Albert Camus : นักเขียนรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมชาวฝรั่งเศส

Albert Camus

                Albert Camus (เกิดวันที่ 7 พฤศจิกายน 1913 เมือง Mondovi ประเทศอัลจีเรีย - เสียชีวิตวันที่ 4 มกราคม 1960 บริเวณเมือง Sens ประเทศฝรั่งเศส) นักเขียนวรรณกรรมชาวฝรั่งเศส นักเขียนบทความเอสเส และนักเขียนบทละคร ผลงานเป็นที่รู้จักคือ L’Etranger (1942; ชื่อภาษาอังกฤษคือ The Stranger), La Peste (1947; ชื่อภาษาอังกฤษคือ The Plague) และ La Chute (1956; ชื่อภาษาอังกฤษคือ The Fall) ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในปี 1957
 

                หลัง Camus เกิดไม่ทันถึงปี บิดาของเขาซึ่งเป็นผู้ใช้แรงงานที่ยากจน เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1 ในเหตุการณ์ First Battle of the Marne มารดาของเขามีเชื้อสายชาวสเปน ทำงานเป็นแม่บ้านเพื่อจุนเจือครอบครัว Camus และพี่ชาย Lucien ย้ายตามมารดาไปยังเขตชนชั้นแรงงานของอัลจีเรีย พวกเขาสามคนอาศัยอยู่ด้วยกันกับยายและลุงที่เป็นอัมพาต ในอพาร์ตเม้นท์ขนาดสองห้อง ผลงานเอสเสชิ้นแรกที่ได้รับตีพิมพ์ของ Camus คือ L’Envers et l’endroit (1937; ชื่อภาษาอังกฤษคือ The Wrong Side and the Right Side) กล่าวถึงความเป็นอยู่ในช่วงชีวิตแรกๆ รวมถึงบรรยายถึงแม่ ยาย และลุง ผลงานเอสเสชิ้นที่สอง คือ Noces (1938; ชื่อภาษาอังกฤษคือ Nuptials) เป็นบทกลอนอันเผ็ดร้อนเปรียบเทียบช่องว่างระหว่างคนในชนบทของอัลจีเรียกับความสุขสบายของคนร่ำรวย
 

                ปี 1918 Camus เข้าเรียนชั้นประถม และโชคดีที่ได้ยอดคุณครูอย่าง Louis Germain เป็นผู้สอน ซึ่งช่วยให้เขาได้ทุนเรียนต่อชั้นมัธยมปลายที่ lycée ในปี 1923 (34 ปีต่อมา Camus ได้กล่าวว่าการรับรางวัลโนเบลนั้น เป็นการอุทิศให้แก่ Germain คุณครูของเขาเอง) ในช่วงวัยเรียน เขาสนใจต่อการเล่นกีฬาอย่างมาก โดยเฉพาะฟุตบอล ว่ายน้ำ และต่อยมวย ทว่าในปี 1930 เกิดการระบาดของวัณโรค ทำให้เส้นทางนักกีฬาของเขาต้องหยุดลง และทำให้การเรียนของเขาต้องชะงักลงไปด้วย Camus ต้องย้ายออกจากอพาร์ตเม้นท์ที่เสื่อมโทรมซึ่งอาศัยมานานถึง 15 ปี และจากนั้น เมื่ออาศัยอยู่กับลุงชั่วระยะหนึ่ง Camus ก็ตัดสินใจออกมาอยู่คนเดียว ส่งเสียตัวเองด้วยงานต่างๆ ขณะเข้าเรียนเป็นนักศึกษาปรัชญาใน University of Algiers
 

                ที่มหาวิทยาลัย Camus ได้รับอิทธิพลจากอาจารย์ท่านหนึ่ง คือ Jean Grenier ซึ่งช่วยให้เขาพัฒนางานวรรณกรรมและแนวคิดทางปรัชญา และเล่นฟุตบอลร่วมกัน ในปี 1936 เขาได้สร้าง diplome d’etudes superieures เป็นวิทยานิพนธ์ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างกรีกกับชาวคริสต์ เป็นงานเขียนเชิงปรัชญาของ Plotinus และ St. Augustine ขณะที่เขายื่นสอบ aggregation (สอบเลื่อนขั้นของมหาวิทยาลัย) ก็ต้องชะงักงันเพราะวัณโรคระบาดอีกครั้ง ทำให้เขาต้องไปพักผ่อนที่เทือกเขาแอลป์ ประเทศฝรั่งเศส เพื่อฟื้นฟูสุขภาพ ซึ่งเป็นการเยือนยุโรปครั้งแรกของเขา และก่อนจะกลับอัลจีเรีย เขายังได้แวะ Florence, Pisa และ Genoa อีกด้วย
 

