5 หนังสือแนะนำโดย ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ
หากพูดถึงนักแสดงนำชาย ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ คงไม่มีใครไม่รู้จัก แม้ว่าชื่อเสียงของเขาจะโด่งดังขนาดไหน แตาเขายังคงมีเวลาอ่านหนังสือ หนังสือเล่มโปรดของเขานั้น มีทั้งวรรณกรรมคลาสสิก Fiction และ Non-Fiction แต่ที่จะหยิบมาพูดในครั้งนี้ มีจำนวน 5 เล่มด้วยกัน คือ
The Old Man and the Sea โดย Ernest Hemingway
งานชิ้นเอกของนักเขียนลูกผู้ชายเฮมมิ่งเวย์ แปลไทยว่า “เฒ่าทะเล” พูดถึงความอดทน ต่อสู้ พยายามของคนๆหนึ่งเป็นแกนหลักเลย
"เฒ่าทะเล" เป็นเรื่องชีวิตของชายชรา คนหาปลาผู้อ้างว้าง ยากจน เต็มไปด้วยความหวัง และความหลังอันรุ่งโรจน์ แม้จะมีความรัก สงสาร ต่อสิ่งที่เขาต้องพิชิต คือปลา แต่ก็จำต้องกระทำลงไปเพราะชีวิตที่เขาไม่สามารถจะเลือกเกิดได้ ทำให้เขาต้องกำเนิดมาเป็นคนหาปลา ที่ต้องเสียสละทั้งกำลังกายและกำลังใจอย่างที่สุดในการต่อสู้ระหว่างคนกับปลา
ซึ่งแม้วรรณกรรมเรื่องนี้จะถุกถ่ายทอดและตีพิมพ์มาเป็นเวลาหลายปีแต่หากอ่านให้ดีๆ ก็จะพบ”ความร่วมสมัย”ในผลงานชิ้นนี้อย่างมากมาย
- The Old Man and the Sea (พ.ศ. 2495)
- แปลในชื่อ ชายชรากับทะเล โดย ล. อนันทภูมิ (พ.ศ. 2500)
- แปลในชื่อ เฒ่าทะเล โดย สายธาร (พิมพ์ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2518)โดยสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น
- แปลในชื่อ เฒ่าผจญทะเล โดย วิทย์ ศิวะศริยานนท์
___________________________________
The Great Gatsby โดย F. Scott Fitzgerald
The Great Gatsby ผลงานของ เอฟ.สก๊อต ฟิทซีกราลด หรือแปลไทยในชื่อว่า รักเธอสุดที่รัก ทางสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นเคยตีพิมพ์ ในปี พ.ศ.2518
The Great Gatsby ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนังสือดีในรอบศตวรรษ และ นวนิยายดีเด่น100เล่มในรอบศตวรรษ เป็นนวนิยายสะท้อนภาพชีวิตคนชั้นกลางอเมริกัน ในทศวรรษ 1920 เรื่องของเศรษฐีประเภทสร้างตัวเอง ผู้หลงทางอยู่ในสังคมที่ไม่มีวิญญาณในยุคแจซซ์ นิยายเรื่องนี้ฮอลลีวูดนำมาทำเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับการต้อนรับค่อนข้างดี เพราะทำให้คนหวนคิดถึงชีวิตในอดีตที่ดูมีชีวิตชีวาและโรแมนติกมากกว่าปัจจุบัน และลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอได้รับเป็นนักแสดงนำในเรื่องนี้ในปี พ.ศ. 2556 อีกด้วย
ได้รับการแปลในหลายสำนวนอาทิ รักเธอสุดที่รัก โดย ศ.ปรางค์ , แก๊ทสบี้ นักรักผู้ยิ่งใหญ่ โดย โชติมงคล
___________________________________
Revolutionary Road โดย Richard Yates
นวนิยายนั้นเป็น 1 ใน 100 หนังสือที่คนอเมริกันควรอ่านในชาร์ทการจัดอันดับของนิตยสารไทมส์ และถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง Revolutionary Road โฟกัสไปถึงจุดเล็กๆ ที่เป็นจุดเริ่มต้นที่อยากจะเปลี่ยนวิถีชีวิตอันคุ้นเคยของตัวเองผ่านคู่สามี-ภรรยาคู่หนึ่ง?
