การอ่านเป็นรากฐานสำคัญของชีวิต ไม่น่าแปลกใจที่ผู้บริหารในสาขาการเงินการธนาคาร อย่าง คุณพจณี คงคาลัย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายงานลูกค้าบุคคล ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จะมีเรื่องราวที่เกี่ยวกับการอ่าน ซึ่งน่าสนใจเป็นอย่างมาก
ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานที่ธนาคารแห่งนี้ ได้ร่วมรณรงค์และส่งเสริมการอ่านทั้งทางตรงและทางอ้อม เพราะฉะนั้น จากการให้คำสัมภาษณ์ของคุณพจณี จึงสามารถทำให้เห็นภาพอย่างแจ่มชัดว่า การอ่านนั้น มีส่วนหล่อหลอมให้กับคนในทุกสาขาวิชาชีพ และสามารถต่อยอดนำมาใช้ในชีวิตได้อย่างต่อเนื่องและยาวนาน โดยเฉพาะนิสัยรักการอ่านที่ติดตัวอยู่ทุกที่ทุกเวลา สามารถทำให้มองเห็นแนวทางการบริหารที่ใช้ประสบการณ์จากการอ่านมาช่วยไม่มากก็น้อย...
อยากให้เล่าถึงการบ่มเพาะนิสัยรักการอ่านที่มีมาตั้งแต่เด็กๆ สักหน่อย
พฤติกรรมสมัยเด็กๆ ของตนเองก็คงไม่แตกต่างจากเด็กทั่วๆ ไป ที่มีวิธีและช่วงเวลาของการเรียนรู้ผ่านการศึกษาจากตำราในห้องเรียน และกิจกรรมรอบตัวในรูปแบบต่างๆ ที่ทำให้เรารู้จักกระบวนการในการอยู่รวมกันในสังคม ความรักความสามัคคี การแบ่งปัน การช่วยเหลือเกื้อกูล โดยเฉพาะอิทธิพลของบุคคลรอบตัวที่เริ่มตั้งแต่สถาบันครอบครัว ปู่ย่าตายาย พ่อแม่พี่น้อง ญาติ ไปจนถึงสถาบันการศึกษา ครูบาอาจารย์ เพื่อนฝูง รวมไปถึงสถาบันที่เป็นส่วนประกอบของสังคมที่เป็นแบบอย่างหล่อหลอมให้เราเติบโตขึ้นมาในสังคม ซึ่งที่ต้องกล่าวอ้างไปถึงองค์ประกอบเหล่านั้นด้วยเพราะล้วนเป็นองค์ประกอบที่มีส่วนบ่มเพาะนิสัยรักการอ่านของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสถาบันครอบครัวที่ใกล้ชิดที่สุดของเรา ที่ไม่เคยปิดกั้นในการรับรู้ข่าวสาร แต่กลับส่งเสริมในการเรียนรู้ให้กับเราในรูปแบบต่างๆ ยิ่งในยุคสมัยของเราหนังสือดูจะเป็นสื่อที่แพร่หลายที่สุดมากกว่าสื่ออื่นๆ ดังนั้น การใฝ่หาความรู้ที่ดีที่สุด คือ การอ่าน เริ่มตั้งแต่อ่านตำราหนังสือเรียน หนังสือพิมพ์ เรื่อยไปจนถึงช่วงวัยหนึ่งที่สามารถหยิบจับนวนิยายตลอดจนหนังสือแปลขึ้นมาอ่าน ซึ่งสิ่งที่เราได้อัตโนมัติตามมาโดยไม่รู้ตัวคือ เมื่อเราอ่านหนังสือมากก็จะทำให้เราเขียนหนังสือเป็น
ช่วยบอกถึงประสบการณ์การอ่าน แนวหนังสือที่ชอบ และการเลือกหนังสือมาอ่านตามรสนิยมของคุณว่าเป็นอย่างไร
อย่างที่พูดไว้ในตอนต้น ด้วยประสบการณ์การอ่านทุกรูปแบบในหนังสือทุกประเภททำให้เรามีความรู้ทั้งทางด้านวิชาการ ความรู้รอบตัว ความรู้ในข่าวสารความเคลื่อนไหวของบ้านเมือง ความรู้ในความเป็นไปของสังคมในแต่ละยุคสมัย ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นประสบการณ์ที่มีค่ายิ่งที่หาไม่ได้จากในห้องเรียน ยิ่งอ่านมากยิ่งรู้มาก ยิ่งมีข้อมูลและทางออกในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้มาก ความรู้และประสบการณ์จากหนังสือไม่ว่าจะเป็นแนวไหนก็เป็นการเพิ่มพูนปัญหาให้กับตัวเราทั้งสิ้น