                ตลอดช่วงทศวรรษที่ 1930s Camus เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น เขาอ่านงานเขียนมากมาย รวมไปถึงงานของนักเขียนอย่าง André Gide, Henry de Montherlant, André Malraux และนับเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในกลุ่มปัญญาชนฝ่ายซ้ายรุ่นหนุ่มสาวของอัลจีเรีย ในช่วงเวลาสั้นๆ ของปี 1934-1935 เขายังได้เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์อัลจีเรียอีกด้วย นอกจากนั้น นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้เขียนบท อำนวยการผลิต และดัดแปลง และเป็นนักแสดงในโรงละครของชนชั้นแรงงาน (Théâtre du Travail) โดยมุ่งหวังว่าจะให้ชนชั้นแรงงานได้ชมการแสดงที่ยอดเยี่ยม ความรักในงานละครอันลึกซึ้งของเขาดำรงอยู่จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต แต่น่าเสียดายที่งานละครของเขากลับได้รับการยอมรับน้อยมาก แม้ว่าละครเรื่อง Le Malentendu (Cross Purpose) และ Caligula จะสร้างขึ้นในปี 1944 และปี 1945 เพื่อรำลึกถึง Camus ก็ตาม ละครสองเรื่องที่ได้รับความนิยมนั้นดัดแปลงมาจากงานของ William Faulkner คือ Requiem for a Nun (Requiem pour une nonne;1956) และงานของ Fyodor Dostoyevsky เรื่อง The Possessed (Les Possedes; 1959)
 

                สองปีก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง Camus ได้ทำงานเป็นนักข่าวฝึกหัดให้กับ Alger-Republicain หลากหลายตำแหน่ง เป็นทั้งหัวหน้าทีมนักเขียน รองบรรณาธิการ นักข่าวการเมือง นักวิจารณ์หนังสือ เขาได้วิจารณ์งานวรรณกรรมช่วงแรกของ Jean-Paul Sartre และเขียนบทความวิเคราะห์ปัจจัยทางสังคมของชาวมุสิลมในภูมิภาค Kabylie  บทความเหล่านี้ได้รับย่อและตีพิมพ์ซ้ำลงใน Actuelles III (1958) หนังสือเล่มนี้ได้ชักจูงให้ตระหนักถึงความอยุติธรรมมากมาย กระทั่งนำไปสู่การปะทุของสงครามชาวอัลจีเรียในปี 1954 Camus เลือกอยู่ฝ่ายมนุษยธรรมมากกว่าอุดมการณ์ และยังคงเรียกร้องต่อการทบทวนบทบาทของฝรั่งเศสในประเทศอัลจีเรีย โดยไม่มองข้ามความอยุติธรรมของความเป็นพลเมืองในอาณานิคม
 

                Camus ถือเป็นผู้มีบทบาทอย่างสูง ในฐานะนักข่าว ในช่วงปีสุดท้ายที่ฝรั่งเศสยึดครองกระทั่งหลังจากที่ได้รับอิสรภาพแล้ว ในฐานะบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ปารีส Combat หนังสือพิมพ์หัวขบถซึ่งผลักดันโดย Camus นับว่าเขาเป็นฝ่ายซ้ายที่เป็นอิสระ โดยยึดถืออุดมการณ์แห่งความยุติธรรมและความจริง นอกจากนี้ยังเชื่อว่ากิจกรรมทางการเมืองทั้งหมดควรยืนบนพื้นฐานของศีลธรรม


 

                และในขณะนั้น Camus ได้กลายเป็นนักเขียนวรรณกรรมชั้นนำ ผลงานเรื่อง L’Etranger (ฉบับตีพิมพ์ในสหรัฐอเมริกา , The Stranger; ฉบับตีพิมพ์ในอังกฤษ, The Outsider) เป็นวรรณกรรมชั้นยอดเล่มแรกที่เขียนขึ้นก่อนช่วงสงคราม และตีพิมพ์ขึ้นใน 1942 คือหนังสือที่ศึกษาถึงการลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ในศตวรรษที่ 20 และปีเดียวกันนั้นเอง ก็ได้ตีพิมพ์บทความ essay เชิงปรัชญาที่ทรงอิทธิพล Le Mythe de Sisyphe (ชื่อภาษาอังกฤษคือ The Myth of Sisyphus) ซึ่ง Camus ได้แสดงความเห็นใจอย่างลึกซึ้ง วิเคราะห์ถึงกลุ่มก่อการร้ายร่วมสมัยในขณะนั้น และวรรณกรรมเล่มที่สองคือ La Peste (1947; ชื่อภาษาอังกฤษคือ The Plague) เป็นการบรรยายเชิงสัญลักษณ์ของการสู้รบซึ่งลุกลามขึ้นใน Oran (เมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือของอัลจีเรีย) และในผลงานเล่มต่อมา Camus ได้แสดงการเปรียบเทียบให้เห็นแตกต่างออกไปด้วยการปฏิวัติทางการเมือง-ประวัติศาสตร์ในบทความ essay ขนาดยาว คือ L’Homme revolte (1951; ชื่อภาษาอังกฤษคือ The Rebel) โดยกล่าวถึงคู่ปรปักษ์ระหว่างกลุ่มโจมตีลัทธิมาร์กซิสต์ และกลุ่มมาร์กซิสต์นิยมอย่างเช่น Jean-Paul Sartre นอกจากนี้ ผลงานวรรณกรรมชิ้นสำคัญอันยอดเยี่ยมของเขาก็ได้แก่ La Chute (1956) และหนังสือรวมเรื่องสั้น ชื่อ L’Exil et le royaume (1957; ชื่อภาษาอังกฤษคือ Exile and the Kingdom) La Chute
 

                ในปี 1957 ช่วงต้นวัย 44 ปี Camus ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ด้วยความถ่อมตัวเป็นพิเศษ ทว่าไม่เกินสามปีหลังจากนั้นก็เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์