บทความโดย : พิมาน แจ่มจรัส
เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์คือใคร?
ขอตอบ เขาคือ นักเขียนทหาร นักเขียนสายลับ นักเขียน นักมวย นักเขียน นายพราน นักเขียน นักตกปลา นักเขียน นักสู้วัว และนักเขียนนักประชาสัมพันธ์ตัวเอง
เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ มีกี่คน ?
ขอตอบ มีหลายคนในคนเดียว
เรื่องพ้องพานโดยบังเอิญคือ เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์เกิดที่ชิคาโก แล้วไปซื้อบ้านอยู่ที่ฟลอริดา ส่วนผมเกิดที่เมืองไทย ดันไปซื้อบ้านอยู่ชิคาโก เมืองที่เขาทำงานครั้งแรก ไปค้นคว้าห้องสมุดที่โอ้คพาร์ก เมืองที่เขาเกิด ไปทำงานที่โรงแรมเดอะ เดรก ที่เขาเคยไปพัก ไปกินกวางที่ไอดาโฮ เมืองที่เขาล่ากวาง ไปกินปลาและดื่มเบียร์ที่ Sloppy Joe (โจผู้ไม่เอาไหน) ร้านประจำของเขาที่คีย์เวสท์ ไปดื่มเหล้าตามแบบฉบับของเขาคือมาจิโต คิวบาโน อันเป็นส่วนผสมของมะนาว บาร์คานี ใบสาระแหน่ และน้ำเชื่อม ที่คีย์ ลาร์โก เกาะใหญ่สุดในทะเลคาริบเบียน ไปนั่งเป็นแบบให้จิตรกรเขียนภาพที่เนินมองมาร์ต ย่านที่เขาไปเที่ยวโสเภณีในปารีส ไปกินซุบหางวัวที่มาดริด ซึ่งเขาไปดูการสู้วัว
“เอ๊ะ! วันนี้ทำไมหางวัวดุ้นเล็กจัง” ผมถามสาวสวยชาวเสปนผู้ขาย
“อ๋อ วันนี้มาทาดอร์แพ้ค่ะ”
เฮมิงเวย์เป็นเทพ เป็นตำนาน เป็นเครื่องหมายของชายชาตรี ไม่ว่าในอัฟริกา ในคิวบา ในสเปน ในอเมริกา เขาพกพาความเป็นชายชาตรีไปประหนึ่งเป็นเครื่องรางของขลัง
เขาเคยได้รับการขอร้องจากแม่เล้าให้ตีตรารับรองซ่องโสเภณี เขาเป็นโต๊ดเถื่อนรับแทงม้า เป็นนักเลงโต เป็นคนเสิร์ฟเหล้า เจ้าของภัตตาคาร ทหารรับจ้าง ดาราภาพยนตร์ นักมวย นักกรีฑา ผู้หวังดี คนสอพลอ ขี้เมา ผัวผู้เเสนเลว พ่อผู้แสนดี เพื่อนผู้ยอมตายแทนเพื่อน และจอมโกหกลิเลียน รอสส์ ผู้เขียน “ภาพของเฮมิงเวย์” (Portrait of Hemingway) กล่าวว่า “พวกเขาไม่อยากให้เฮมิงเวย์เป็นเฮมิงเวย์ แต่อยากให้เฮมิงเวย์เป็นคนอื่น โดยอาจเป็นตัวของพวกเขาเอง” เฮมิงเวย์เรียกตัวเองว่าเป็น Old man Hemingway ตั้งแต่อายุ 41 เมื่อมีชื่อเสียงโด่งดัง เขาจึงกลายเป็นสถาบันเรียกขานกันว่า ปาป้า
เฮมิงเวย์ปกป้องการโกหก ว่าเป็นสุดยอดแห่งจินตนาการของนักประพันธ์ ทั้งที่ความจริงเขาเป็นนักเขียนประเภทสมจริง (Realist) ไม่ใช่เหนือจริง (Surrealist)
พลโทบัญชร ชวาลศิลป์ ทหารนักเขียน และนักตกปลา กล่าวไว้ใน “คำนำ” ของ อหังการแห่งชีวิตห้าว เออร์เนสต์ ปาป้า เฮมิงเวย์ ว่า “พิมาน แจ่มจรัสนี่แหละที่บอกกับผมว่า อย่าเพิ่งเรียกตัวเองว่าเป็น “นักเขียน” หากไม่ได้เขียนนวนิยาย เกือบสามปีมาแล้วจากประโยคนี้ที่ทำให้ผมคิดฝัน และเริ่มงานเขียนนวนิยายเรื่องแรกของชีวิตซึ่งยังไม่เสร็จ…”(สำนักพิมพ์โกสินทร์ 2546)
“นวนิยายสร้างจากประสบการณ์รู้ที่คุณมี ถ้าคุณทำสำเร็จ มันจะเป็นจริงยิ่งกว่าการจำมันมา การโกหกที่ยิ่งใหญ่น่าฟังกว่าเรื่องจริง ผู้เขียนนวนิยาย ถ้าไม่เอาเรื่องจริงมาเขียน จะเป็นนักโกหกที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก”
ผู้พูดประโยคนี้คือเออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ เขายังพูดต่อไปอีกว่า