หากจะถามถึงแนวหนังสือที่ชอบ ต้องบอกว่าตนเองสามารถอ่านหนังสือได้ทุกแนว ด้วยความที่ได้รับการปลูกฝังโดยไม่รู้ตัวตั้งแต่เด็กที่สามารถหยิบจับหนังสือรอบตัวขึ้นมาอ่านได้ทุกเวลา แต่จะว่าไปแล้วแนวหนังสือที่ชอบคงเป็นไปควบคู่กับความสนใจในแต่ละช่วงอายุและช่วงเวลา อันนี้ไม่นับหนังสือตำราเรียนที่เราคงต้องสนใจตลอดเวลาทุกช่วงอายุ อย่างช่วงอายุสิบกว่าจนถึงยี่สิบต้นๆ นวนิยายก็ดูจะเป็นอะไรที่ทำให้เราสามารถจินตนาการไปตามตัวหนังสือของผู้ประพันธ์ การตีความและถอดรหัสออกมาเป็นภาพของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไปตามองค์ประกอบความรู้และประสบการณ์ จะบอกว่าเป็นแนวเพ้อฝันก็น่าจะใช่ โตขึ้นมาอีกนิดก็จะชอบหนังสือแนวปกิณกะบันเทิง หรือพวกนิตยสารรายปักษ์ รายเดือน ที่ทำให้เราโลดแล่นไปในสังคมรูปแบบต่างๆ มีโลกทัศน์กว้างไกลผ่านตัวหนังสือและภาพของผู้เขียนคอลัมนิสต์ ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นการแต่งกาย การท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก การถ่ายทอดมุมมองทัศนคติผ่านตัวหนังสือ การวิพากษ์วิจารณ์เพลงภาพยนตร์
ผ่านพ้นมาอีกช่วงอายุ แนวทางก็อาจปรับเปลี่ยนขึ้นบ้าง สัดส่วนของประเภทการอ่านก็อาจมีแนววิชาการเพิ่มมากขึ้น อาทิ หนังสือพวก How-to หนังสือคู่มือ หนังสือที่จะมาเพิ่มเติมองค์ความรู้ในการทำงานของเรา แต่แนวเดิมๆ ก็ไม่ได้ทิ้งนะคะ เพียงแต่ปรับสัดส่วนให้สมดุลกับช่วงอายุเท่านั้นเอง เหนือสิ่งอื่นใดหนังสือที่อ่านเป็นประจำ และอ่านตลอดไม่เคยเปลี่ยนแปลงคงหนีไม่พ้นหนังสือพิมพ์ เพื่อติดตามข่าวสารบ้านเมือง ความเป็นมาเป็นไปของสังคม ว่าเกิดอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร
หนังสือเล่มโปรดในตอนวัยเยาว์เป็นเรื่องอะไร
ชอบและประทับใจมากที่สุดคงจะเป็นนวนิยายเรื่อง ‘สี่แผ่นดิน’ บทประพันธ์ของ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช
ทำไมจึงชอบหนังสือเล่มนี้
ด้วย ‘สี่แผ่นดิน’ เป็นวรรณกรรมที่มีการใช้ภาษาได้สละสลวย การเรียงลำดับเนื้อหาเป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผน มีขั้นมีตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถ่ายทอดเรื่องราวที่ผสมผสานประวัติศาสตร์บ้านเมือง วิถีชีวิต การดำรงชีพของแต่ละชนชั้น ขนมธรรมเนียมวัฒนธรรมประเพณี นับเป็นวรรณกรรมที่มีเสน่ห์ ครบอรรถรส ได้ทั้งสาระความรู้และความบันเทิง นับเป็นหนังสือหรือนวนิยายในดวงใจเลยคะ
หนังสือที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเป็นเล่มไหน และอยากให้ช่วยเล่าความสำคัญของหนังสือเล่มนี้
คงไม่มีหนังสือเล่มหนึ่งเล่มใดที่มีความสำคัญจนเป็นแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลงชีวิต แต่หากจะพูดให้ใกล้เคียง อย่างที่กล่าวไว้ว่าเป็นคนที่สามารถอ่านหนังสือได้ทุกแนว ทำให้มีโอกาสได้อ่านบทสัมภาษณ์ของบุคคลต่างๆ ตั้งแต่คนธรรมดาสามัญไปจนถึงชนชั้นสูง ผู้บริหารประเทศ ผู้บริหารองค์กรภาครัฐภาคธุรกิจ ทำให้เราได้เรียนรู้ในการใช้ชีวิตของแต่ละคน ซึ่งมีทั้งที่ดีน่าเอามาเป็นแบบอย่าง หรือช่วงชีวิตอันตกต่ำเลวร้ายของของคนที่เป็นสติเตือนใจให้เห็นถึงผลลัพธ์ของการกระทำและการประพฤติมิชอบ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ได้รับจากการอ่านที่เราสามารถนำมาเตือนสติและประยุกต์ใช้ หรือนำมาเป็นแบบอย่างในการดำรงตน และในการบริหารงาน
หนังสือที่กำลังอ่านอยู่และชอบมากที่สุดในปัจจุบัน ทำไมถึงอ่านหนังสือเล่มนี้
ด้วยวันว่างที่มีไม่มากนัก เลยทำให้ไม่ได้หยิบจับหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่านอย่างจริงจังในช่วงนี้ แต่ก็ยังคงอ่านหนังสือทั่วไปตามช่วงเวลาวันว่างและระยะเวลาที่อำนวย
