองและผู้อ่านจะได้อ่านหนังสือหลากหลายประเภทอีกด้วย