คนเป็นครู : ข้าวเม็ดน้อย : เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

คนเป็นครู

 

บทความโดย Wasawat Deemarn

 

ผมได้มีโอกาสอ่านข้อเขียนของอาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล 
จากหนังสือ "ข้าวเม็ดน้อย" หนังสือรวมข้อเขียนเล่มล่าสุด

ในตอน "คนเป็นครู" ที่อาจารย์เสกสรรค์เล่าไว้ในตอนที่สอนอยู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ในฐานะ "อาจารย์มหาวิทยาลัย"

ยิ่งอ่านก็ยิ่งคิดถึงตัวเอง มีหลายส่วนที่ตรงกับตัวเองมาก
ไม่ว่าจะเป็นอุดมการณ์ ความหวัง หรือปัญหาที่พบจากเด็กรุ่นใหม่

 

ข้อเขียนยาวเหมือนกันครับ เรียนเชิญค่อย ๆ อ่านกันไปครับ

 

 

คนเป็นครู

 

ในวัยเยาว์เขาเคยฝันที่จะเป็นโน่นเป็นนี่อยู่หลายอย่าง เริ่มตั้งแต่อยากเป็นนักดนตรีในกองเชียร์รำวง เป็นจิตรกร นักมวย ต่อมาเมื่อเรียนหนังสือมากขึ้นก็อยากเป็นทหารบ้าง เป็นข้าราชการสายปกครองบ้าง แต่มีอย่างหนึ่งที่เขาไม่เคยฝันถึงเลยคือ อาชีพครู

ถามว่าทำไมถึงไม่อยากเป็นครู เรื่องนี้ตอบยาก เพราะจริง ๆ แล้วเขาก็ไม่ได้มีอะไรไปต่อต้านอาชีพดังกล่าว บางทีอาจเป็นเพราะจากมุมมองของเด็ก ชีวิตครูคงน่าเบื่อ ใช่...เป็นงานที่ดี มีคุณค่า...แต่ก็ดูจำเจซ้ำซาก ในวัยที่จิตใจออกเร่ร่อน เขาย่อมไม่อยากฝันว่า พอโตขึ้น ชีวิตก็แค่เปลี่ยนมุมนั่งในห้องเรียน

แต่ก็อีกนั่นแหละ สุดท้ายเขาก็กลายเป็นคนสอนหนังสือจนได้ ถึงแม้อย่างเป็นทางการจะถูกเรียกว่าอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่โดยแก่นแท้ก็ไม่ต่างอะไรกับอาชีพครูโดยทั่วไป คืออยู่กับห้องเรียน อยู่กับตำรา และอยู่กับเด็ก ๆ รุ่นลูกรุ่นหลาน

 

จำได้ว่าตอนเริ่มสอนเป็นครั้งแรกเมื่อยี่สิบปีก่อน เขาแทบจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อใช้เวลาไปในการเตรียมบรรยาย ตอนนั้นเขาไม่เพียงสอนเนื้อหาของวิชาปรัชญาการเมือง หากยังแนะนำวิธีเขียนหนังสือและทำรายงานให้กับลูกศิษย์ เขาพิมพ์คำวิจารณ์รายงานให้กับนักศึกษาทุกคน โดยหวังว่ามันจะช่วยให้พวกเขาพัฒนาความสามารถของตัวเอง

แน่ละ ด้วยเงินเดือนที่ไม่ถึงห้าพันบาท ค่าตอบแทนจึงไม่ใช่แรงจูงใจที่ทำให้เขาทุ่มเทขนาดนั้น หากความประสงค์เบื้องลึกคือ การผลิต "กองร้อย" ปัญญาชน สักหลาย ๆ รุ่น เผื่อว่าเด็ก ๆ เหล่านี้จะช่วยทำให้บ้านเมืองดีขึ้น

