ในทุก ๆ ปีอดีตผู้นำสหรัฐอเมริกา อย่างบารัค โอบามา จะมาแบ่งปันหนังสือดี ที่เขาชอบในช่วงสิ้นปี ปีนี้ก็เช่นเดียวกัน เขาได้แนะนำหนังสือผ่านทางทวิตเตอร์ไว้จำนวน 17 เล่มด้วยกัน ดังนี้
Caste ผลงานของ Isabel Wilkerson
Wilkerson นำเสนอกรอบความคิดที่ไม่เคยมีใครพูดถึงมาก่อนเพื่อทำความเข้าใจว่าชนชั้นทางสังคมมีผลต่ออารยธรรม ทั้งในเชิงประวัติศาสตร์และโลกยุคปัจจุบันอย่างไร โดยมีการเปรียบเทียบระหว่างระบอบชนชั้นของอเมริกา อินเดีย และนาซีเยอรมนี งานเขียนของเธอพูดถึงงานวิจัยที่ใช้เวลาศึกษานานหลายปี ซึ่งนำไปสู่ข้อสรุปเสาหลักทางความคิดแปดประการที่อยู่เบื้องหลังระบอบชนชั้นทั้งหมด Wilkerson เล่าเรื่องราวอันน่าทึ่งจากชีวิตของ Martin Luther King Jr., นักเบสบอล Satchel Paige, พ่อเลี้ยงเดี่ยวสามัญชนกับลูกชายวัยหัดเดินของเขา และอื่นๆ อีกมากมายเพื่อแสดงให้เห็นว่าในชีวิตประจำวัน เราไม่อาจหลีกเลี่ยงชะตากรรมที่เป็นผลมาจากการแบ่งชนชั้นได้เลย เธออธิบายวิธีการที่กลุ่มนาซีเรียนรู้ระบอบเชื้อชาติในอเมริกาเพื่อนำไปวางแผนลดทอนคุณค่าชีวิตของชาวยิว เธออภิปรายว่าเหตุใดตรรกะอันโหดร้ายของชนชั้นจึงทำให้คนที่อยู่ชนชั้นกลางมีการแบ่งชนชั้นล่างให้กับกลุ่มตัวเองอีกที เธอเขียนเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เกิดจากการแบ่งชนชั้นซึ่งสูงอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งในเรื่องของภาวะซึมเศร้าและอายุขัยโดยรวม รวมถึงผลกระทบต่อวัฒนธรรมและการเมืองด้วย และท้ายที่สุด เธอชี้แนะหนทางที่อเมริกาจะสามารถก้าวข้ามการแบ่งชั้นวรรณะซึ่งเป็นสิ่งจอมปลอมและส่งผลเสียมากมายเช่นนี้ได้ เพื่อนำผู้คนไปสู่สังคมที่มีความหวัง สังคมที่ทุกคนมีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน
The Splendid and the Vile: A Saga of Churchill, Family, and Defiance During the Blitz เขียนโดย Erik Larson
เล่มนี้คิดว่าน่าสนใจมาก เพราะบิล เกตต์ เองก็ชอบเช่นกัน หนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ Winston Churchill นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กล่าวถึงสภาวะเหตุการณ์ที่ยากลำบาก ช่วงที่เยอรมันรุกรานประเทศอังกฤษ และ Winston Churchill ต้องพาประเทศผ่านวิกฤตนี้ไปให้ได้
The Vanishing Half ผลงานของ Brit Bennett
เรื่องราวของพี่น้องฝาแฝด ที่เลือกใช้ชีวิตอย่างแตกต่างกัน โดยเนื้อเรื่องเป็นเรื่องราวของครอบครัวที่สะเทือนอารมณ์ ผูกปมเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของอเมริกา
Hidden Valley Road (2020) ผลงานของ Robert Kolker
พี่ชายกับน้องสาวเดินออกจากบ้านไปยังเนินสวนด้านหลัง ทั้งสองดูเป็นคู่แปลกตา โดนัลด์อายุยี่สิบเจ็ดปี วงตาลึก หัวโกนเกือบล้าน สวมผ้าคลุมสีแดงชาด ปากพึมพำสวดมนต์ ส่วนแมรี่อายุเจ็ดปี ผมบลอนด์สลวย หน้าตาจิ้มลิ้ม แมรี่บอกให้โดนัลด์เดินตามมา พี่ชายยอมทุกอย่างเพราะเชื่อว่าเธอคือพระแม่มารีผู้ให้กำเนิดซึ่งเขาเทิดทูนบูชา โดนัลด์ทำให้แมรี่รู้สึกอับอายคนอื่นเสมอ เธอเด็กเกินกว่าจะเข้าใจ เธอชี้ไปยังต้นไม้สูงใหญ่ บอกว่าจะผูกเขากับต้นไม้ โดนัลด์ส่งเชือกให้ เธอเดินวนไปรอบๆมัดจนแน่น โดนัลด์ได้แต่ยืนพิงลำต้นหนา หลับตาพึมพำ แมรี่คิดในใจว่าหากเขาหายไปจากชีวิต คงไม่มีใครคิดถึงเขา