ในฐานะผู้บริหาร หนังสือที่เกี่ยวกับการบริหารที่ชอบมากที่สุด และเปรียบเสมือนตำราที่ใช้มาตลอดมีหรือไม่ อยากให้แนะนำหน่อย
เล่มที่ถึงขนาดเอามาเป็นคู่มือในการบริหารงานคงไม่มีเล่มใดเล่มหนึ่ง แต่อย่างที่บอกไว้ในตอนต้นว่าชอบการอ่านบทสัมภาษณ์ของบุคคลต่างๆ ซึ่งทุกท่านได้ให้หลักคิดในการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันไป โดยเฉพาะบทสัมภาษณ์ของผู้บริหารทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ทุกท่านล้วนมีประสบการณ์การใช้ชีวิตและการทำงานมาอย่างโชกโชน มีวิธีการแก้ไขปัญหาในแต่ละช่วงเหตุการณ์และช่วงสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป มีปรัชญาและแนวทางในการใช้ชีวิต ในการบริหารคนในองค์กร เหล่านี้ถือได้ว่าเป็นตำราการบริหารงานที่ชื่นชอบมากที่สุด ที่เราสามารถนำมาเป็นความรู้ นำมาประยุกต์ใช้ในการทำงาน ในการบริหารคน
ทฤษฎีในหนังสือกับการบริหารงานในโลกจริง แตกต่างกันมากไหม
ปัจจัยทั้ง 2 สิ่งนี้ต้องไปด้วยกัน ทั้งหลักทฤษฎี และการบริหารงานในความเป็นจริง ตัวทฤษฎีอาจเป็นสิ่งที่มีไว้สำหรับอ้างอิงในหลักการ กระบวนการทางความคิด การกลั่นกรอง แบบเป็นระบบ มีขั้นมีตอนเป็นระเบียบแบบแผน แต่โลกแห่งความเป็นจริง คือสถานการณ์เฉพาะหน้าที่ไม่สามารถกำหนดได้ มีตัวแปรต่างๆ ที่เข้ามากระทบมากมายที่จะทำให้การบรรลุเป้าหมายคลาดเคลื่อนออกไป เราคงเอนเอียงไปในปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งไม่ได้ แต่คงต้องนำทั้ง 2 ปัจจัยเข้ามาผสมผสานกันจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับองค์ประกอบต่างๆ ที่จะมาเป็นตัวกำหนดรูปแบบและการให้ความสำคัญ
ในส่วนของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ร่วมส่งเสริมและรณรงค์ในเรื่องการอ่านในสังคมไทยมากน้อยแค่ไหน มีกิจกรรมอะไรบ้าง
ธนาคารกรุงเทพได้ให้ความสำคัญกับการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้กับคนในสังคมไทยทุกระดับมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ตั้งแต่เยาว์วัยจวบจนผู้ใหญ่ กิจกรรมในเรื่องดังกล่าวที่ธนาคารได้ดำเนินการก็มีทั้งรูปแบบที่ดำเนินการจัดทำหนังสือประเภทต่างๆ ของธนาคารเอง ทั้งที่เป็นหนังสือที่เกี่ยวข้องทางธุรกิจแขนงต่างๆ เขียนโดยท่านผู้บริหารที่มีความรู้ความชำนาญในเรื่องนั้นๆ ที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ความรู้เผยแพร่ไปสู่สาธารณชน ไปจนถึงหนังสือที่เล่าขานความเป็นมาเป็นไปของสังคมไทยที่ดำเนินการเป็นประจำทุกปี อาทิ หนังสือที่ระลึกกฐินพระราชทานที่เล่าขานตำนานของจังหวัดและวัดที่ได้รับพระราชทานผ้าพระกฐินในแต่ละปี หนังสือ ‘กินเที่ยว’ ที่รวบรวมร้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวเป็นรายภูมิภาคหมุนเวียนเปลี่ยนกันไป
แต่ที่ภาคภูมิใจเป็นที่สุดคือการจัดทำหนังสืออันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ชุด ‘ลักษณะไทย’ สมบูรณ์ครบ 4 เล่ม จำนวน 2,000 ชุด หรือ 8,000 เล่ม เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และส่วนหนึ่งได้พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ธนาคารดำเนินการส่งมอบให้แก่ห้องสมุดสถาบันการศึกษา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนทั่วประเทศ เพื่อเป็นวิทยาทานถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยหนังสือชุดนี้จะไม่มีวางจำหน่าย