ปฏิเสธไม่ได้ว่า จากอัตตาตัวตนดั้งเดิม เขาไม่ได้หวนคืนมหาวิทยาลัยเก่าเพียงเพื่อหางานทำ ตรงกันข้าม หลังจากหายหน้าไปนานกว่าสิบปี เขากลับสู่ธรรมศาสตร์ด้วยสำนึกที่คล้ายนักดาบโบราณ ซึ่งหวังจะสร้างกลุ่มลูกศิษย์มาสืบทอดวิชาฝีมือ และ "ออกรบ" กู้ชื่ออาจารย์ที่เคยพ่ายแพ้มา

 

นึกย้อนหลังไปแล้ว เขาจึงรู้ว่านั่นเป็นความฝันที่เลอะเทอะมากทีเดียว

 

 

แม้เด็ก ๆ จะพอใจกับการเอาใจใส่ของเขา และทำให้เขาได้รับการประเมินผลการสอนเป็นอันดับหนึ่งของคณะ แต่โลกก็เปลี่ยนไปแล้ว อีกทั้งเปลี่ยนไปไกล

ในช่วงของเศรษฐกิจฟองสบู่ นักศึกษาหลายคนอยากเรียนจบก่อนสี่ปี เพราะงานง่ายเงินเดือนงามรอยู่แล้วข้างนอก บางคนไม่กระตือรือร้นจะจบเร็ว แต่ก็ไม่เร่าร้อนที่จะเรียนรู้ ส่วนใหญ่มุ่งหวังเพียงปริญญา และมีอยู่ไม่ถึงหยิบมือที่สนใจเรื่องราวที่เขาสอนจริง ๆ

พูดก็พูดเถอะ ภายในเวลาอันสั้น ความฝันเรื่องสร้างหน่วยรบทางปัญญาของเขาได้จางหายไปจนแทบไม่เหลือเศษซากอันใด เขากลายเป็นอาจารย์ที่เข้าป่าและออกทะเลมากพอ ๆ กับที่อยู่ในห้องเรียน

กระนั้นก็ตาม เขาก็ยังยึดถือในอุดมคติของการเป็นครู ซึ่งมันงอกขึ้นมาตอนไหนเขาไม่ทันรู้ตัว บางทีอาจจะซุกซ่อนอยู่ท่ามกลางอุดมคติสารพัดที่เขาแบกไว้เต็มหลัง หรือบางทีอาจมาจากวิถีชีวิตสมัยเก่าอันเป็นเบ้าหลอมของเขาช่วงเยาว์วัย... กระทั่งอาจจะมาจากบุคลิกภาพที่มีความโรแมนติกเป็นเจ้าเรือน

ถึงตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่าลูกศิษย์จะต้องคิดเหมือนเขาหรือไม่... ขอให้คิดอะไรเป็นบ้างก็ถือว่าการสอนประสบความสำเร็จแล้ว

 

แต่เขาก็ไม่ยอมสอนในโครงการพิเศษใด ๆ ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการปริญญาของตลาดคนชั้นกลาง ทั้ง ๆ ที่โครงการเหล่านี้จ่ายค่าตอบแทนสูง

นอกจากนี้ เขายังไม่เคยสนใจยื่นขอตำแหน่งวิชาการอันนี้จะว่าไปก็ดูโง่ ๆ เหมือนกัน มิหนำซ้ำยังทำให้เงินเดือนของเขาต่ำกว่าอาจารย์รุ่นวัยใกล้เคียงเกือบสองเท่า กระทั่งเกษียณอายุราชการด้วยเงินเดือนที่ต่ำกว่าคนชั้นกลางกรุงเทพฯ โดยเฉลี่ย

แต่เขาก็พอใจกับชีวิตที่ไม่อยากได้อยากดีในมหาวิทยาลัย หรือที่ไหนก็ตาม

 