“หนังสือดีมีอยู่อย่างหนึ่งที่เหมือนกัน มันเป็นจริงยิ่งกว่าสิ่งที่เกิดขึ้น หลังอ่านจบ คุณจะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ มันจะเป็นของคุณตลอดไป ความสุขและความทุกข์ ความดีและความชั่ว ความเบิกบานและความเสียใจ อาหาร เหล้า เตียงนอน ผู้คน อากาศ ถ้าคุณให้สิ่งเหล่านั้นแก่ผู้อ่านได้ คุณก็เป็นนักเขียน”
นักเขียนรางวัลโนเบลคนนี้ ปกป้องการโกหกว่า “ไม่ใช่สิ่งผิดธรรมดาที่นักประพันธ์ที่ดีที่สุดจะปั้นน้ำเป็นตัว อาชีพของเขาส่วนใหญ่ต้องโกหก ต้องสร้างขึ้นมา พวกเขาจะโกหกเมื่อเมาเหล้า โกหกต่อตัวเอง โกหกต่อคนแปลกหน้า เขาโกหกอย่างสติแตก แล้วนึกสงสารการโกหกของตัวเองด้วยความเสียใจสุด ๆ การรู้ว่านักประพันธ์อื่น ๆ ก็โกหก ทำให้พวกเขาฮึกเหิม คนโกหกเหมือนดอกไม้บานสะพรั่ง งดงามประหนึ่งต้นเชอรี่ หรือต้นแอปเปิลเมื่อแตกดอกออกช่อ ใครเคยเตะก้นคนโกหกมั่ง”
ปิกัสโซเคยพูดว่า ศิลปะคือการโกหก (Art is a lie)
เจรัลด์ เมอร์ฟี เรียกเฮมิงเวย์ว่า “บุคลิกลักษณะที่ปิดบัง ร่างใหญ่มีพลัง บรรยายทุกสิ่งทุกอย่างได้ถี่ถ้วนเกินพอ พูดเร็ว มีชีวิตชีวา และโกหกเก่งจนคุณเชื่อ”
“ผมเป็นไอ้หนุ่มที่มีความสุขตามธรรมชาติ ชีวิตของผมจึงมันหยด” เฮมิงเวย์กล่าว “ผมรักเมีย รักมหาสมุทร รักลูก รักการอ่าน รักการเขียน รักภาพเขียน รักชีวิตในบาร์ รักกะหรี่”
เฮมิงเวย์มักจะเรียบเรียงเรื่องของตัวเองออกมาเป็นเรื่องเป็นราว การคุยโว การโป้ปด และภาพลักษณ์ของความกล้าหาญของเขาเกี่ยวโยงไปถึงตำนาน…เขาแปลงการมดเท็จของตนให้เป็นตำนาน
นิตยสาร Town and Country เคยลงข่าวว่าเฮมิงเวย์ออกสู้วัวในสเปน เป็นนายพรานล่าสิงโตในอัฟริกา และชนะการตกปลาที่คิวบา นักเขียน เรย์มอนด์ แซนดเลอร์ เขียนไว้ใน Farewell, My Lovely ว่า
เขามองคนมีหนวดอีกครั้ง “ไอ้เสือนี่แข็งแรงจัง” เขาพูด “แม่งอยากยิงอินเดียนแดง”
“นี่แน่ะ เฮมิงเวย์ อย่าย้ำคำพูดของผมทุกคำสิ”
“ผมหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมเค้าเรียกผมว่าเฮมิงเวย์” ชายร่างใหญ่พูด
“ผมไม่ได้ชื่อเฮมิงเวย์”
“งั้นใครละคือเฮมิงเวย์”
“ไอ้คนที่พูดแล้วพูดอีกจนนายเชื่อ…”
มาริโอ เมโนคัล จูเนียร์เขียนไว้อย่างชัดเจน “เออร์เนสต์ผูกพันกับการสร้างเฮมิงเวย์ให้เป็นอมตะ และโยงใยไปถึงการประชาสัมพันธ์เพื่อช่วยตลาด มันเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพอันแรก ในขณะที่ความผูกพันของเออร์เนสต์กับการสร้างงานเป็นบุคลิกภาพที่สอง”
เจมส์ จอยซ์ เพื่อนนักเขียนกล่าวว่า “ผู้คนเชื่อว่าเฮมิงเวย์มีสายเลือดอินเดียนแดง เขาถูกแม่บังคับให้ออกจากโรงเรียนหนึ่งปีเพื่อเรียนการเล่นเชลโล หนีออกจากบ้าน ตาพิการเพราะชกมวย คบหาอันธพาล มีสัมพันธ์รักกับเมย์ มาร์ช ดาราภาพยนตร์สาว และมาตา ฮารี ใส่กระจับหัวเข่าอลูมิเนียม มีเมียลับอยู่ในซิชิลี รายงานข่าวสงครามจากในป่า ทั้งหมดที่เกี่ยวกับการดื่มเหล้า ชกมวย ล่าสัตว์ ตกปลา ความวิตถารทางเพศ ล้วนเกินความจริง มันเป็นการฝันเฟื่อง”
เอ อี ฮ็อทเนอร์ เพื่อนสนิท เล่าไว้ใน Papa Hemingway ว่า เฮมิงเวย์เขียนว่า “คืนหนึ่ง ผมอึ๊บมาตา ฮารีได้อย่างสะดวกโยธิน ถึงแม้สะโพกของเธอจะใหญ่มากก็ตาม เธอชอบถูกทำมากกว่าเป็นฝ่ายทำ”