หลังสงครามโลกครั้งที่สองยุคเบบี้บูม การมาของฝันอเมริกันอันยิ่งใหญ่ ดอน เกลวินทำงานหนักเพื่อสร้างครอบครัว เขาเป็นทหารที่ช่วยก่อตั้งโรงเรียนทหารอากาศในโคโรลาโดสปริงส์ ส่วนมิมิเป็นแม่บ้านทุกกระเบียดเพราะมีลูกต้องดูแล 12 คน โดยเป็นชาย 10 คน ส่วน 2 คนสุดท้ายเป็นผู้หญิง หากมองจากนอกหน้าต่างเข้าไปในในบ้านอันแสนอบอุ่น มิมิกำลังทำขนมปังขิงในคืนเฉลิมฉลอง เสียงเอะอะโวยวายดังตลอดเวลา ทันใดนั้นเองโดนัลด์วิ่งมาที่โต๊ะอาหาร ดึงผ้าบนโต๊ะจานชามแตกกระจาย แล้วผลักโต๊ะใส่จิมที่กำลังวิ่งเข้าปะทะ คืนนั้นจบลงด้วยรถพยาบาลมารับคนเจ็บ และเป็นอย่างนี้อยู่บ่อยครั้ง จนกล่าวได้ว่าบ้านบนถนนฮิดเด้นวัลเวย์ของครอบครัวเกลวินไม่เคยมีช่วงเวลาแห่งความสงบสุข
เราอาจจะสงสัยเกิดอะไรขึ้นในบ้านหลังนี้ นั่นเพราะมีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคจิตเภทถึง 6 คน คำถามต่อมาแล้วพวกเขาผ่านคืนวันขมขื่นมาได้อย่างไร โคลเกอร์อธิบายถึงข้อถกเถียงทางการแพทย์ในศตวรรษที่แล้ว สาเหตุของโรคจิตเภทซึ่งแบ่งเป็นสองแนวทางคือเชื่อว่าเกิดจากยีนพันธุกรรม กับอีกแนวหนึ่งเกิดจากการเลี้ยงดูสภาพแวดล้อม บทบาทของแม่ที่ควบคุมวางกรอบชีวิตสมบูรณ์ของลูก มิมิกับดอนอยู่ในยุคสมัยที่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาตร์พันธุกรรมและความรู้ความเข้าใจในโรคนี้มีความคลุมเครืออยู่มาก ประกอบกับสภาพสังคมทำให้วิธีจัดการของคนเป็นพ่อเป็นแม่หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเก็บเป็นความลับจากโลกภายนอก หรือทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะถ้าหากยอมรับแล้ว เท่ากับว่าคนเป็นแม่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ในครอบครัวได้
คนในครอบครัวเกลวินเลือดตกยางออกตลอดเวลา โคลเกอร์เล่าแต่ละชีวิตสลับไปมา และเขียนดีมากๆ ปูพื้นที่ให้แต่ละคนบนพื้นที่ที่ไม่มีความเป็นส่วนตัวเลยในบ้าน เราจึงเห็นโดนัลด์ทะเลาะกับจิม แมทต่อยกับปีเตอร์ พี่น้องรวมหัวกันทำร้ายคนที่อ่อนแอกว่าเสมอ ขณะเดียวกันเราก็เห็นใจแม่ผู้ที่พยายามประคับประครองครอบครัวแม้ภายนอกดูเหมือนไม่ทุกข์ร้อน
จนโดนัลด์ พี่ชายคนโตเสียประสาทครั้งแรกอายุ 22 ปี เขาแต่งงานแล้วหลังจากนั้นทำร้ายภรรยาจนภรรยาจะหนี เขาเลยตัดสินใจจะฆ่าคนที่เขารักพร้อมตายตาม แต่ล้มเหลว ชีวิตก็แตกสลายตั้งแต่นั้น เขากลายเป็นคนโหดร้าย อาละวาด ห้องนอนของพ่อแม่คือหลุมหลบภัยของน้องสาวทั้งสอง เพราะเป็นห้องเดียวที่ล็อคได้ หลังจากนั้นก็โทรเรียกตำรวจ การใช้ชีวิตแบบเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ สร้างผลกระทบกับน้องที่เหลือ โดนัลด์เดินเข้าออกโรงพยาบาลเป็นร้อยรอบ กินยาทุกประเภทที่เกี่ยวกับโรคสมอง นอกจากไม่ดีขึ้นผลข้างเคียงก็ทำให้ทรุดลง
หลังจากนั้น จิมก็ประสบปัญหาเดียวกัน ไบรอันฆาตกรรมแฟนสาวพร้อมตัวเอง และตามมาด้วยน้องอีกสี่คน ที่สองคนหัวใจล้มเหลวจากการใช้ยาอย่างยาวนาน ประวัติศาสตร์ครอบครัวเกลวินถูกนำมาเปิดเผยด้วยความยินยอมของคนที่เหลืออยู่ ตระกูลเกลวินเป็นแบบอย่างการศึกษาการหาเครื่องหมายพันธุกรรมและสภาพแวดล้อมในโรคจิตเภทมาหลายทศวรรษ การอ่านหนังสือเล่มนี้มีแต่ความเห็นอกเห็นใจ เปิดหูเปิดตามาก ผู้เขียนสอดแทรกวิทยาศาสตร์การแพทย์แบบที่คนไม่รู้ก็อ่านเข้าใจง่าย
นอกจากนี้ยังมีเรื่อง
- Homeland Elegies: A Novel โดย Ayad Akhtar
- Jack โดย Marilynne Robinson
- Luster โดย Raven Leilani
- How Much of These Hills Is Gold โดย C Pam Zhang
- Long Bright River โดย Liz Moore
- Memorial Drive: A Daughter’s Memoir โดย Natasha Trethewey
- Twilight of Democracy: The Seductive Lure of Authoritarianism โดย Anne Applebaum
- Deacon King Kong โดย James McBride
- The Undocumented Americans โดย Karla Cornejo Villavicencio
- The Glass Hotel โดย Emily St. John Mandel
- The Ministry for the Future โดย Kim Stanley Robinson
- Sharks in the Time of Saviors โดย Kawai Strong Washburn
- Missionaries โดย Phil Klay