พูดกันตามความจริง เขาไม่ได้ผุดผ่องหรือสูงส่งอะไรขนาดนั้น เพียงแต่ว่ากิเลสของเขาอยู่ที่อย่างอื่น อยู่ที่อยากได้ลูกศิษย์ดี ๆ ในจำนวนที่คุ้มกับการลงทุนทางจิตใจ อยากเห็นความสัมพันธ์ฉบับคลาสสิกระหว่างศิษย์กับอาจารย์ ในเมื่อมันไม่มี ก็ไม่รู้จะเปลี่ยนความพอใจไปสู่สิ่งที่ไม่ใช่ได้อย่างไร

"มึ...จะสอนไปทำไมวะ เงินเดือนก็น้อย คนเชื่อคนฟังก็ไม่มี" เพื่อนสนิทบางคนเคยยุให้เขาลาออกด้วยถ้อยคำทำนองนี้

แน่ละ เขาไม่ใช่คนแข็งแกร่งเหมือนหินผาเหมือนดังที่บางครั้งอยากจะสมมุติตน ความเหนื่อยหน่ายทำให้เขาเคยลาออกจากฐานะอาจารย์ถึงสองครั้ง แต่ปรากฎว่าครั้งแรกออกได้เดือนเดียวก็ต้องกลับมาใหม่ เนื่องจากความผันผวนของสถานการณ์บ้านเมือง ส่วนครั้งที่สองนั้นถูกทักท้วงโดยผู้บริหารคณะและเพื่อน ๆ อาจารย์ จนเขาใจอ่อนยอมถอนใบลาคืน

 

ระหว่างนี้เขาแก่เฒ่าลงเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นเรื่องโชคดีอย่างหนึ่ง เพราะยิ่งเวลาผ่านไปเขายิ่งต้องอาศัยจิตใจที่สงบเป็นพิเศษมาเผชิญกับบรรยากาศในห้องเรียน

"คุณไม่รู้สึกว่าทำอะไรผิดบ้างเลยหรือ" ราวห้าปีก่อน เขาเคยถามเด็กหนุ่มผมยาวในห้องเรียน ซึ่งชอบหยิบแปรงขนาดใหญ่มาสางผมขณะที่เขากำลังบรรยาย

"ผิดอะไรหรือครับ" เจ้าของแปรงถามกลับด้วยหางเสียงไม่พอใจ

"ก็ที่คุณชอบหวีผมแต่งตัวตอนอาจารย์กำลังสอนอยู่เนี่ย"

"ไม่เห็นมีอะไร มันเป็นสิทธิส่วนตัว... ผมไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน"

ในห้วงยามนั้น เขาจำได้ว่าพยายามหันไปมองนักศึกษาคนอื่น ๆ เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ปรากฎว่าไม่มีใครยอมสบตาด้วย บ้างก้มหน้ามองพื้น บ้างเบือนไปทางอื่น ไม่มีใครคิดจะออกความเห็นเข้าข้างไหน จนเขาคิดว่า ทางออกที่ดีที่สุดคือ บรรยายต่อไปจนกว่าจะหมดชั่วโมง

ระหว่างนั้นก็มองเพดานบ้าง ข้างฝาบ้าง หรือยิ้มอย่างเลื่อนลอยบ้าง โดยไม่ต้องกำหนดว่ายิ้มกับใครหรือยิ้มเรื่องอะไร

 

ประมาณอีกหนึ่งปีถัดมา เขาได้พบกับบรรยากาศในห้องเรียนที่คล้ายกัน แต่ทว่ายิ่งหนักหน่วงเข้มข้นมากกว่าเดิม กล่าวคือ นักศึกษาหนุ่มคนหนึ่งในวิชาของเขา ไม่ทราบว่าตกหลุมรักลงไปลึกขนาดไหน ทุกครั้งที่เข้าเรียนก็จะโอบกอดลูบไล้แฟนของตนซึ่งเรียนห้องเดียวกันอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวลูบผม เดี๋ยวบี้คลึงใบหู อะไรทำนองนั้น

"เด็กมันรักกัน... เด็กมันรักกัน... นี่เป็นเรื่องดี ว่ากันไม่ได้ มันเป็นเรื่องฮอร์โมน..." เขาพยายามปลอบใจตัวเองด้วยทัศนะเชิงบวก