มาตา ฮารีถูกทางการฝรั่งเศสประหารชีวิตฐานเป็นสายลับสองหน้าเมื่อปี 2460 เฮมิงเวย์ไปต่างประเทศครั้งแรกปี 2461
เอ็ดมุนด์ วิลสัน นักเขียนนักวิจารณ์ คู่ปรับของเฮมิงเวย์ เล่าว่า “เฮมิงเวย์นักเขียน สร้างตัวละครเฮมิงเวย์ขึ้นมา นอกจากไม่น่าเชื่อแล้ว แม่งน่ารำคาญชิบหาย เป็นตัวละครเลวที่สุดที่มันสร้างขึ้นมา”
พลเอกเซอร์จอห์น แฮ็กเก็ต อดีตผู้บังคับบัญชาของเฮมิงเวย์กล่าวว่า เขาทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญสงคราม ส่วนจอห์น พุดนีย์ กวีและเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของกองทัพกล่าวว่า เฮมิงเวย์แต่งตัวรุ่มร่าม และเป็นคนงุ่มง่าม “เขาดัดจริตสวมรองเท้าบู้ท ดาราเจ้าอารมณ์ อยากเป็นคนห้าวแห่งศตวรรษ ทำตัวเหมือนหุ่นกระดาษแข็งที่หยาบกระด้าง”
เฮมิงเวย์พยายามผนวกศิลป์เข้ากับการต่อสู้ ความเป็นจริงและมโนคติของนักเขียนเข้ากับความกล้าหาญทางกายและฝีมือทางกีฬา ความโดดเดี่ยวส่วนตัวกับความกว้างขวางทางสังคม เขาไม่เอาชนะตัวเองด้วยงานเหมือนคนอื่นเช่นเฮนรี เจมส์, โฟลแบร์ต และเจมส์ จอยซ์ แต่ยกระดับศิลป์ด้วยชีวิตของตนแบบดันนุนซิโอ, ทีอี ลอเรนซ์ และมัลโรซ์ เขาพยายามสร้างสมดุลแห่งความขัดแย้งที่มีอยู่บ่อยๆ ในชีวิต แล้วเขียนขึ้นด้วยการมองในแง่ดีที่ผิดปกติ
เฮมิงเวย์เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่และได้รับความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ เขาคือวีรบุรุษในคราบนักเขียน ภาพลักษณ์ของตัวเองที่เขาสร้างขึ้นช่วยในการขายหนังสือ ทำให้ชีวิตส่วนตัวเป็นอาหารของสังคม ดึงดูดความสนใจของฮอลลีวูด หลายต่อหลายเรื่องได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์ เช่น
To Have and Have not ภูมิหลังจากชีวิตนักเลงโตในชิคาโก A Farewell to Arms จากภูมิหลังที่เขาได้จากสมรภูมิสงครามโลก The Sun Also Rises จากประสบการณ์ในการสู้วัว The Snow on the Kilimanjaro จากการเป็นพรานล่าสัตว์ในอัฟริกา รวมทั้งเรื่องสั้นจากชีวิตนักมวยของตนชื่อ The Killers
โรนัลด์ ดาห์ล เพื่อนสนิทกล่าวว่า “ผมไม่เห็นเขาวางมาด คุยโว หรือทำตัวเป็นนักเลง แต่เห็นว่าเขาเป็นเพื่อนที่ขี้อาย และมีอารมณ์แปรปรวน เขาปล่อยตัวตามสบายในโรงยิมซ้อมมวยที่นิวยอร์ก” “ผมต้องการจะรุดหน้าอย่างนักเขียน” เฮมิงเวย์บอกกับโรเบิร์ต แคนท์เวลล์ “ไม่ใช่ในฐานะผู้ชายที่เข้าสนามรบ นักเลงในบาร์ นักแม่นปืน นักแทงม้า หรือนักดื่มคอทองแดง ผมต้องการเป็นนักเขียนโดยตรง และได้รับการตัดสินว่าเป็นยังงั้น”
เขาซ่อนความเป็นตัวตนเอาไว้…ปิดบังความรู้สึกไว้หลังหน้ากากนักผจญภัย ใส่อารมณ์อันสุนทรีไว้ด้วยมาดของศิลปิน เขาเป็นอย่างที่เจมส์ เธอร์เบอร์กล่าว “สุภาพ เห็นใจ เข้าใจ อ่อนข้อ” แต่เฮมิงเวย์ไม่ยอมรับ แม็กซ์ อีสต์แมน ผู้พิมพ์ผู้โฆษณากล่าวว่า “เขาค่อย ๆ เปลี่ยนตัวเองเป็นคนมุทะลุดุดัน เอะอะมะเทิ่ง โวยวายหาการฆ่า ส่วนใหญ่แสดงความสามารถของตัวเองในการฆ่าหมู่ จำนวนเท่าไหร่ก็ได้…”
ปกติ เขาจะกินอาหารเช้าเงียบๆครุ่นคิดถึงเรื่องที่กำลังเขียน ผันตัวไปจ่อมจมอยู่กับงานเขียนในช่วงกลางวัน ถ้าเขียนลื่น ช่วงกลางคืนจะว่างเว้น เขามีความรู้สึกว่าพลังทางเพศและการสร้างสรรค์ ทั้งเชื้ออสุจิที่พรั่งพรู และน้ำหมึกที่หลั่งไหลมาจากแหล่งชีวิตเดียวกัน ทั้งสองอย่างอาจเหือดแห้งไปในทางเดียวกันและจำต้องกลั้นสิ่งแรกเอาไว้ถ้าต้องหลั่งสิ่งที่สอง “ผมต้องผ่อนการร่วมเพศเมื่อเขียนหนังสือหนัก เพราะทั้งสองอย่างขับเคลื่อนโดยเครื่องจักรเดียวกัน” เฮมิงเวย์กล่าว เขามีทัศนคติแบบพราหมณ์เกี่ยวกับการจำกัดจำนวนครั้งของจุดสุดยอดและความจำเป็นที่จะต้องถนอมความต้องการทางเพศ เขาทำตัวเป็นผู้รู้ สอนเด็กหนุ่ม อัลลัน เทต ว่า “ตอนเป็นหนุ่มอย่าร่วมรักมากเกินควร ถนอมไว้ใช้เมื่อถึงวัยกลางคนบ้าง”
เฮมิงเวย์ยอมรับแนวคิดโรแมนติกของนักเขียนอย่างโมปัสซัง และนิชเช นั่นคือ เชื้อกามโรคช่วยผลิตพลังการสร้างสรรค์ “คนเราไม่อาจเป็นนักเขียนที่ดีถ้าไม่เคยเป็นซิฟิลิส”
เฮมิงเวย์เพาะรสนิยมของชีวิตขั้นต่ำและโสเภณีแถวมองมาร์ต เขานิยมลัทธิผัวเดียวเมียเดียวแต่แก่นแท้ชอบเป็นชู้กับเมียคนอื่น
“สำหรับผม สวรรค์คือสนามสู้วัวอันกว้างใหญ่ โดยผมจองบาร์เรราสองแถว(ที่นั่งด้านหน้า)และมีสายธารของปลาเทราต์อยู่ด้านนอกคนอื่นไม่ได้รับอนุญาตให้จับปลา กับบ้านสองหลังในเมือง หลังแรกผมให้เมียและลูกๆอยู่ในลักษณะของผัวเดียวเมียเดียว และให้ความรักแก่พวกเขาอย่างแท้จริง อีกหลังหนึ่ง ผมขอมีเมียลับสักเก้าคน แยกย้ายกันอยู่คนละชั้น” เขาพูด ความคิดเรื่องเมียทั้งเก้า คงมาจากเทพของกรีกชื่อ Muse ทรงมีชายาเก้าองค์
เอฟ สก็อต ฟิตซ์เจอรัลด์ พูดถึงเฮมิงเวย์กับผู้หญิงว่า “เออร์เนสต์ต้องการผู้หญิงคนใหม่สำหรับหนังสือใหม่ทุกเล่ม” ส่วนวิลเลียม โฟล์กเนอร์ เพื่อนนักเขียนกล่าวว่า “ความผิดพลาดของเออร์เนสต์อยู่ที่ว่าเขาคิดจะแต่งงานกับผู้หญิงทุกคน”
เพื่อทดแทนการจำกัด และความไม่เพียงพอด้านกามารมณ์ เฮมิงเวย์คุยโวถึงความสำเร็จอันเยี่ยมยอดทางเพศ ทางกีฬา ทางแอลกอฮอล์ และทางร่างกาย เขาบอกกับ มัลคอล์ม คาวลีย์ ผู้เขียน Portrait of Mister Papa ว่า “ผมฟาดแม่งผู้หญิงทุกคนที่ผมอยากฟาด แต่ก็มีอยู่หลายคนที่หลุดมือไป ผมคิดว่าผมทำเต็มฝีมือแล้วสำหรับทุกคน” นอกจากนี้ เขายังบอกกับชาร์ลส์ สคริบเนอร์ เจ้าของสำนักพิมพ์ว่าน้ำอสุจิของเขาไม่ปะปนกับน้ำหมึกอีกต่อไปแล้ว “เพื่อฉลองวันคล้ายวันเกิดปีที่ห้าสิบ ผมอึ๊บสามครั้ง ยิงนกพิราบ (ที่บินเร็วมาก) สิบตัวที่สโมสร ดื่มเหล้าหนึ่งลังกับเพื่อนห้าคน และออกทะเลหาปลาตลอดบ่าย” เป็นไปได้ว่าการบรรยายถึงการดื่มและการตกปลาของเขาถูกต้องตามความเป็นจริง มากกว่าเรื่องเซ็กส์และเรื่องยิงปืน
เฮมิงเวย์จะไม่ไปแสวงหาความบันเทิงสุขเป็นอันขาด ถ้าไม่เสร็จงานเขียนประจำวัน วันไหนเขียนหนังสือไม่ออก เขาจะตกอยู่ในภาวะที่สุดแสนทรมานและอารมณ์บูด อาจจะนั่งเขียนหนังสือที่คาเฟ่ใต้หอคอย หรืออ่านเรื่องที่ตนเองเขียนให้ใครก็ได้ที่ยอมฟัง