โครงการจัดทำหนังสือชุด 'ลักษณะไทย' นี้ เกิดขึ้นจากความพยายามและความปรารถนาอันเป็นปณิธานของธนาคารกรุงเทพ ในการมีงานทางวิชาการอุทิศให้แก่การศึกษาของชาติ และมีส่วนสร้างสรรค์งาน เพื่อจัดพิมพ์เป็นอนุสรณ์ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมและชาติบ้านเมือง ซึ่งในที่สุดก็เห็นว่า เรื่องราวและความเป็นมาของชนชาติไทยที่แสดงออกในรูปของศิลปวัตถุ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปดนตรี ตลอดจนศาสนาและพิธีกรรมต่างๆ อันเป็นมรดกต่อเนื่องทางวัฒนธรรมและอารยธรรมที่ก่อประโยชน์ในด้านการใช้สอย การสนองอารมณ์และอำนาจ ความสุขสบายแก่ชีวิตประจำวันของคนไทย ตั้งแต่เกิดจนตายนั้น ประกอบกันเป็น ‘ลักษณะไทย’ ที่ควรแก่การศึกษาและน่ารู้น่าติดตามอย่างยิ่ง สมควรประมวลเข้าเป็นเอกสารประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งของชาติไทยได้อีกทางหนึ่ง ธนาคารจึงได้เริ่มดำเนินการจัดทำมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2520 เพื่อให้เป็นหนังสือที่รวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับลักษณะไทย และวัฒนธรรมไทยในทุกๆ ด้านไว้ ด้วยการมองเมืองไทยและคนไทย โดยผ่านทางวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงาม อันเป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นนับแต่อดีต หนังสือชุดนี้จึงเป็นหลักฐานอ้างอิงทางวิชาการ อันมีเนื้อหาสาระครอบคลุมเรื่องราวความเป็นไทยอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนทุกด้านที่ทรงคุณค่า ด้วยความวิริยะอุตสาหะพยายามของนักวิชาการ ในการศึกษาค้นคว้า รวบรวมและเรียบเรียง เป็นเวลายาวนานกว่า 30 ปี
การจัดทำหนังสือชุดนี้ ศาสตราจารย์ พลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้กรุณารับเป็นบรรณาธิการท่านแรก และพันเอกหญิง คุณนิออน สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ได้รับช่วงดำเนินงานต่อมาจนสำเร็จเรียบร้อยในปัจจุบัน โดยธนาคารได้เชิญนักวิชาการทั้งจากสถาบันภาครัฐและเอกชน และนักวิชาการอิสระ ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ความสามารถพอที่จะยึดถือเป็นหลักฐานได้ ให้เขียนบทความทางด้านวัฒนธรรมแต่ละแขนงที่ตนมีความสนใจและเชี่ยวชาญ ทั้งนี้ ผู้เขียนส่วนใหญ่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย จึงได้ทำการค้นคว้าเรื่องราวต่างๆ และได้เขียนขึ้นด้วยตนเองเป็นเวลาหลายปี และด้วยทุนสนับสนุนของทางธนาคาร ทำให้นักวิชาการแต่ละท่านสามารถค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม และจัดทำภาพประกอบแนวความคิดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น สำหรับหนังสือ ‘ลักษณะไทย’ แบ่งเนื้อหาสาระออกเป็น 4 เล่มใหญ่ ดังนี้ เล่มที่ 1 'พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย' เล่มที่ 2 'ภูมิหลัง' เล่มที่ 3 'ศิลปะการแสดง' โดยภาคที่ 1 เรื่องดนตรีและนาฏศิลป์ไทย ภาคที่ 2 ศิลปะการแสดงพื้นบ้าน และเล่มที่ 4 'วัฒนธรรมพื้นบ้าน'