แฟรงก์" และ "เอพริล" (รับบทโดย ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ,เคท วินสเล็ต) คู่สามีภรรยาที่เริ่มสัมผัสได้ถึงความเหินห่าง และความรู้สึกหยั่งลึกที่ยากจะเข้าใจของฝ่ายเอพริลนำมาซึ่งความระหองระแหง?และกลายสภาพเป็นความสิ้นหวังในชีวิตคู่ที่นำมาสู่โศกนาฏกรรม
โดยสาระของเรื่องราวที่สะท้อนแง่มุมของชีวิตครอบครัวอเมริกัน และสภาพสังคมยุคแรกเริ่มของทุนนิยมผ่านฉากมนุษย์เงินเดือนทำงานออฟฟิศ
แฟรงก์คือหนึ่งในหัวหน้าครอบครัวจำนวนมากมายที่แต่งตัวใส่สูทผูกเน็คไทสวมหมวกเดินทางออกมาทำงานพร้อมๆ กัน มีโต๊ะทำงานส่วนตัวเล็กๆ ที่ถูกกั้นเป็นคอก เป็นภาพมนุษย์เงินเดือนยุคอเมริกันดรีมผ่านตัวละครแฟรงก์ที่สะท้อนการเป็นทาสที่ขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ของระบบทุนนิยม ขณะที่เอพริลคือตัวละครฝั่งตรงข้ามที่อยากจะปลดแอกความซ้ำซากจำเจ แต่ก็ต้องพ่ายให้ระบบในที่สุด
เมื่อไม่สามารถยอมรับกับสภาพความเป็นจริง และรูปแบบวิถีชีวิตของคนส่วนมากที่พร้อมหลั่งไหลเป็นมนุษย์ยุคทุนนิยมได้พวกเขาจึงต้องอยู่กับความ?สิ้นหวัง" มากกว่าจะเป็น "ความหวัง?
___________________________________
This Changes Everything โดย Naomi Klein
เขียนโดย Naomi Klien ซึ่งเป็นหนังสือเบสท์เซเลอร์ในรอบปี 2015 พูดถึงปัญหาโลกร้อนความสัมพันธ์ระหว่างการเติบโตของประชากรกับระบบเศรษฐกิจและการใช้พลังงานที่ขาดสมดุลอันเป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสภาพแวดล้อมครั้งใหญ่ ซึ่งนำภัยพิบัติมาสู่มนุษย์
โดยดึงเราไปสู่มุมมองการต่อสู้ภาคประชาชนที่เดือดร้อนเพราะกลุ่มอุตสาหกรรม โรงงาน หรือธุรกิจที่ไร้ความรับผิดชอบต่อสภาพแวดล้อม เหมือนเขาจะชี้นำกลายๆ ว่างานนี้ถ้าคนตัวเล็กๆ ไม่ลุกขึ้นจับมือกันเรียกร้อง ก็คงต้องตกเป็นเบี้ยล่างให้กับนโยบายของรัฐ กลุ่มทุน ที่เน้นจะขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจไปโดยขาดความรับผิดชอบและกลายเป็นผู้รับชะตากรรมนั้นต่อไป การถ่ายทำใช้เวลากว่า 4 ปี ใน 9 ประเทศ และ 5 ทวีป เก็บเกี่ยวภาพสภาพแวดล้อมที่ทรุดโทรมและเหตุการณ์การชุมนุมประท้วงตามที่ต่างๆ ที่มาเรียกร้องต่อเจ้าหน้าที่รัฐหรือผู้รับผิดชอบให้หันมามองความเป็นไปของสิ่งแวดล้อมบ้าง นี่คงถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเปลี่ยน ไม่ใช่แค่พฤติกรรมการบริโภค แต่ปรับเปลี่ยนนโยบายรัฐและการทำธุรกิจ เพราะถ้าเราไม่เปลี่ยน โลกนั่นแหละจะเปลี่ยนเราเอง
บางทีอาจเป็นความล้มเหลวจองระบบเศรษฐกิจก็ได้ที่สร้างปัญหาที่ใหญ่กว่าให้กับโลก และทุกคนได้รับผลกระทบจากระบบนั้น สำหรับสื่อเพื่อเผยแพร่แนวคิดใดๆ ก็ตามคำถามก็คือมันมีพลังมากพอจะขับเคลื่อนสังคมมั้ย และน่าจะเป็นสิ่งที่นักสร้างหนังทุกคนใฝ่ฝัน
___________________________________
The Last Hours of Ancient Sunlight โดย Thom Hartmann
ว่ากันว่า หนังสือเล่มนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างแรงบันดาลใจของเขา ในเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งพูดถึง ในโลกของเราทุกวันนี้เริ่มเสื่อมสภาพลงไปเรื่อยๆ แต่เราทุกคนบนโลก สามารถช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมได้ ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปีพศ. 2541 และได้กลายเป็นหนังสือคู่มือขั้นพื้นฐานของขบวนการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม
___________________________________
อ้างอิงจาก : creativemove.com , dek.D.com , siamzone.com , pantip.com