นักวิจารณ์กล่าวว่าเขาเป็นนักทำลายล้าง (Nihilist) ชอบเลือดและความรุนแรง ความจริง พบเห็นอย่างไรเขาก็ถ่ายทอดมาอย่างนั้น ทหารถูกยิงโชกเลือด ม้าถูกวัวขวิดเป็นแผลเหวอะหวะ ฉลามโดนฉมวกเลือดทะลักออกมาเต็มทะเล เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ สำหรับเฮมิงเวย์ สิ่งที่เขาเขียนล้วนมีความหมาย และประณีต แต่ละเรื่องได้รับการแก้แล้วแก้อีก บางเรื่องเขียนเสร็จโยนทิ้งเขียนใหม่ก็มี เขาเขียนอย่างผู้มีอารมณ์ร่วม ใส่ความรู้สึกให้ตัวละครต่าง ๆ แม้แต่สัตว์หรือพืช ทะเลและป่าดงมีชีวิตขึ้นมาได้ ภาพลูกตาวัวกระทิงที่โกรธแค้น ภาพยนตร์เรื่อง The Old Man and the Sea เวอร์ชั่นล่าสุด สร้างเพื่อฉลองวันเกิดครบรอบร้อยปีของเขา เสนอการ์ตูนสามมิติด้วยจอยักษ์ ถ่ายทำให้เห็นความรู้สึกของปลาที่มองทะลุน้ำทะเลขึ้นมายังชายชราผู้นั่งตกปลาอยู่บนเรือ
มีอยู่บ่อยครั้งที่เฮมิงเวย์ใช้เวลาตอนเช้าทั้งหมด แต่งข้อความแค่ย่อหนาเดียว เขาบอกว่าจะแต่งสักห้าพันคำก็ได้ถ้าเขียนอย่าง “งี่เง่าและถ่ายออกมา” แบบเดียวกับคนท้องเสียไปส้วม ขณะอยู่ในยุโรป เขาเขียนหนังสือที่คาเฟ่ ที่ห้องโรงแรม และที่บ้าน เมื่ออยู่คีย์เวสท์ เขาเขียนกับโต๊ะในสตูดิโอที่สร้างแยกจากบ้าน ในฮาวานา เขาเขียนที่แท่นสำหรับยืนพูดปาฐกถาใต้เขาควายในห้องนอน เข้าใจว่าในมาดริด เขาคงไม่โก้งโค้งเขียนขณะดูการสู้วัว
“ผมพบความยุ่งยากที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือต้องเขียนถึงสิ่งที่คุณรู้สึก ไม่ใช่สิ่งที่คุณสมควรจะรู้สึก และได้รับการสอนให้รู้สึก นั่นคือต้องเขียนลงไปว่าจริง ๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น”
เขาบอกกับเพื่อนร่วมอาชีพนักเขียนว่า “นวนิยายเขียนยากกว่าอะไรหมด ยากกว่าบทกวี คุณมีแผ่นกระดาษเปล่า ดินสอ และพันธะ ที่จะต้องสร้างเรื่องให้เห็นเป็นตุเป็นตะ ยิ่งกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ คุณต้องนำสิ่งที่มองเห็นไม่ชัดเจน มาตีแผ่ให้อ่านแล้วมองเห็นภาพ”
“พรสวรรค์อันมีค่าที่สุดสำหรับนักเขียนที่ดีคือญาณตรวจขยะ (Shit Detector) ซึ่งต้องมีติดตัวกันน้ำกันกระเทือน นี่คือเรดาร์ที่นักเขียนใหญ่ต่างมีด้วยกันทุกคน
หลักสำคัญในการกำจัดขยะ นำไปสู่อุปมาอุปมัยอันมีชื่อเสียงเรื่องภูเขาน้ำแข็ง เจ็ดในแปดส่วนของมันอยู่ใต้น้ำ สิ่งที่คุณไม่รู้ย่อมตัดออกได้ มันเพียงแต่ทำให้ภูเขาน้ำแข็งของคุณแข็งแกร่งขึ้น มันเป็นส่วนที่ไม่เคยโผล่พ้นน้ำขึ้นมา”
ห้องทำงานที่คีย์เวสท์อยู่บนชั้นสองของบ้านหลังเล็ก ซึ่งอยู่ถัดเข้าไปจากบ้านหลังใหญ่ เป็นมุม ที่ดีที่สุดในการเขียนหนังสือ ที่นี่ เขาแต่งนวนิยายหลายต่อหลายเรื่อง
ติดกับสตูดิโอห้องทำงานเป็นสระว่ายน้ำออกแบบโดยพอลีน ภริยาคนที่สอง เป็นสระน้ำเค็มและเป็นสระว่ายน้ำแห่งแรกในคีย์ เวสท์ หลังจากทราบราคาค่าสร้างสระ เฮมิงเวย์ได้ยื่นเหรียญเพนนีให้เธอหนึ่งเหรียญแล้วพูดว่า “เอาเหรียญอันสุดท้ายของผมไปด้วยสิ”
ต้นปาล์ม์ขนาดใหญ่ปลูกอยู่รอบสระ สร้างระหว่างที่เขียนเรื่อง For Whom the Bell Toll เขาได้รับความรำคาญจากเสียงที่ดังมาถึงห้องทำงาน อย่างไรก็ตาม หลังจากเขียนหนังสือประจำวันเสร็จ เฮมิงเวย์ก็ลงสระเป็นประจำ
เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์เป็นคนชอบแมว เขามีแมวอย่างน้อยตัวหนึ่งในบ้านทุกหลัง มีทางเดินของแมวต่อจากห้องทำงานไปทั่วบ้าน ตัวหนึ่งอยู่ที่บ้านในคิวบา และ 50-60 ตัวอยู่ที่บ้านในคีย์เวสท์ เขาผูกมิตรกับกัปตันเรือซึ่งมักจะได้รับมอบงานให้ไปท่าเรือคีย์เวสท์ กัปตันมีแมวชื่อทอม มีนิ้วข้างละ 6 นิ้ว เขาชอบแมวประหลาดตัวนี้มาก หลังย้ายไปที่อื่นได้มอบแมวให้เฮมิงเวย์ มันเป็นทั้งความปลาบปลื้มและความสุข
นักเขียนเอกใช้ประโยคสั้น ๆ กระชับ ภาษาเรียบง่ายมีพลัง มองเห็นภาพพจน์ แต่บางครั้งดูห้วน ๆ เขาไม่ใช้คำคุณศัพท์ ถ้าไม่จำเป็น ยกเว้นเพื่อเพิ่มรสชาติ รู้จักเลือกคำกริยามาใช้อย่างเหมาะเจาะแม่นยำ เขาเขียนด้วยดินสอก่อนส่งไปพิมพ์ดีด เขามักจดบันทึกการเขียนเอาไว้ ใส่จำนวนคำที่เขียนแต่ละวัน เช่น 450 , 900 , 428 วันไหนเขียนได้มาก วันถัดไปก็ออกทะเลไปตกปลาได้สบายใจ
ตามปกติเขาจะเขียนหนังสือในตอนเช้าตั้งแต่ 6.00 น. ไปจนถึงเที่ยงวัน ถ้าเขียนออก บางทีก็ถึงบ่ายสองโมง แล้วออกไปพักผ่อน เดินเล่น หรือว่ายน้ำ สมัยโด่งดังสุดขีด ทาง Life และ Time ต้องส่งคนไปประกบถึงในอัฟริกาและสเปน คอยรับเรื่องที่เขาเค้นออกมาตีราคากันเป็นคำ ๆ (เขาภูมิใจเป็นพิเศษที่ได้ขึ้นหน้าปก Time)
“ผมจะเริ่มเขียนตั้งแต่ตะวันขึ้น เพราะไม่มีใครมากวน ถ้าอากาศดีจะเขียนจนถึงเที่ยงวัน พอหยุดเขียนก็อิ่มตื้อเหมือนร่วมรักกับแฟนเสร็จแล้ว จากนั้นอะไรก็ดูดีไปหมด”
เฮมิงเวย์แก้ไขต้นฉบับบ่อยครั้ง “ตอนจบของเรื่อง A Farewell to Arms ผมแก้ไขสามสิบเก้าครั้ง” เขากล่าว
เพื่อสำแดงความเป็นชาย เฮมิงเวย์อ้างตนเป็นนักรักผู้ยิ่งใหญ่ เขากล่าวว่าสมัยหนุ่มอารมณ์ทางเพศรุนแรงจนต้องร่วมรักวันละ 3 หน และต้องใช้ยาลดเซ็กซ์เพื่อระงับอาการกลัดมัน ครอบครัวของเขาเล่าว่า เขาไม่เคยมีนัดกับสาวจนกระทั่งเข้าเรียนปีแรกในไฮสกูล เขาไม่เคยมีความสุขกับกามารมณ์แบบธรรมดา ๆ ถึงแม้ตอนหลับเขาจะคุยโวว่าเป็น “โสเภณีชายสมัครเล่น” เขาเปรียบการร่วมรักกับการปั่นจักรยาน นั่นคือ ท่านยิ่งทำมาก ยิ่งได้มาก
เฮมิงเวย์ชอบวางอำนาจเหนือผู้หญิง เชื่อว่าผู้ชายต้องเป็นฝ่ายปกครอง ภริยา 3 ใน 4 คนของเขายอมรับกฎข้อนี้ ยกเว้นคนที่ 3 มาร์ธา เกลล์ฮอร์น ซึ่งพูดภายหลังว่า เฮมิงเวย์ไม่มี คุณภาพอะไรโดดเด่นนอกจากการ “เขียน” เฮมิงเวย์กล่าวว่าการแต่งงานกับเธอเป็นความผิดครั้งยิ่งใหญ่
เขาเขียนจดหมายเล่าเรื่องการร่วมเพศพิสดารไว้จำนวนมาก รวมทั้งฮาเร็มสาวผิวดำที่ตั้งขึ้นขณะไปเที่ยวซาฟารีในอัฟริกา ความเจ้าชู้ของเขาทำให้คนร่วมสมัยสงสัยในความเป็นชาย เพื่อนสนิทบางคน เช่น แจร์ทรูด สไตน์ เพื่อนหญิงเชื่อว่าเขาเป็นคนรักร่วมเพศอย่างอ่อน (เหมือนเธอซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นเลสเบี้ยน) ครั้งหนึ่งในเสปน ขณะเดินกับเพื่อนไปเวทีสู้วัว เขามองเห็นชายรักร่วมเพศคนหนึ่งเดินกระตุ้งกระติ้งอยู่ฝั่งตรงข้าม “คอยดู” เขาคำราม พลางเดินข้ามถนน โดยไม่พูดพล่ามทำเพลง ชกชายคนนั้นล้มคว่ำลงบนพื้น แล้วก็เดินกลับมาหาเพื่อนหน้าตาเฉย อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานว่าเฮมิงเวย์เคยมีความสัมพันธ์ทางเพศกับเพศผู้ชายด้วยกัน เพียงแต่ยอมรับว่าครั้งหนึ่งถูกผู้ชายเกี้ยวพาราสี อย่างไรก็ตาม เขามีเพื่อนชายโฮโมหลายต่อหลายคน แลเมียคนหนนึ่งของเขาก็เคยเป็นเลสเบี้ยนมาก่อน
“ปัญหาเดียวที่เฮมิงเวย์วิตกตลอดชีวิต” ซิดนีย์ แฟรงกลินให้สัมภาษณ์นักเขียนชื่อบาร์นาบี คอนราด “คือมักจะเป็นห่วงว่าไอ้จู๋มีขนาดเล็กเกินไป” คอนราดรู้สึกแปลกใจ ซิดนีย์จึง “ชูนิ้วก้อยมือซ้ายขึ้นโดยมีเล็บนิ้วหัวแม่มือเป็นฐาน” คอนราดเขียน “เขาคำนวณด้วยสายตา จากนั้นเขาก็ขยับเล็บนิ้วหัวแม่มือขึ้นหนึ่งนิ้วเพื่อประเมินผลอีกครั้ง”
ปาปา เฮมิงเวย์ เป็นผู้ชายเต็มตัวบนเตียง เขาชอบผู้หญิงที่ยอมเสี่ยงมากกว่าใช้วิธีป้องกันโรค “เขารังเกียจการเป็นเจ้ากี้เจ้าการเรื่องเพศที่ทำให้หมดความรู้สึกสง่างาม เขาไม่ได้เป็นนักประกอบกามกิจที่ดีที่สุดเสมอไป จับพลัดจับผลู บางครั้งองคชาติเกิดไม่แข็งตัวขึ้นมาดื้อ ๆ”
เฮมิงเวย์ชอบโอ้อวดความเก่งกล้าสามารถในทางร่วมเพศ เขากล่าวว่า เคยหลับนอนกับสตรีหลายประเภท รวมทั้งเคาน์เตสชาวอิตาลี เจ้าหญิงกรีก และโสเภณีหลายคนในมิชิแกน ซึ่งเขาไปใช้ชีวิตวัยหนุ่มตอนฤดูร้อน เขาอ้างด้วยว่าได้ร่วมรักกับโสเภณีลับในฮาวานา ผู้ใช้นามแฝงว่าเซโนโฟเบีย , ลีโอพอลดินา และโสเภณีนานาชาติ ว่าไปแล้วสัมพันธ์รักของเขาน่าทึ่งยิ่งกว่าที่เขาบรรยายเสียอีก ทัศนคติที่มีต่อเซ็กซ์เป็นไปอย่างสุขุม “ดอกฟ้าในฝัน” ของเขาคือ เกรตา การ์โบและเพื่อนหญิง มาร์ลีน ไดทริช ในชีวิตจริง เขาชอบผู้หญิงที่อ่อนหวาน ผมสีทองหรือน้ำตาลแดงก็ได้ เฮมิงเวย์จะหน้าแดงเมื่อถูกโสเภณีทักทาย เขาเชื่อว่าผู้มีความรักเท่านั้นที่ควรจะร่วมรักกัน เขาแต่งงาน 4 ครั้งมีลูกชาย 3 คน เขายึดติดว่าการหย่ากับภริยาคนแรกแฮดลีย์ ริชาร์ดสัน เป็นบาปที่ไม่สามารถไถ่ถอนได้ ถึงแม้ชีวิตวิวาห์ 2-3 ปีแรกเกือบจะเข้าถึงอุดมการณ์ แต่ก็ไปไม่รอด เมื่อเขาตกอยู่ในความรักกับพอลีน ไฟเฟอร์ สาวสวยเมียคนที่ 2 แฮดลีย์ตกลงหย่าหลังจากบังคับให้พอลีนกับเฮมิงเวย์อยู่ห่างกัน 100 วัน
การแต่งงานครั้งที่ 2 ของเฮมิงเวย์ยืนยาว 12 ปีตามทะเบียน แต่น้อยกว่านั้นมากตามความเป็นจริง สาเหตุเกิดจากเหตุผลทางกามารมณ์ หลังจากพอลีนให้กำเนิดลูกโดยการผ่าตัด 2 ครั้ง ทั้งสองถูกบังคับให้หยุดร่วมเพศ เพราะความเป็นคาทอลิกของเธอ จึงถูกห้ามใช้ยาคุมกำเนิด
เฮมิงเวย์พบภริยาคนที่ 3 มาร์ธา เกลล์ฮอร์น ขณะเป็นผู้สื่อข่าวช่วงสงครามกลางเมืองสเปน ทั้งสองเข้าใจกัน แต่คลื่นแห่งความรักสงบลงหลังการแต่งงาน จึงหย่ากันใน 5 ปีต่อมา นับเป็นชีวิตวิวาห์สั้นที่สุดของเฮมิงเวย์ เขาไม่ชอบความรักอิสระของมาร์ธา ผู้ยึดอาชีพขีดเขียน หรืออาจจะไม่ชอบที่เธอขี้บ่น เขาต้องการให้ภริยาสวามิภักดิ์อย่างสิ้นเชิง ซึ่งมาร์ธาไม่สามารถมอบให้ผู้ชายคนไหนได้
แมรี เวลช์ ภริยาคนที่ 4 ยอมเป็นรองอย่างเต็มใจ เธอเป็นคนสวย อดทน ไม่มีปากเสียง อายุน้อยกว่าเขา 9 ปี การแต่งงานยืนยาวตลอดชีวิตของเฮมิงเวย์ เพราะเธอไม่สนใจนิสัยดื้อรั้นของเขา เฮมิงเวย์ชอบใช้วาจาเกี้ยวผู้หญิงอื่นจำนวนมาก ไม่พยายามจะเก็บงำไว้เป็นความลับแต่อย่างใด
เมื่อตอนเป็นหนุ่ม เขาชอบผู้หญิงที่อายุมากกว่า แฮดลีย์อายุมากกว่าเขา 8 ปี ตั้งแต่วัยกลางคนเป็นต้นมาเขาชอบคบผู้หญิงที่อายุอ่อนกว่ามาก ๆ สตรีเหล่านี้ดูเหมือนจะกลายเป็นต้นฉบับในนวนิยายของเขาใน The Sun Also Rises และใน Across the River and Into the Trees อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครชนะใจเขาอย่างสิ้นเชิง เฮมิงเวย์ไม่ยอมให้พวกเธอเข้าใกล้เกินไป เพราะกลัวจะสร้างความวุ่นวายให้กับชีวิต “ผมรู้จักผู้หญิงดี” เขาบอกกับเพื่อนคนหนึ่ง “คุณเธอนี่เรื่องมาก”
เฮมิงเวย์มีทฤษฎีเกี่ยวกับกามารมณ์หลายบท เขาเชื่อว่าผู้ชายได้รับการจัดสรรให้พบจุดสุดยอดในจำนวนจำกัด (อย่างที่เคยพูดกันว่าในชีวิตหนึ่ง ผู้ชายมีกระสุน 1, 000 นัด) จึงควรจะใช้ให้คุ้มค่า อีกทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่า ถ้ามีเซ็กซ์บ่อยพอควร ท่านจะกินสตรอเบอรีที่อยากกินทั้งหมดได้โดยไม่เป็นลมพิษ ถึงแม้จะแพ้ผลไม้
“คุณจะเขียนหนังสือตอนไหนก็ได้ที่ไม่มีใครกวนใจ นั่นคือเขียนได้ทุกเมื่อถ้าต้องการ แต่การเขียนที่ดีที่สุดคือตอนคุณมีความรัก” ใน Death in the Afternoon เขาเขียนว่า “ถ้าคนสองคนรักกัน จะไม่มีอวสานอันแสนสุข เพราะคนหนึ่งต้องตาย และอีกคนหนึ่งต้องเป็นฝ่ายสูญเสีย”
บั้นปลายของชีวิต เขาชอบชมเด็กสาว พักโรงแรมหรูหรา ป่วยออด ๆ แอด ๆ คุยโวเสียงดัง ไม่อาบน้ำ ยืนถ่าย และอยู่บ้านกับปืนมากกว่าปากกา
เฮมิงเวย์ รูปร่างล่ำสัน สูง 6 ฟุต 1 นิ้ว หนัก 200 ปอนด์ (รุ่นมิดเดิลเวท) น้ำหนักส่วนใหญ่มาจากเนื้อเหนือบั้นเอวขึ้นไป ช่วงไหล่กว้างมาก แขนยาว มีกล้ามเป็นมัด แขนซ้ายมีแผลเป็นลึก ข้อศอกและหน้าอกหนา ต้นขาและสะโพกลีบ เอกลักษณ์ประจำตัวเขาคือยิ้มแหย เสื้อเชิร์ตลาย เสื้อกั๊กหนัง กระบังหมวกสีขาว รองเท้าแตะอินเดียนแดงหนังนิ่ม เสื้อนอกผ้าขนสัตว์ฮ่องกง และเนกไทสักหลาด
วาทะอันมีชื่อเสียงของเขาคือ “ผมไม่เสียใจในสิ่งทำลงไป แต่เสียใจในสิ่งที่ไม่ได้ทำ” และ “มนุษย์ถูกฆ่าได้ แต่แพ้ไม่ได้”
เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์เสียชีวิตด้วยการอมปืนยาวเท้าเหนี่ยวไกยิงกรอกปากเมื่อปี 2504 หลังจากซ้อมแล้วซ้อมอีกจนมั่นใจ สิริรวมอายุ 63 ปี
ฮ็อทช์เนอร์ เขียนจากบันทึกความทรงจำว่า “เฮมิงเวย์เป็นคนโรแมนติกจนวันตาย โรแมนติกกับผู้หญิง โรแมนติกกับงานเขียน โรแมนติกกับการใช้ชีวิต”
ผมสงสัยว่าเขามีสายพันธุ์การฆ่าตัวตาย เพราะโคตรเง่าและคนในแวดวงของเขามีอันเป็นดังนี้
เออร์เนสต์ ฮอลล์ (ตา) พยายามยิงตัวตาย แต่ปืนพกที่ใต้หมอนถูกแอบถ่ายลูกกระสุนออกเสียก่อน
แอนสัน มิลเลอร์ เฮมิงเวย์ (ปู่) ยิงตัวตายขณะออกล่าสัตว์ โดยทำให้ดูคล้ายอุบัติเหตุ
แคลเรนซ์ เฮมิงเวย์ (พ่อ) ยิงตัวตาย
เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ (นักเขียนเอก) ยิงตัวตาย
เออร์ซูลา เฮมิงเวย์ (น้องสาว) กินยาตาย
ไลเคสเตอร์ เฮมิงเวย์ (น้องชาย) ยิงตัวตาย
พรูเดนซ์ โลตัน (ผู้หญิงคนแรกที่เขานอนด้วย) กินยาตาย
แวนดา สโตฟา (เพื่อนหญิง) ฆ่าตัวตายในโรงแรม
เจมส์ ริชาร์ดสัน (พ่อตา-พ่อของเมียคนแรก) ยิงตัวตาย
เวลช์ (แม่ยาย – แม่ของเมียคนสุดท้าย) ฆ่าตัวตาย
อเดรียนา อิแวนคิช (นางในฝันคนสุดท้าย) ผูกคอตาย
เจน เมสัน (ชู้รัก) พยายามฆ่าตัวตาย
เอฟ สก็อต ฟิตซ์เจอรัลด์ (เพื่อน) พยายามฆ่าตัวตาย
ชาร์ลส์ เฟนตัน (เพื่อน) กระโดดหน้าต่างโรงแรมตาย
ฮวน เบลมอนเต้ (เพื่อนนักสู้วัวผู้มีชื่อเสียง) ยิงตัวตายที่ศีรษะแบบเดียวกับเฮมิงเวย์
เกรกอรี เฮมิงเวย์ (ลูกชายคนเล็ก) ฆ่าตัวตายในคุก
มาโกซ์ เฮมิงเวย์ (หลานปู่) ฆ่าตัวตาย
เฮมิงเวย์อยากให้เขียนประวัติของเขาหลังเขาตายไปแล้ว 150 ปี ถ้าผมบ้าตาม ผมก็ต้องเขียนเรื่องนี้ในปี พ.ศ. 2654 นั่นคือผมต้องรออีก107 ปี