 

แต่ก็อีกนั่นแหละ บางเรื่องไม่ใช่จะชวนให้มองโลกเชิงบวกได้รวดเร็วนัก และเขาต้องใช้เวลานิ่งอึ้งอยู่นานกว่าจะพูดจากับนักศึกษาด้วยน้ำเสียงปกติธรรมดา

"ได้ข่าวว่าอาจารย์แจกหัวข้อรายงานแล้ว จะให้ผมทำเรื่องไหนล่ะ" เด็กหนุ่มคนหนึ่งในวิชาผู้นำการเมืองเข้าประชิดเขาทันทีที่หมดชั่วโมง เขาถึงกับถอยไปหนึ่งก้าวด้วยสัญชาตญาณป้องกันตัว เพราะนักศึกษาชายผู้นั้นมีสีหน้าแววตาที่ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย นอกจากนี้ยังยืนพูดในท่ามือเท้าสะเอว

"ไม่รู้สิ...ผมยังไม่ได้คิดถึงหัวข้อรายงานของคุณเลย" เขาพยายามตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่ข้างในเดือดพล่านด้วยสันดานเดิม

"แต่ผมอยากได้หัวข้อวันนี้ เดี๋ยวทำงานไม่ทัน" น้ำเสียงห้วนกร้าวยังคงคุกคาม พร้อมด้วยสายตาจ้องเขม็ง

"คุณขาดเรียนไปสองอาทิตย์เต็ม ๆ ผมไม่รู้ว่าคุณจะมาวันนี้ ต้องกลับไปเช็กดูก่อนว่าหัวข้อไหนแจกให้ใครไปบ้าง" เขาอธิบายช้า ๆ ขณะที่อสุรกายที่ซ่อนอยู่ข้างในยอมกลับเข้าห้องขังโดยดี

 

เขารู้สึกขอบคุณฟ้าดินที่วันนั้นไม่มีอะไรร้าย ๆ เกิดขึ้น แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเด็กหนุ่มจะกล้าใช้ท่าทีเช่นนี้หรือไม่ หากรู้ว่าในจุดที่ห่างอาคารคณะไปไม่กี่เมตรเขาเคยเตะคนสลบมาแล้ว

อย่างไรก็ดี นั่นเป็นเหตุการณ์สมัยที่เขาเป็นนักศึกษา เมื่อเปลี่ยนมาเป็นอาจารย์ โจทย์ที่ต้องตอบย่อมแตกต่างกัน

 

ถึงตอนนี้เขาเริ่มรู้ชัดแล้ว การเป็นครูมิได้หมายถึง การสอนหนังสือเพียงอย่างเดียว หากรวมเอาความอดทนระดับพิสดารไว้ด้วย นักศึกษารุ่นหลัง ๆ ของเขาไม่เพียงชอบหวีผมในห้องเรียน ลูบไล้แฟนไม่เลือกที่ หรือก้าวร้าวเอาแต่ใจเท่านั้น ประเภทกะล่อนไปวัน ๆ ก็มีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

"วันนี้ผมนัดทุกคนให้เอาเค้าโครงรายงานมาส่ง ทำไมคุณไม่ส่ง" เมื่อสามปีก่อน เขาเคยถามนักศึกษาหญิงร่างเตี้ยตุ้ยที่ชอบนุ่งกางเกงขาสั้นมาเรียน

"ทำเสร็จแล้ว แต่ลืมหยิบมา" เธอตอบด้วยน้ำเสียงไม่สะทกสะท้าน

"เสร็จจริงหรือเปล่า" เขาถามอย่างไม่แน่ใจ เพราะที่ผ่านมานักศึกษาหญิงผู้นี้มักขาดเรียนเป็นประจำ

"จริง" เธอยืนยันเสียงดังพร้อมกับแกว่งกระเป๋าชอบปิ้งที่มีตราห้างดังของอังกฤษ "หนูลืมไว้ที่ท้ายรถ อาจารย์อยากได้ก็ตามมาสิ"

แน่นอน เขาย่อมไม่กล้าเดินตามเธอไป

 

ในวัยใกล้เกษียณ เขาแทบลืมไปแล้วว่า ตัวเองเคยตั้งความหวังไว้กับการสอนในมหาวิทยาลัยอย่างไร ในแต่ละเทอมที่ผ่านเข้ามา และในแต่ละวิชาที่ต้องรับผิดชอบ เขาเพียงแต่ประคองตนให้คงความเป็นครูไว้เท่าที่จะทำได้เท่านั้นเอง

แต่ก็อีกนั่นแหละ โลกมนุษย์ไหนเลยมีเพียงด้านเดียว

 

ในช่วงท้าย ๆ ของชีวิตอาจารย์ประจำ เขาจำเป็นต้องไปสอนที่ศูนย์รังสิตของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และที่นั่นเขาได้พบกับอีกมิติหนึ่งของการทำหน้าที่ครูคน

"อาจารย์ครับ หมดชั่วโมงแล้วพอมีเวลาไหมครับ ผมมีเรื่องปรึกษา" นักศึกษาชายคนหนึ่งเอ่ยถามเขาขณะเดินเข้าห้องบรรยาย

เขาพยักหน้าตกลง และเมื่อถึงเวลานัดหมายก็ชวนกันไปนั่งที่โต๊ะสนามใกล้ ๆ ตึกเรียน

"เอ้า มีอะไรว่ามา" เขาเอ่ยกับเด็กหนุ่ม พลางคาดเดาว่าปัญหาของนักศึกษาคงหนีไม่พ้นเรื่องของเกรด หรือไม่ก็ต้องเกี่ยวข้องอะไรสักอย่างกับผลการเรียน

"คืออย่างนี้ครับ... แม่ผมหนีไปจากบ้าน ผมไม่รู้เลยว่าตอนนี้แม่อยู่ที่ไหน ทำอะไร..."

เขามองหน้าลูกศิษย์หนุ่มอย่างเพ่งพินิจ นึกไม่ถึงว่านี่คือเรื่องที่ทำให้นักศึกษาอยากคุยกับเขา ขณะเดียวกันแววหมองในดวงตาที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าก็ทำให้เขารู้ทันทีว่า เด็กหนุ่มผู้นี้ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

 

หลังจากรับฟังเรื่องราวทั้งหมด เขายังคงนัดพบลูกศิษย์คนดังกล่าวอีกหลายครั้ง โดยมีหนังสือธรรมะติดมือไปให้อ่านครั้งละเล่มสองเล่ม จนกระทั่งฝ่ายทุกข์ร้อนเริ่มมีอาการดีขึ้น การพบปะจึงลดความถี่ลง

"จำไว้นะ คุณต้องไม่โกรธแม่เป็นอันขาด คุณยังไม่รู้ว่าเขามีเหตุผลอะไร วันหนึ่งเมื่อเขากลับมา เขาจะอธิบายให้คุณฟังเอง" เขายืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับเด็กหนุ่มผู้นั้น

 

สำหรับเทอมสุดท้ายของชีวิตอาจารย์ประจำ เขาขอร้องทางคณะให้ส่งเขากลับมาสอนที่ท่าพระจันทร์ เพราะที่นั่นเป็นเหมือนบ้านที่เคยอยู่มาตั้งแต่วัยเยาว์ เขาอยากใช้เวลาอ้อยอิ่งกับดินแดนที่ตัวเองคุ้นเคยก่อนที่จะต้องแยกจากกัน

อย่างไรก็ดี ขณะการสอนที่รังสิตใกล้จะสิ้นสุดลง เขาบังเอิญได้พบกับลูกศิษย์ที่เคยมาปรึกษาเรื่องความทุกข์โศกส่วนตัวอีกครั้งหนึ่ง

"แม่กลับมาแล้วครับอาจารย์" เด็กหนุ่มบอกกับเขาด้วยสีหน้าสดใสราวกับเป็นคนละคน

เขายิ้มแสดงความยินดีด้วย ขณะข้างในแอบดีใจกับตัวเอง

ดีใจที่อย่างน้อยก่อนเกษียณ เขาได้มีโอกาสทำหน้าที่ครูแบบที่อยากทำ

 

สำหรับผม ...

 

การเป็นครูไม่ว่าระดับไหนก็ย่อมต้องมีอุดมการณ์หรือจุดยืนเป็นของตัวเอง
เราสอนหนังสือและต้องสอนคนไปพร้อม ๆ กันด้วย

อย่าให้ "ความอยาก" มันทำให้เราต้องเสียคุณค่าของความเป็นครูลงไป

หากใครทำไม่ได้ ควรลาออกไปทำอาชีพอื่นที่ตอบสนองความอยากมากกว่านี้

 

เหตุเผชิญหน้าของอาจารย์เสกสรรค์ ถือว่า หนัก เนื่องจากขาดการวางแผนล่วงหน้า

แต่ผมเตรียมการล่วงหน้าแล้ว ที่จะให้มาก้าวร้าวต่อครูบาอาจารย์แบบนี้มันต้องมีแผนรองรับ

เช่น กำหนดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ก่อนเริ่มต้นเรียนในรายวิชา พร้อมบทลงโทษ
หากใครไม่ยอมรับ ก็ไม่ต้องมาลงทะเบียนเรียน

หากพบพฤติกรรมแย่ ๆ ต่อหน้าทั้ง ๆ ที่ตกลงกันแล้ว ก็จะไล่ออกนอกห้องไปเลย
ไม่อยากเรียนเพื่อตัวเองก็ไม่ต้องเรียน ...

ส่วนพวกไม่มาเรียน แล้วมาทวงงานนี้ หมดสิทธิ์ตั้งแต่ไม่มาเรียนแล้ว
ไม่มาก็หมายถึง สละสิทธิ์ิชิ้นงานไป ตามนั้น
หากโวยวายเข้าขั้นก้าวร้าว จะให้ F แทน พร้อมส่งตัวสอบวินัยนักศึกษาไปเลย

 

แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ด้วยความเป็นครู
ต้องสอนให้เด็กเขาเข้าใจโลก เข้าใจชีวิต
ไม่ใช่เป็นผู้รับจ้างสอนหนังสือเท่านั้น

ไม่ใช่ไม่ใส่ใจ หรือ สอนแบบกลัวเขาไม่รัก
กลัวเขาไม่ประเมินตัวเองให้ได้คะแนนเยอะ ๆ ตอนปลายเทอม
กลัวไม่ได้ครูดีเด่น อะไรประมาณนี้

ครูพวกนี้ เยอะอยู่
เหมือนกาฝากสังคมเกาะอาชีพครูยังไงก็ไม่รู้ ;)

 

ข้อเีขียนอาจารย์เสกสรรค์สะท้อนความรู้สึกนึิกคิดของตัวเองมากพอสมควร

หากมีโอกาส จะเขียนถึงตัวเองบ้างเหมือนกัน

 

ผมอาจจะเป็นแค่ "ครูประหลาดคนหนึ่ง" ที่เชื่อมั่นในความดีงามของคนเป็นครู
ซึ่งอาจจะเหลือน้อยเต็มทีในโลกยุค "ความอยาก" ในวัตถุนิยมแบบนี้

เพราะคนไม่อยากเป็นเพียงคนโง่คนหนึ่งเท่านั้น

คนโง่ย้ายภูเขา ประมาณนั้น

 

บุญรักษา ครูดีทุกท่านครับ ;)...

Writer

Sirirat Soonsakul

นักอยากเขียน ผู้รักการสะสมท้องฟ้าสีวนิลลา และใช้หมูกระทะเยียวยาจิตใจ