ในอีกด้านหนึ่งธนาคารได้ให้การสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการสร้างและปลูกฝังนิสัยรักการอ่านไปสู่เยาวชนและชุมชนในรูปแบบต่างๆ อาทิ ส่งมอบหนังสือและดีวีดี ประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัส ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2493 ถึง 2548 จำนวนรวมทั้งสิ้น 2,142 องค์ ไว้ได้อย่างครบถ้วนครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย สำหรับมอบให้แก่ห้องสมุดประชาชนกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานในสังกัด จำนวน 35 ชุดๆ ละ 8 เล่ม โครงการมอบตู้หนังสือแก่โรงเรียนด้อยโอกาสทั่วประเทศและ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการส่งเสริมและปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ ให้แก่เยาวชน และโครงการมอบอนาคต มอบหนังสือ 840 โรงเรียน สร้างโอกาสการเข้าถึงหนังสือใหม่คุณภาพดีให้แก่เด็กนักเรียนในโรงเรียนด้อยโอกาสทั่วประเทศ
โครงการมอบหนังสือ ‘เงินทองของมีค่า’ ชุด พัฒนาคุณค่าชีวิต ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่สร้างสรรค์โดยผู้ทรงคุณวุฒิจาก กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเป็นหนังสืออ่านเพิ่มเติมกลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ในการปลูกจิตสำนึกและเสริมสร้างความรู้ทางเศรษฐกิจให้กับเยาวชนถึงคุณค่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การรู้จักใช้เงินอย่างระมัดระวังเพื่อความแข็งแรงของเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต เพื่อส่งมอบให้กับห้องสมุดโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 436 แห่ง และโครงการมอบหนังสือ 'นิทานอารมณ์ดี' ชุด Mr.Men and Little Miss สื่อในการส่งเสริมและปลูกจิตสำนึกรักการอ่านให้กับเด็ก ตั้งแต่วัยเยาว์ ด้วยเนื้อหาสาระของหนังสือนิทานชุดนี้ เป็นการส่งเสริมการศึกษาสร้างสรรค์กระบวนการอ่าน ผ่านนิทานแสนสนุก ให้เด็กได้เรียนรู้และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีและผู้นำของสังคมไทย ด้วยการพัฒนา I.Q. (ความฉลาดทางด้านเหตุผลและการคิดคำนวณ) ควบคู่ไปกับ E.Q. (ความฉลาดหนักแน่นทางด้านอารมณ์และเชาว์ปัญญา) ถือว่าเป็นการวางรากฐานสำคัญให้แก่เยาวชนคนรุ่นใหม่ ในช่วง 1-2 ทศวรรษข้างหน้า เพื่อส่งมอบให้กับห้องสมุดโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 436 แห่ง เช่นเดียวกัน
เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ธนาคารกรุงเทพได้ดำเนินการเพื่อร่วมส่งเสริมและรณรงค์ในเรื่องการอ่าน ปลูกฝังและปลูกจิตสำนึกให้กับเยาวชนในสังคมไทย
อยากฝากถึงคนไทยถึงการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านอย่างไร
โดยส่วนตัวมองว่าหนังสือทุกประเภทล้วนมีคุณค่าและประโยชน์แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นหนังสือตำราเรียน หนังสือคู่มือ หนังสือการ์ตูน นวนิยาย นิตยสาร ล้วนแล้วแต่มีคุณค่าและคุณประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยปัจจุบันหนังสือที่เป็นในรูปอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งง่ายแก่การพกพา สะดวกในการหยิบจับขึ้นมาอ่านได้ทุกเวลาทุกสถานที่ เป็นข้อดีที่เราสามารถนำสื่ออิเล็กทรอนิกส์รูปแบบใหม่มาปลูกฝังนิสัยรักการอ่านนี้ให้กับคนรอบตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกหลานในครอบครัวที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไปในอนาคต อีกทางหนึ่งยังเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมให้นักเขียนสร้างสรรค์ผลงานและหนังสือประเภทต่างๆ ที่ทรงคุณค่าออกสู่สังคมอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง